เมนูนำทาง
การระบาดทั่วของไวรัสโคโรนา_พ.ศ._2562–2563_เรียงตามประเทศและดินแดน มีผู้ป่วยยืนยันแล้วณ 25 ธันวาคม 2563 เวลามาตรฐานกรีนิช 07.39 น. มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ยืนยันแล้ว 79,764,330 คนใน 229 ประเทศและดินแดน[311] มีผู้เสียชีวิตโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แล้วมากกว่า 1,749,937 คน และมีผู้หายป่วยแล้วมากกว่า คน 56,156,103 [312]ณ 25 ธันวาคม 2563 เวลามาตรฐานกรีนิช 07.39 น. มีจำนวน 4 ประเทศ ที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 121,100 ราย ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ประเทศบราซิล ประเทศอินเดีย ประเทศเม็กซิโก
มีจำนวน 9 ประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 53,000 ราย โดย ประเทศรัสเซีย รายงานรวม 53,096 ราย เป็นอันดับที่ 9 ของโลก
มีจำนวน 25 ประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 12,700 รายขึ้นไปโดย ประเทศอิรัก มีผู้เสียชีวิตรวม 12,744 ราย เป็นอันดับที่ 25 ของโลก
มีจำนวน 27 ประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 10,800 รายขึ้นไปโดย ประเทศเช็กเกีย มีผู้เสียชีวิตรวม 10,815 ราย เป็นอันดับที่ 27 ของโลก
มีจำนวน 40 ประเทศ ประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 5,700 รายขึ้นไป โดย ประเทศออสเตรีย มีผู้เสียชีวิต 5,745 ราย อันดับที่ 40 ของโลก
มีจำนวน 79 ประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,200 รายขึ้นไป โดยประเทศไนจีเรีย มีผู้เสียชีวิต 1,242 ราย เป็นอันดับที่ 79 ของโลก
ผู้ติดเชื้อรายใหม่ในวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลามาตรฐานกรีนิช 01.53 น. เปรียบเทียบกับ วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เพิ่มขึ้น 713,013 รายภายในวันเดียว
ในส่วนของประเทศที่มีผู้ติดเชื้อ และ ผู้เสียชีวิตอยู่ใน 10 อันดับแรกของโลก ณ วันที่ 23 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลามาตรฐานกรีนิช 02.14 นาฬิกา มี 8 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผู้ติดเชื้อเป็นอันดับที่ 1 ของโลก และ มีผู้เสียชีวิตเป็นอันดับที่ 1 ของโลก ประเทศบราซิล มีผู้ติดเชื้อเป็นอันดับที่ 3 ของโลก และ มีผู้เสียชีวิตเป็นอันดับที่ 2 ของโลก ประเทศอินเดีย มีผู้ติดเชื้อเป็นอันดับที่ 2 ของโลก และ มีผู้เสียชีวิตเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ประเทศสเปน มีผู้ติดเชื้อเป็นอันดับที่ 9 ของโลก และ มีผู้เสียชีวิตเป็นอันดับที่ 10 ของโลก ประเทศรัสเซีย มีผู้ติดเชื้อเป็นอันดับที่ 4 ของโลก และมีผู้เสียชีวิตเป็นอันดับที่ 9 ของโลก ประเทศฝรั่งเศส มีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นอันดับที่ 5 ของโลก จำนวนผู้เสียชีวิต เป็นอันดับที่ 7 ของโลก ประเทศอิตาลี มีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นอันดับที่ 8 ของโลก จำนวนผู้เสียชีวิต เป็นอันดับที่ 5 ของโลก สหราชอาณาจักร มีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นอันดับที่ 7 ของโลก จำนวนผู้เสียชีวิต เป็นอันดับที่ 6 ของโลก
อีกทั้งยังพบผู้ป่วยในเรือสำราญอีก 26 ลำ มีผู้เสียชีวิตบนเรือ เรือ เอ็มเอส ซานดัม 2 ราย และ ไดมอนด์พรินเซส (เรือ) 13 ราย เสียชีวิตที่ประเทศญี่ปุ่นพื้นที่เหนือสุดของโลกที่พบผู้เสียชีวิตได้แก่แคว้นมูร์มันสค์ พื้นที่ใต้สุดของโลกที่พบผู้เสียชีวิตได้แก่แคว้นมากายาเนสและลาอันตาร์ตีกาชีเลนา
ในวันที่ 25 ธันวาคม เมื่อเรียงตามจำนวนผู้เสียชีวิตสูงสุดในแต่ละประเทศ 27 อันดับแรกของโลก พบว่า 12 ประเทศอยู่ในทวีปยุโรปคิดเป็น 44.44 % โดยจำนวนประเทศ 27 อันดับแรกของโลกมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 10,775 รายของแต่ละประเทศ และเมื่อเรียงตามจำนวนผู้ติดเชื้อมากที่สุด 10 อันดับแรกของโลก พบว่าอยู่ในทวีปยุโรป 6 ประเทศ หรือคิดเป็นร้อยละ 60
ในวันที่ 18 ธันวาคม ศูนย์กลางการแพร่ระบาดของทวีปยุโรปอยู่ที่ ประเทศฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร
ผู้ป่วยรายแรก ๆ ของทวีปยุโรปมีรายงานจากในประเทศฝรั่งเศสและในประเทศเยอรมนีรวมถึงประเทศอื่น ๆ โดยเป็นผู้ป่วยเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น จนวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ได้เกิดการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ขึ้นในประเทศอิตาลี ซึ่งผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณตอนเหนือของมิลาน จากนั้นมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากการแพร่กระจายของโรคไปทั่วทั้งทวีปยุโรป โดยหลังจากที่ประเทศมอนเตเนโกรได้รายงานการพบผู้ติดเชื้อเมื่อวันที่ 17 มีนาคม ทำให้มีผู้ป่วยอยู่ในทุกประเทศเอกราชของทวีปยุโรป
