การตอบสนองต่อหนังสือ ของ The_China_Study

วิลเฟร็ด นีลส์ อาร์โนล์ด ผู้เป็นศาสตราจารย์สาขาชีวเคมีที่ศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยแคนซัสเขียนบทปฏิทัศน์ของหนังสือนี้ในวารสารลีโอนาโด[31]ในปี ค.ศ. 2005 ไว้ว่า

การท้าทายต่อ "อาหารแบบอเมริกัน" อย่างจริงจัง (เช่นนี้) ย่อมก่อให้เกิดการต่อต้านทั้งจากนักวิชาการ ทั้งจากบุคคลทั่ว ๆ ไป และทั้งจากอุตสาหกรรมอาหาร...แต่ผู้เขียนได้คาดการต่อต้านและความเป็นปฏิปักษ์อย่างนั้นไว้ตั้งแต่ต้น แล้วดำเนินการเขียนไปด้วยความกระตือรือร้นที่ไม่มีการลดถอยและได้สร้างสมมติฐานเบื้องต้นที่นำไปใช้งานได้และมีคุณค่าเป็นความจริงว่า ข้อมูลที่น่าประหลาดใจเหล่านี้ ยากที่จะอธิบายได้โดยสมมุติฐานอย่างอื่น

– จากวารสารลีโอนาโด[32]

ฮัล แฮร์ริส ผู้เป็นบุคลากรในคณะเคมีและชีวเคมีของมหาวิทยาลัยมิสซูรีที่เซนต์หลุยส์ ได้แนะนำหนังสือเล่มนี้ใน "Journal of Chemical Education (วารสารการศึกษาในสาขาเคมี)" ในปี ค.ศ. 2006 ไว้ว่า

ใจความสำคัญของงานวิจัยที่มีข้อมูลละเอียดถ้วนถี่นี้ก็คือ โปรตีนสัตว์ไม่ดีสำหรับพวกเรา แม้แต่นม ซึ่งโฆษณากันว่า "เป็นอาหารไร้ตำหนิ"

– จาก Journal of Chemical Education[33]

นอกจากนั้นแล้ว ในปี ค.ศ. 2006 ผู้ปฏิบัติงานในแพทย์ทางเลือกแดเนียล เร็ดวูด และนายแพทย์นอร์แมน ชีลลี ได้เขียนไว้ว่า หนังสือเล่มนี้ต่างจากหนังสือโภชนาการที่ได้รับความนิยมอื่น ๆ เพราะได้ให้คำอธิบายที่ประกอบด้วยหลักฐานที่น่าเชื่อถือในประเด็นที่เสนอ[34] คือ ได้เขียนว่า "...ผู้เขียนได้ให้คำอธิบายที่ประกอบด้วยหลักฐานที่น่าเชื่อถือต่อทุก ๆ ประเด็นที่เสนอ"

แต่ว่าในการอภิปรายเป็นลายลักษณ์อักษรกับผู้เขียนในปี ค.ศ. 2008 ศ. ดร. ลอเร็น คอร์เดน ผู้เป็นศาสตราจารย์ในคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพและการออกกำลังกายที่มหาวิทยาลัยรัฐโคโลราโด (และเป็นผู้แนะนำการบริโภคอาหารอีกวิธีหนึ่งที่เรียกว่า Paleolithic Diet ซึ่งเลียนแบบการบริโภคอาหารของบรรพบุรุษย์มนุษย์เมื่อ 2.5 ล้านปีก่อน) ได้ค้านว่า "แนวคิดพื้นฐานที่เป็นฐานของสมมุติฐานของคอลิน (ว่าอาหารมีโปรตีนสัตว์ในระดับต่ำทำสุขภาพมนุษย์ให้ดีขึ้น) ไม่มีความหนักแน่น และไม่สอดคล้องกับวิวัฒนาการของมนุษย์"และว่า "หลักฐานจากการทดลองเป็นจำนวนมากได้แสดงแล้วว่า การบริโภคโปรตีนไขมันต่ำในระดับที่สูงขึ้น ลดความเสี่ยงต่อโรคเกาต์ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง dyslipidemia (คือความผิดปกติของเมแทบอลิซึมของไลโพโปรตีนและภาวะไขมันในเลือด) โรคอ้วน โรคดื้ออินซูลิน และโรคกระดูกพรุน โดยที่ไม่มีผลเสียหายต่อการทำงานของไต"และว่า "หลักฐานจากการทดลองเป็นจำนวนมากได้แสดงแล้วว่า การบริโภคโปรตีนไขมันต่ำในระดับที่สูงขึ้น ลดความเสี่ยงต่อโรคเกาต์ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง dyslipidemia (คือความผิดปกติของเมแทบอลิซึมของไลโพโปรตีนและภาวะไขมันในเลือด) โรคอ้วน โรคดื้ออินซูลิน และโรคกระดูกพรุน โดยที่ไม่มีผลเสียหายต่อการทำงานของไต"ดร. แคมป์เบลล์ได้โต้ตอบโดยแสดงความไม่น่าเชื่อถือในผลอนุมาน (จากหลักฐาน) ที่ ดร. คอร์เดนได้อ้างไว้ และเสนอว่า "ความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและโรคที่เห็นได้ในปัจจุบันสำคัญยิ่งกว่าสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ผ่านมาแล้ว 2.5 ล้านกว่าปีก่อน"[35]