ต่อเมื่อวันที่ 19 มีนาคม ได้มีรายงานการพบผู้ติดเชื้อในไอล์ออฟแมนซึ่งเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร และพบการติดเชื้อในดินแดนที่ยังมีปัญหาข้อพิพาทเรื่องอำนาจอธิปไตยของตนเองอย่างทรานส์นีสเตรีย[313]นอกจากนี้ยังพบการติดเชื้อในดินแดนปกครองตนเองอย่างหมู่เกาะโอลันด์ทำให้การติดเชื้อพบในทุกประเทศเอกราชและของทวีปยุโรป ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ทวีปยุโรปเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของไวรัสหลังจากสถานการณ์ดีขึ้นในประเทศจีน[314][315] [312][316][317][318]ณ วันที่ 2 ธันวาคม วาเลรี ฌิสการ์ แด็สแต็ง อดีตประธานาธิบดีสาธารณรัฐฝรั่งเศส ถึงแก่อสัญกรรมจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
ณ วันที่ 25 ธันวาคม เวลามาตรฐานกรีนิช 02:39 น. ผู้เสียชีวิตในทวีปยุโรปจำนวนสูงสุด 12 อันดับแรก (นับเฉพาะทวีปยุโรป) ได้แก่ ประเทศอิตาลี 70,900 ราย สหราชอาณาจักร 69,625 ราย ประเทศฝรั่งเศส 62,268 ราย ประเทศรัสเซีย 53,096 ราย ประเทศสเปน 49,874 ราย ประเทศเยอรมนี 29,681 ราย ประเทศโปแลนด์ 26,752 ราย ประเทศเบลเยียม 18,939 ราย ประเทศยูเครน 17,395 ราย ประเทศโรมาเนีย 14,912 ราย ประเทศเนเธอร์แลนด์ 10,826 ราย ประเทศเช็กเกีย 10,776 ราย ทั้ง 12 ประเทศยังจัดว่าเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิต ติด 27 อันดับแรกของโลก
ณ วันที่ 25 ธันวาคม เวลามาตรฐานกรีนิช 02:39 น. ผู้ติดเชื้อในทวีปยุโรป 22,224,972 ราย และเสียชีวิตรวม 512,597 ราย
พบผู้ติดเชื้อแต่ไม่พบผู้เสียชีวิตที่ หมู่เกาะแฟโร หมู่เกาะโอลันด์ และ นครรัฐวาติกัน
พื้นที่ที่ไม่พบผู้ติดเชื้อได้แก่ สฟาลบาร์ และ ยานไมเอน ไม่พบผู้ติดเชื้อ
ณ วันที่ 23 ธันวาคม หมู่เกาะที่มีผู้เสียชีวิตเพียงรายเดียวได้แก่หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน (หมู่เกาะในทวีปอเมริกาเหนือ)ส่วน หมู่เกาะเคย์แมน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย ไอล์ออฟแมน มีผู้เสียชีวิต 25 ราย หมู่เกาะแชนเนล มีผู้เสียชีวิต 52 ราย เกิร์นซีย์ มีผู้เสียชีวิต 13 ราย เรอูนียง มีผู้เสียชีวิต 42 ราย หมู่เกาะเติกส์และเคคอส มีผู้เสียชีวิต 6 ราย
ณ วันที่ 23 ธันวาคม แซ็งปีแยร์และมีเกอลง มีผู้ติดเชื้อ 14 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต แองกวิลลา มีผู้ติดเชื้อ 11 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต
วันที่ 23 ธันวาคม ประเทศรัสเซียมีจำนวนผู้ติดเชื้อ 2,906,503 ราย เป็นอันดับ 4 ของโลก และเสียชีวิต 51,912 ราย เป็นอันดับที่ 9 ของโลก
รัสเซียเป็นประเทศที่พบผู้เสียชีวิตใกล้ขั้วโลกเหนือมากที่สุดโดยผู้ป่วยโควิดเสียชีวิต 59 รายที่แคว้นมูร์มันสค์
ณ วันที่ 23 ธันวาคม สหรัฐอเมริกา ประเทศเม็กซิโก และ ประเทศแคนาดา เป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของทวีปอเมริกาเหนือ
ณ วันที่ 23 ธันวาคม ทวีปอเมริกาเหนือมีจำนวน 6 ประเทศที่มีผู้เสียชีวิตในแต่ละประเทศมากกว่า 3,000 ราย ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ประเทศเม็กซิโก ประเทศแคนาดา ประเทศปานามา ประเทศฮอนดูรัส ประเทศกัวเตมาลา
พบผู้ป่วยทั้งหมดจำนวน 4 คน โดยมีการยืนยันผู้ป่วยครั้งแรกจำนวน 2 คนเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ในเกาะเซนต์มาร์ติน ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส โดยตัวผู้ป่วยได้เดินทางมาจากฝรั่งเศสผ่านดินแดนซินต์มาร์เตินของเนเธอร์แลนด์ และแซ็ง-บาร์เตเลมี ซึ่งบุตรชายของผู้ป่วยได้เกิดการติดเชื้อขึ้น ทั้งคู่เดินทางกลับไปยังเกาะเซนต์มาร์ตินและถูกตรวจพบที่ท่าอากาศยาน และได้ถูกส่งตัวต่อไปกักโรคที่โรงพยาบาลบนเกาะ[319] ขณะที่ในกัวเดอลุป มีรายงานผู้ป่วยจำนวนหนึ่งคน[320]
วันที่ 23 ธันวาคม ประเทศปานามา มีผู้เสียชีวิต 3,632 ราย และมีผู้ติดเชื้อ 217,202 ราย
วันที่ 23 ธันวาคม ประเทศกัวเตมาลา มีผู้เสียชีวิต 4,718 ราย ผู้ติดเชื้อ 133,601 ราย
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ประเทศเม็กซิโกมีการยืนยันผู้ป่วยครั้งแรกจำนวน 3 คน เป็นชายอายุ 35 ปี และ 59 ปีในเม็กซิโกซิตี และชายอายุ 41 ปีในรัฐซีนาโลอา ซึ่งทั้งสามมีผลการทดสอบเป็นบวกและได้ถูกกักโรคไว้ที่โรงพยาบาลและโรงแรม ตามลำดับ สองคนแรก ทั้งคู่ได้เดินทางไปยังเมืองเบอร์กาโม ประเทศอิตาลี และพำนักอยู่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์[321][322][323][324] วันที่ 29 กุมภาพันธ์ มีการพบผู้ป่วยรายที่สี่ เป็นหญิงอายุ 20 ปี ซึ่งได้มีการเดินทางไปยังประเทศอิตาลีมา[325] วันที่ 1 มีนาคม มีการพบผู้ป่วยรายที่ 5 เป็นนักศึกษาในรัฐเชียปัส ซึ่งเพิ่งได้เดินทางกลับมาจากประเทศอิตาลี[326]ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 119,495 ราย เป็นอันดับ 4 ของโลก และ มีจำนวนผู้ติดเชื้อ 1,338,426 ราย เป็นอันดับที่ 13 ของโลก
ณ วันที่ 4 มีนาคม มีรายงานผู้ป่วยโคโรนาไวรัสในประเทศแคนาดา 33 คน โดยแบ่งเป็นพบในบริติชโคลัมเบีย 8 คน รัฐออนแทรีโอ 24 คน และรัฐควิเบก 1 คน[327] ผู้ป่วยทุกคนมีประวัติการเดินทางไปยังประเทศที่มีผู้ป่วยจำนวนมาก และรักษาหายแล้วจำนวน 8 คน (แบ่งเป็นบริติชโคลัมเบีย 5 คน และรัฐออนแทรีโอ 3 คน)[328] ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 14,425 ราย พบผู้ติดเชื้อ 521,509 ราย ไม่พบผู้ป่วยที่เกาะแบฟฟิน
วันที่ 21 มกราคม สหรัฐรายงานพบผู้ป่วยรายแรก เป็นชายอายุ 35 ปีที่อาศัยอยู่ในเทศมณฑลสโนโฮมิช รัฐวอชิงตัน ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับมาจากอู่ฮั่นที่ท่าอากาศยานนานาชาติซีแอตเทิล–ทาโคมา ในวันที่ 15 มกราคม
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ มีการพบผู้ป่วย 66 คน[329] และมีผู้หายป่วยจำนวน 7 คน วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐรายงานพบผู้ป่วยใน รัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งอาจเป็นกรณีแรกของการติดต่อกันภายในประเทศ[317] วันที่ 29 กุมภาพันธ์ ทางการรัฐวอชิงตันแถลงยืนยันว่าพบผู้เสียชีวิตรายแรกจากโรคโคโรนาไวรัสในสหรัฐ[330]
วันที่ 2 มีนาคม เทศมณฑลคิง รัฐวอชิงตัน ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและมีรายงานพบผู้ป่วยยืนยัน 14 คน และยังมีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมอีก 5 คน[331] ศูนย์อนามัยออรีกอนยังได้รายงานว่าพบผู้อาจติดเชื้อใหม่จำนวนสามรายในรัฐด้วย ซึ่งเป็นชายในเทศมณฑลอูมาทิลลา ซึ่งเข้ารับการรักษาตัวในวัลลาวัลลา รัฐวอชิงตัน[332]
ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 330,824 ราย มากเป็นอันดับ 1 ของโลก และมีจำนวนผู้ติดเชื้อ 18,684,628 ราย มากเป็นอันดับ 1 ของโลกเช่นเดียวกัน พื้นที่ที่ไม่พบผู้เสียชีวิตได้แก่ อเมริกันซามัว
วันที่ 1 มีนาคม มีรายงานพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสรายแรกในประเทศโดมินิกัน และภูมิภาคแคริบเบียน เป็นชายอายุ 62 ปีจากประเทศอิตาลี ซึ่งเดินทางเข้าประเทศในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ และเกิดอาการป่วยในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ผู้ป่วยผู้นี้ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลทหารรามอนลารา[333]
ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 2,398 ราย มีผู้ติดเชื้อ 161,930 ราย
ณ วันที่ 23 ธันวาคม ประเทศฮอนดูรัส มีผู้เสียชีวิต 3,034 ราย มีผู้ติดเชื้อ 117,190 ราย
วันที่ 23 กรกฎาคม ศูนย์กลางการแพร่ระบาดในพื้นที่วงกลมอาร์กติก ได้แก่แคว้นมูร์มันสค์ (Murmansk Oblast) มีผู้ติดเชื้อ8,975ราย หายแล้ว 4,835 และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 59 ราย เทศบาลทรุมเซอ และ เทศมณฑลฟินมาร์ก ประเทศนอร์เวย์ พบผู้ติดเชื้อ 258 รายรัฐอะแลสกา เฉพาะพื้นที่ใน วงกลมอาร์กติก ได้แก่ เขตนอร์ทสโลป (North Slope Borough) ติดเชื้อ 3 ราย และ เขตนอร์ทเวสต์ อาร์กติก (Northwest Arctic Borough) ติดเชื้อ 4 ราย รวมจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด 9,240 ราย
ดินแดนในอาร์กติกที่อยู่ในวงกลมอาร์กติก มีรายงานว่าพบผู้ป่วยที่โรงงานแก๊สธรรมชาติเหลว ในหมู่บ้านเบโลคาเมนกา (Belokamenka) ในเมือง มูร์มันสค์ ในประเทศรัสเซีย ราว 200 ราย[334][335]
วันที่ 17 ธันวาคม ศูนย์กลางการแพร่ระบาดของทวีปอเมริกาใต้ อยู่ที่ ประเทศบราซิล ประเทศเปรู และ ประเทศชิลี ในวันที่ 17 ธันวาคม ทวีปอเมริกาใต้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 9,000 ราย ทั้งหมด 7 ประเทศ พื้นที่ที่ไม่พบผู้ติดเชื้อในทวีปคือ เกาะเซาท์จอร์เจียและหมู่เกาะเซาท์แซนด์วิช