อดีตประธานาธิบดีอเมริกันบิล คลินตัน ได้กลายมาเป็นผู้สนับสนุนหนังสือเล่มนี้อย่างออกปากออกเสียงคือในปี ค.ศ. 2010 หลังจากที่ได้มีชีวิตอยู่กับโรคหัวใจอยู่หลายปีคลินตันได้เปลี่ยนการทานอาหารไปทานพืชวงศ์ถั่ว ผัก ผลไม้ และอาหารเสริมโปรตีนทุก ๆ เช้า คือเปลี่ยนมาเป็นผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติอย่างเคร่งครัดโดยปริยาย[2] และภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ คลินตันลดน้ำหนักได้ถึง 24 ปอนต์ (ประมาณ 10.9 ก.ก.) ทำให้เขากลับมีน้ำหนักเท่ากับสมัยที่เป็นเด็กมหาวิทยาลัย[36] นายแพทย์สัญชัย คุปตะ ผู้เป็นนักข่าวแพทย์คนหลักของซีเอ็นเอ็น กล่าวในภาพยนตร์สารคดี "The Last Heart Attack (หัวใจล้มเหลวครั้งสุดท้าย)" ที่เริ่มฉายในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 2011 ไว้ว่า หนังสือเล่มนี้ได้เปลี่ยนวิถีการบริโภคอาหารของคนทั่วโลก รวมทั้งตัวคุณหมอคุปตะเองด้วย[37]

นักบล็อกในเรื่องอาหารผู้นิยมบริโภคอาหารไม่สุก ดีนีส มิงเกอร์ ได้บล็อกคำวิจารณ์ของเธอไว้ในเว็บไซต์[38]ซึ่งเธอเสนอว่า หลักฐานจากงานวิจัยโดยตรงไม่สอดคล้องกับข้อสรุปที่ ดร. แคมป์เบลล์ได้พูดถึงและส่งเสริมในหนังสือเป็นการวิจารณ์ที่ได้คำโต้ตอบจาก ดร. แคมป์เบลล์เอง[39]โดยที่ ดร. แคมป์เบลล์ ในที่สุดก็สรุปเป็นข้อความว่า

ผมอยากจะสรุปโดยให้สังเกตคำแนะนำของนักวิทยาการระบาดมืออาชีพที่กล่าวไว้แล้วข้างบนผู้ได้ให้คำแนะนำว่า ในทีสุดแล้ว ดีนีสควรจะตีพิมพ์ข้อมูลของเธอในวารสารที่มีการปฏิทัศน์โดยผู้เชี่ยวชาญในสาขา (เช่นในวารสารวิทยาศาสตร์)แต่เขาเอง(นักวิทยาการระบาด)รู้สึกมั่นใจในตอนนี้ว่า ข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันจะไม่ได้รับการยอมรับ (โดยผู้ที่ทำการปฏิทัศน์) ผม(ก็)เห็นด้วย (ในเรื่องนี้)[40]

แหล่งที่มา

WikiPedia: The_China_Study http://www.amazon.com/The-China-Study-Comprehensiv... http://www.cathletics.com/articles/downloads/prote... http://thechart.blogs.cnn.com/2011/08/25/becoming-... http://www.cnn.com/2011/HEALTH/08/18/bill.clinton.... http://books.google.com/books?id=KgRR12F0RPAC&pg=P... http://books.google.com/books?id=KgRR12F0RPAC&pg=P... http://books.google.com/books?id=KgRR12F0RPAC&pg=P... http://books.google.com/books?id=KgRR12F0RPAC&pg=P... http://books.google.com/books?id=KgRR12F0RPAC&pg=P... http://books.google.com/books?id=KgRR12F0RPAC&pg=P...