พื้นที่ที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด ณ วันที่ 23 ธันวาคม ได้แก่ที่ ประเทศบราซิล 188,285 ราย อันดับที่ 2 ของโลกรองลงมาได้แก่ ประเทศอาร์เจนตินา 42,254 ราย อันดับที่ 11 ของโลก ประเทศโคลอมเบีย 40,931 ราย อันดับที่ 12 ของโลก ประเทศเปรู 37,218 ราย อันดับที่ 13 ของโลก ประเทศชิลี 16,217 ราย อันดับที่ 21 ของโลก
พบผู้ติดเชื้อ 29 ราย แต่ไม่พบผู้เสียชีวิตที่ หมู่เกาะฟอล์กแลนด์
วันที่ 23 ธันวาคม ทั้งประเทศมีผู้ติดเชื้อ 589,189 ราย อันดับที่ 24 ของโลก เสียชีวิต 16,217 ราย อันดับที่ 21 ของโลกประเทศชิลีเป็นประเทศที่พบผู้เสียชีวิตใกล้แอนตาร์กติกามากที่สุดโดยพบที่ แคว้นมากายาเนสและลาอันตาร์ตีกาชีเลนา มีผู้เสียชีวิต 224 ราย[336]
วันที่ 23 ธันวาคม จำนวนผู้ติดเชื้อ 7,320,020 ราย เป็นอันดับที่ 3 ของโลก และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 188,285 ราย เป็นอันดับที่ 2 ของโลก
วันที่ 23 ธันวาคม จำนวนผู้ติดเชื้อ 1,000,153 ราย เป็นอันดับที่ 16 ของโลก และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 37,218 ราย เป็นอันดับที่ 13 ของโลก
วันที่ 23 ธันวาคม จำนวนผู้ติดเชื้อ 1,530,593 ราย เป็นอันดับที่ 12 ของโลก และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 40,931 ราย เป็นอันดับที่ 12 ของโลก
วันที่ 23 ธันวาคม จำนวนผู้ติดเชื้อ 1,555,279 ราย เป็นอันดับที่ 11 ของโลก และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 42,254 ราย เป็นอันดับที่ 11 ของโลก
วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2563 สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อ 36 รายในฐานวิจัยนายพลเบอร์นาร์โด โอ’ฮิกกินส์ เกลเม่ ซึ่งเป็น 1 ใน 13 ฐานวิจัยของชิลีที่ตั้งอยู่ในแอนตาร์กติกา
ตั้งแต่ วันที่ 5 ตุลาคม ศูนย์กลางการแพร่ระบาดของทวีปเอเซีย อยู่ที่ ประเทศอินเดีย ประเทศอิหร่าน
ใน วันที่ 25 ธันวาคม ไม่พบรายงานผู้ติดเชื้อใน ประเทศเติร์กเมนิสถาน เกาะคริสต์มาส หมู่เกาะโคโคส (คีลิง) และ ประเทศเกาหลีเหนือ
ณ วันที่ 25 ธันวาคม จำนวนประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,200 ราย มีจำนวน 24 ประเทศ
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ กัมพูชายืนยันพบผู้ป่วยครั้งแรกในเมืองพระสีหนุ เป็นชายชาวจีนอายุ 60 ปี เดินทางไปยังเมืองนี้จากนครอู่ฮั่นพร้อมครอบครัว[337] โดยคนในครอบครัวของเขาถูกกักไว้ พวกเขาไม่มีการแสดงอาการของไวรัส ขณะที่ชายคนดังกล่าวถูกแยกไว้เพื่อรักษาที่โรงพยาบาลส่งต่อพระสีหนุ (Preah Sihanouk Referral Hospital)[338] มีรายงานว่าอาการของเขาคงที่แล้ว[339][340] ณ 23 ธันวาคม มีผู้ติดเชื้อ 363 ราย และไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
กระทรวงสาธารณสุขแห่งกาตาร์ รายงานว่าพบผู้ป่วยไวรัสรายแรกในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ผู้ป่วยเป็นชาวกาตาร์ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศอิหร่าน[341][342][343]ณ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 243 ราย และมีผู้ติดเชื้อ 142,308 ราย
เกาหลีใต้มีผู้ป่วยในวันที่ ณ วันที่ 23 ธันวาคม จำนวน 52,550 ราย และเสียชีวิต 739 ราย เป็นการระบาดที่ใหญ่ที่สุดนอกประเทศจีน[344] ผู้ป่วยรายแรกของการระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 ในประเทศเกาหลีใต้ ได้รับการประกาศเมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2563[345] วันที่ 19 กุมภาพันธ์ จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีก 20 คน และวันที่ 20 เพิ่มขึ้นอีก 53 คน ทำให้มีผู้ป่วยรวมขณะนั้นที่ 104 คน ตามการรายงานของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งเกาหลีใต้ (KCDC) ผู้ป่วยรายใหม่ส่วนมากมาจาก "ผู้ป่วยรายที่ 31" ซึ่งเข้าร่วมชุมนุมที่โบสถ์ชินช็อนจีในแดกู[346]
ประเทศคูเวตในปัจจุบันเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในโลกอาหรับ และมีจำนวนผู้ป่วยเป็นรองเพียงประเทศอิหร่านในเอเชียตะวันตก โดยมีผู้ป่วยในประเทศถูกพบแล้ว ณ วันที่ 23 ธันวาคม จำนวน 148,507 คน[347]เสียชีวิต 923 ราย
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ประเทศจอร์เจียยืนยันพบผู้ป่วยโควิด-19 รายแรกของประเทศ เป็นชายอายุ 50 ปี ซึ่งเดินทางมาจากประเทศอิหร่าน โดยเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยายาลโรคติดเชื้อในทบิลีซี ซึ่งผู้ป่วยรายนี้กลับเข้าสู่จอร์เจียทางพรมแดนประเทศอาร์เซอร์ไบจานโดยรถแท็กซี[348][349][350][351]
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ มีการยืนยันว่าผู้หญิงชาวจอร์เจียอายุ 31 ปีที่เพิ่งเดินทางไปประเทศอิตาลีมามีผลการทดสอบเป็นบวก และเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยายาลโรคติดเชื้อในทบิลีซี[351] นอกจากนั้นยังมีผู้ถูกกักกันอยู่ณโรงพยาบาลทบิลิซีอีก 29 คน โดยที่ อามิรัน กัมเกรลิเซ รัฐมนตรีอนามัยระบุว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่ "มีความเป็นไปได้สูง" ที่อาจมีไวรัสอยู่[352] ณ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 2,182 ราย และมีผู้ติดเชื้อ 212,526 ราย
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ประเทศจอร์แดนริเริ่มการห้ามบุคคลที่เดินทางมาจากประเทศจีน ประเทศเกาหลีใต้ และประเทศอิหร่านเข้าสู่ราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว[353] ประเทศจอร์แดนได้ทำการคัดกรองทุกคนที่เดินทางเข้าสู่ประเทศผ่านทางท่าอากาศยาน โดยมีการตรวจสอบทรวงอกและลำคอตลอดจนอุณหภูมิร่างกาย ส่วนชาวจอร์แดนที่มีผลทดสอบเป็นบวกจะถูกกักโรคไว้เป็นเวลา 2 สัปดาห์[354]
วันที่ 2 มีนาคม นายกรัฐมนตรีจอร์แดนแถลงว่าพบผู้ป่วยโคโรนาไวรัสรายแรกในประเทศ[355][356] เป็นชาวจอร์แดนที่เดินทางกลับมาจากประเทศอิตาลี เมื่อสองสัปดาห์ก่อนที่จะเริ่มใช้มาตรการกักโรคชาวจอร์แดนที่เดินทางกลับมาจากประเทศอิตาลี[355][357] ณ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 3,627 ราย และมีผู้ติดเชื้อ 279,892 ราย
ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 4,634 ราย จำนวนผู้ติดเชื้อ 86,882 ราย ก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนดำเนินการปิดเมืองอู่ฮั่นเนื่องด้วยการระบาดทั่วของโควิด-19
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ประเทศซาอุดีอาระเบียประกาศระงับการเข้าประเทศเป็นการชั่วคราวสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปประกอบพิธีอุมเราะห์ในเมกกะ หรือผู้ที่ต้องการเดินทางไปเข้าชมมัสยิดอันนะบะวี รวมถึงนักท่องเที่ยว ต่อมากฎนี้ได้ขยายไปครอบคลุมนักท่องเที่ยวที่มาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่[358]
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งซาอุดีอาระเบีย ประกาศระงับการเข้าสู่ประเทศของพลเมืองในประเทศสมาชิกสภาความร่วมมืออ่าว (GCC) ยังเมกกะและมะดีนะหฺเป็นการชั่วคราว โดยพลเมืองของประเทศกลุ่ม GCC ที่พำนักอยู่ในประเทศซาอุดีอาระเบียนานเกิน 14 วันติดต่อกัน และไม่ปรากฏอาการใด ๆ อันแสดงถึงโรคโควิด-19 นั้นจะอยู่นอกเหนือกฎดังกล่าว[358]
วันที่ 2 มีนาคม ทางการซาอุดีอาระเบียยืนยันว่าพบผู้ป่วยเป็นรายแรก เป็นชาวซาอุดีอาระเบียที่เดินทางกลับมาจากประเทศอิหร่านผ่านทางประเทศบาห์เรน[359] ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 6,139 ราย และมีผู้ติดเชื้อ 361,359 ราย
ประเทศญี่ปุ่นยืนยันผู้ป่วยรายแรกเป็นชาวจีนอายุ 30 ปี ซึ่งเคยมีการเดินทางไปยังอู่ฮั่นมาก่อน มีอาการเมื่อวันที่ 3 มกราคม และกลับเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 6 มกราคมณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 2,944 ราย และมีผู้ติดเชื้อ 200,658 ราย
ที่ประเทศญี่ปุ่นมีผู้เสียชีวิตอีก 14 ราย บนเรือสำราญ แต่มีผู้เสียชีวิตที่ประเทศญี่ปุ่นเพียง 13 ราย เนื่องจากอีกหนึ่งราย เสียชีวิตในโรงพยาบาลที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งไม่ได้นับรวมไว้กับตัวเลขที่รายงาน ในเว็บไซด์ worldometer
ประเทศไต้หวันพบผู้ป่วยรายแรกในวันที่ 21 มกราคม[360] วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิตรวม 7 ราย และผู้ติดเชื้อ 770 ราย
ประเทศตุรกีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ผู้ป่วยติดเชื้อโควิดไวรัสโคโรนารายแรก เป็นผู้หญิงชาวจีนอุย อายุ 32 ปีที่เดินทางมาจากอู่ฮั่น ประเทศจีน ซึ่งมีผลตรวลหา SARS-CoV-2 เป็นบวก ทำให้ชาวตุรกีถูกกักโรค โดยถูกส่งตัวต่อไปยังโรงพยาบาลในอิสตันบูลณ วันที่ 23 ธันวาคม ประเทศตุรกีมีผู้เสียชีวิต 18,602 ราย และมีจำนวนผู้ติดเชื้อ 2,062,960 ราย
วันที่ 13 มกราคม ประเทศไทยพบผู้ป่วยรายแรก ซึ่งเป็นการพบผู้ป่วยนอกประเทศจีนเป็นครั้งแรก[361][362][363] วันที่ 1 มีนาคม มีรายงานผู้เสียชีวิตเป็นรายแรก[364]ในวันที่ 6 เมษายน เที่ยวบินจากจาการ์ตาที่ทำการบินลงที่ท่าอากาศยานหาดใหญ่ นำผู้ติดเชื้อเข้าสู่จังหวัดจำนวน 18 ราย
เกาะที่มีขนาดใหญ่ 5 อันดับแรกของประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อ 3 เกาะณ 15 พฤษภาคม เฉพาะที่ภูเก็ต มีผู้ติดเชื้อ 224 ราย เสียชีวิต 3 รายซึ่งจำนวนผู้เสียชีวิตมากเป็นอันดับ 3 ของทั้งประเทศ รองจากกรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ
เกาะสมุย ติดเชื้อ 7 รายส่วนเกาะพะงัน ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของประเทศไทย ติดเชื้อ 1 ราย ยอดรวมทั้งประเทศ ณ วันที่ 23 ธันวาคม เสียชีวิต 60 ราย และมีผู้ติดเชื้อ 5,716 ราย
ประเทศทาจิกิสถาน ในวันที 30 เมษายน พบติดเชื้อโรคไวรัสโคโรนา เป็นผู้ชายชาวทาจิกิสามคนกลับมาจากประเทศอินเดีย มีผู้ป่วย 15 ราย วันที่ 2 พฤษภาคม พบผู้เสียชีวิตรายแรก
ต่อมาวันที่ 7 พฤษภาคม ทาจิกิสถานได้ประกาศปิดพรมแดนที่ติดกันอัฟกานิสถาน ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 89 ราย ผู้ติดเชื้อ 13,034 ราย
นักศึกษาชาวเนปาลซึ่งเดินทางกลับมาจากนครอู่ฮั่นและถูกกักโรคอยู่ในกาฐมาณฑุ[365] กลายเป็นผู้ป่วยรายแรกของประเทศเนปาลและภูมิภาคเอเชียใต้ในวันที่ 24 มกราคม หลังจากตัวอย่างถูกส่งไปยังศูนย์ร่วมองค์การอนามัยโลกในฮ่องกง[366][367] และถูกเลิกกักตัวหลังจากที่อาการดีขึ้น[368] ณ วันที่ 23 ธันวาคม รายงานผู้เสียชีวิต 1,798 ราย และมีผู้ติดเชื้อ 255,236 ราย
ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้ติดเชื้อ 90,634 ราย และเสียชีวิต 350 ราย
ณ วันที่ 23 ธันวาคม ประเทศบังคลาเทศมีผู้เสียชีวิต 7,329 ราย เป็นและมีผู้ติดเชื้อ 503,501 ราย
ประเทศเยเมน ในวันที่ 10 เมษายน พบผู้ป่วย 1 ราย ในเมืองฮาดราเมาต์ณ วันที่ 23 ธันวาคม ผู้เสียชีวิต 606 ราย ติดเชื้อ 2,087 ราย
ณ วันที่ 17 ธันวาคม รัฐชัมมูและกัศมีร์ มีผู้ติดเชื้อ 117,317 ราย และเสียชีวิต 1,826 ราย
รัฐบาลปากีสถานเริ่มใช้มาตรการคัดกรองผู้โดยสารที่ท่าอากาศยานในอิสลามาบาด การาจี ลาฮอร์ และเปศวาร์ เพื่อป้องกันการเข้าสู่ประเทศของไวรัสโคโรนา[369] นอกจากนี้ปากีสถานอินเตอร์เนชันแนลแอร์ไลน์ยังประกาศใช้มาตรการคัดกรองผู้โดยสารก่อนเดินทางขึ้นเครื่องในเที่ยวบินที่ท่าอากาศยานนานาชาติกรุงปักกิ่งด้วย[370] วันที่ 27 มกราคม สภานิติบัญญัติกิลกิต-บัลติสตันประกาศหน่วงเวลาการเปิดด่านแนวเขตแดนจีน–ปากีสถานที่ช่องผ่านแดนคุนเยรับในเดือนกุมภาพันธ์[371] และยังประกาศปิดพรมแดนปากีสถาน–อิหร่านด้วย[372]
วันที่ 1 มีนาคม มีรายงานพบผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มเติมในการาจีและอิสลามาบาด ทำให้จำนวนผู้ป่วยของประเทศเพิ่มเป็นสี่ราย[373] ส่วนผู้ป่วยรายแรกและรายที่สองมีประวัติการเดินทางไปยังประเทศอิหร่าน ซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเชื้อว่าเขาติดเชื้อ[374]
วันที่ 3 มีนาคม ทางการปากีสถานยืนยันพบผู้ป่วยรายที่ห้า ในแคว้นสินธ์ ผู้ที่เพิ่งเดินทางกลับจากการแสวงบุญที่ประเทศอิหร่านจำนวน 960 ราย ถูกกักโรคในทันที[375]ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 9,474 ราย มีผู้ติดเชื้อ 460,672 ราย
ผู้ป่วยรายแรกของประเทศฟิลิปปินส์ ได้รับการยืนยันในวันที่ 30 มกราคม[376] วันที่ 5 กุมภาพันธ์ กรมอนามัย (DOH) ได้มีการยืนยันผู้ป่วยรายที่สาม[377]วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 9,021 ราย ผู้ติดเชื้อ 462,815 ราย
ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้ติดเชื้อ 46 ราย
ชาวจีนแปดคนถูกกักตัวอยู่ที่โรงแรมในรัฐยะโฮร์ เมื่อวันที่ 24 มกราคม หลังจากที่มีการติดต่อกับผู้ป่วยในประเทศสิงคโปร์[378] แม้จะมีรายงานในตอนแรกว่าผลการทบสอบให้ผลเป็นลบ[379] แต่ต่อมาในวันที่ 25 มกราคม มีการยืนยันว่าทั้งสามคนติดเชื้อ และถูกส่งตัวไปกักไว้ที่โรงพยาบาลสุไหงบูโลห์ในรัฐเซอลาโงร์[380][381]
วันที่ 16 กุมภาพันธ์ ผู้ป่วยรายที่สิบห้าซึ่งเป็นชาวจีนได้หายป่วยอย่างสมบูรณ์ นับเป็นผู้ป่วยที่หายป่วยเป็นรายที่แปดของประเทศมาเลเซีย[382] ต่อมาก็มีรายงานว่าชาวมาเลเซียอีกคนที่ติดเชื้อก็หายดีเป็นรายที่ 9[383] วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้ติดเชื้อ 97,389 ราย และมีผู้เสียชีวิต 439 ราย
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ประเทศเลบานอนยีนยันพบผู้ป่วยโควิด-19 รายแรก เป็นหญิงอายุ 45 ปีที่เดินทางมาจากกอม ประเทศอิหร่าน ซึ่งมีผลตรวจหา SARS-CoV-2 เป็นบวก โดยถูกส่งตัวต่อไปยังโรงพยาบาลในเบรุต[384] วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้ติดเชื้อ 160,979 ราย และเสียชีวิต 1,311 ราย
ผู้ป่วยยืนยันสองรายแรกเข้าโรงพยาบาลในวันที่ 22 มกราคม และรับการรักษาที่โรงพยาบาลโช่เซย ในนครโฮจิมินห์ กรณีแรกเป็นชาวจีนที่เดินทางจากนครอู่ฮั่นไปฮานอย เพื่อเยื่ยมลูกชายที่อาศัยอยู่ในเวียดนาม และรายที่สองคือลูกชายของเชื่อว่าติดโรคจากผู้เป็นพ่อ[385] หลังจากที่ยืนยันแล้ว รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สั่งให้เปิดใช้งานศูนย์ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดฉุกเฉิน[386]
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ บิดาของผู้ป่วยดังกล่าวมีผลการทดสอบเป็นบวก และกลายเป็นผู้ป่วยรายที่สิบหก[387] วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พวกเขาทั้งหมดได้หายป่วย[388] ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้ติดเชื้อ 1,420 ราย เสียชีวิต 35 ราย
ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 183 ราย มีผู้ติดเชื้อ 38,059 ราย
ผู้ป่วยรายแรกของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้รับการยืนยันในวันที่ 29 มกราคม พรัอมกับครบครัว ของ ชาวอู่ฮั่น[389][390] เป็นผู้หญิงชราชาวจีน อายุ 72 ปี และ ลูกชาย อายุ 34 ปี ที่กรณีแรกเป็นชาวจีนเดินทางมาจากนครอู่ฮั่นไปนครดูไบ ซึ่งมีผลตวรจหา SASR-Cov-2 ถูกกักโรค โดยถูกส่งตัวไปเข้าโรงพยาบาลในดูไบ
ณ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ หลังจากชาวเอมิเรตส์ได้ติดเชื้อโรคโควิด-19 เพื่อลูกสาวที่อาศัยอยู่ที่ดูไบ และรายที่สามคือลูกสาวของเชื้อว่าติดโรคกับแม่
วันที่ 2 มืนาคม กรุงอาบูดาบียีนยันพบผู้ป่วยโควิด-19 เป็นผู้ชายชาวรัสเซีย อายุ 38 ปี และผู้หญิงชาวรัสเซีย อายุ 36 ปี กรณีแรกเป็นชาวรัสเซียเดินทางจากกรุงมอสโกไปอาบูดาบี ชาวรัสเซียสองคนถูกกักตัวอยู่ที่โรงแรมในอาบูดาบี ต่อมา วันที่ 25 มืนาคม รัฐบาลเอมิเรตส์ได้โอกาศปัญหากับ อาบูดาบีและดูไบ จากปิดชั่วคราว เช่า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ หัง โรงภาพยนตร์ และทั้งหมด ยกเว็น โรงพยาบาล และร้านขายยา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ประกาศปิดพรมแดนที่ตัดกับประเทศซาอุดีอาระเบีย ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้ติดเชื้อ 195,878 ราย เสียชีวิต 642 ราย
ผู้ป่วยรายแรกในประเทศสิงคโปร์ได้รับการยืนยันในวันที่ 23 มกราคม[391] ต่อมามีการรายงานพบผู้ป่วยในท้องถิ่นเป็นรายแรกเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ร้านย่งไทฮั่ง (Yong Thai Hang) เป็นร้านค้าที่ให้บริการนักท่องเที่ยวชาวจีนได้รับการระบุเป็นสถานที่ที่เกิดการติดเชื้อ เนื่องจากมีผู้หญิงจำนวนสี่คนที่ไม่เคยเดินทางไปยังประเทศจีนเกิดติดเชื้อไวรัสขึ้น[392]
วันที่ 4 มีนาคม มีผู้ป่วยในประเทศรวม 112 คน[393]ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้ติดเชื้อ 58,461 ราย จำนวนผู้เสียชีวิต 29 ราย
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 มีพลเมืองในเฮรัตอย่างน้อยสามคน ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับมาจากกอม ถูกต้องสงสัยว่าติดเชื้อโควิด-19 ตัวอย่างเลือดถูกส่งไปยังคาบูลเพื่อทดสอบเพิ่มเติม[394] ภายหลังอัฟกานิสถานได้ประกาศปิดพรมแดนที่ติดกับอิหร่าน
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ มีการยืนยันผู้ป่วยรายแรก ซึ่งเป็นหนึ่งในสามคนจากเฮรัตดังกล่าว โดยเป็นชายอายุ 35 ปีซึ่งมีผลการทดสอบ SARS-CoV-2 เป็นบวก[395] ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 2,105 ราย ผู้ติดเชื้อ 51,089 ราย
ประเทศอาเซอร์ไบจานมีการยืนยันผู้ป่วยรายแรกในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ จากรัสเซีย ซึ่งเคยเพิ่งเดินทางมาจากประเทศอิหร่าน[396] และยังมีการพบผู้ป่วยเพิ่มเติมอีกสองรายในประเทศ ทั้งหมดถูกกักโรค ต่อมาอาเซอร์ไบจานได้ประกาศปิดชายแดนที่ติดกับประเทศอิหร่าน[397] ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 2,294 ราย ผู้ติดเชื้อ 205,877 ราย
ประเทศคาซัคสถานยีนยันพบผู้ป่วยโคโรนาไวรัสรายในวันที่ 13 มีนาคม จากจีน ซึ่งเคยเพิ่งเดินทางมาจากประเทศตุรกี และยังมีการพบผู้ป่วยเพิ่มอีกสองรายในประเทศ ทั้งหมดถูกกักโรค ต่อมาคาซัคสถานได้ประกาศปิดพรมแดนที่ติดกับประเทศรัสเซีย ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้ติดเชื้อ 147,975 ราย และผู้เสียชีวิต 2,147 ราย
ประเทศอาร์มีเนียยืนยันพบผู้ป่วยโคโรนาไวรัสรายแรกในช่วงปลายของวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 1 มีนาคม เป็นชาวอาร์มีเนียอายุ 29 ปีที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศอิหร่านและมีรายงานยืนยันผลทดสอบเป็นบวก ภริยาของบุคคลนี้ได้ถูกนำไปทดสอบเช่นกัน โดยผลออกมาเป็นลบ นายกรัฐมนตรีนิกอล ปาชินยันแถลงว่าผู้ป่วยนั้น "มีอาการดีขึ้นแล้ว" นอกจากนี้ยังมีผู้เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยประมาณ 30 คนถูกนำไปทดสอบและจะถูกกักโรค ซึ่งก่อนหน้านี้อาร์มีเนียได้ประกาศปิดพรมแดนที่ติดกับประเทศอิหร่านไปแล้ว[398] ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 2,673 ราย และมีผู้ติดเชื้อ 154,602 ราย
รัฐบาลอินเดียออกคำแนะนำการเดินทางแก่ประชาชน โดยเฉพาะกับนครอู่ฮั่น ซึ่งมีนักศึกษาแพทย์ชาวอินเดียกำลังศึกษาอยู่ประมาณ 500 คน[399]
ผู้โดยสารที่เดินทางมาจากประเทศจีนเข้าสู่ท่าอากาศยานหลักเจ็ดแห่งของประเทศอินเดีย ต้องเดินผ่านเครื่องตรวจจับความร้อน[400][401]
วันที่ 24 มกราคม มีรายงานผู้ต้องสงสัยจำนวนสองราย ซึ่งกำลังเข้ารับการรักษาอยู่ในมุมไบ[402] ณ วันที่ 23 ธันวาคม จำนวนผู้เสียชีวิตในอินเดียมากถึง 146,476 ราย ผู้ติดเชื้อ 10,099,308 ราย
ประเทศอินโดนีเซียได้ทำการติดตั้งเครื่องตรวจอุณหภูมิที่เกตและท่าเรือโดยกระทรวงอนามัย และยังมีการจัดเตรียมห้องกักโรคที่โรงพยาบาลกว่า 100 แห่ง
อินโดนีเซียประกาศห้ามทุกเที่ยวบินที่เดินทางมาจากจีนแผ่นดินใหญ่เข้า รวมถึงออกจากประเทศ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป และยังยกเลิกการให้ฟรีวีซ่าและวีซ่าเมื่อมาถึงกับบุคคลสัญชาติจีนด้วย และยังห้ามผู้ที่อยู่หรือพำนักในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่เป็นเวลาอย่างน้อย 14 วันเข้าหรือผ่านประเทศอินโดนีเซีย[403]
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ชาวอินโดนีเซียจำนวน 9 คนที่เดินทางไปบนเรือไดมอนด์พรินเซสมีผลการทดสอบการติดเชื้อเป็นบวก ขณะที่รัฐบาลอินโดนีเซียเตรียมส่งลูกเรือที่เหลือ 68 คนจาก 188 คนจากเรือเวิลด์ดรีม ไปยังเกาะเซอบารูเคกิล ซึ่งเป็นเกาะที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ในบรรดาหมู่เกาะนับพัน[404][405][406]
วันที 2 มีนาคม ทางการอินโดนีเซียได้ยืนยันติดเชื้อว่าพบผู้ป่วย ชาวอินโดนีเซียที่เดินทางกลับมาจากประเทศจีน
ณ วันที่ 23 ธันวาคม อินโดนีเซียมีผู้เสียชีวิต 20,257 ราย ผู้ติดเชื้อ 678,125 ราย
ณ วันที่ 23 ธันวาคม ประเทศอิรัก มี ผู้ติดเชื้อ รวม 586,503 ราย และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 12,725 ราย[407]
ประเทศอิหร่านเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของโลกในทวีปเอเซีย
โดยเจอผู้ติดเชื้อรายแรกที่เมืองกอม (Qom City) ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563
ณ วันที่ 23 ธันวาคม พบผู้ติดเชื้อ 1,170,743 ราย[408] ประเทศอิหร่าน มีผู้เสียชีวิต 54,003 ราย
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ มีการยืนยันผู้ป่วยโคโรนาไวรัสสองรายแรก เป็นหญิงชาวโอมานสองคนที่กลับมาจากประเทศอิหร่าน[409][410] ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิตรวม 1,490 ราย ผู้ติดเชื้อ 128,143 ราย
ณ วันที่ 23 ธันวาคม ประเทศอิสราเอลมีผู้เสียชีวิต 3,136 ราย ติดเชื้อ 382,487 ราย
วันที่ 26 พฤษภาคม ศูนย์ปกป้องอนามัยฮ่องกงพบผู้ป่วยรวม 1,206 คน ในฮ่องกง และผู้เสียชีวิต 7 คน[411][412][413]ณ วันที่ 23 ธันวาคม ฮ่องกง มีผู้เสียชีวิต 132 ราย ติดเชื้อ 8,321 ราย
ณ วันที่ 23 ธันวาคม ศูนย์กลางการแพร่ระบาดของโอเซียเนียได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศนิวซีแลนด์ และ เฟรนช์พอลินีเชีย
ณ วันที่ 23 ธันวาคม จำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 700 ราย พบใน 4 ประเทศ คือ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศนิวซีแลนด์ ประเทศปาปัวนิวกินี เฟรนช์พอลินีเชีย
ณ วันที่ 23 ธันวาคม โอเชียเนียมีผู้เสียชีวิตรวม 1,050 ราย ติดเชื้อรวม 47,648 ราย
ประเทศที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากกว่า 1 ราย มี 5 ประเทศได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศนิวซีแลนด์ ประเทศฟิจิ ประเทศปาปัวนิวกินี เฟรนช์พอลินีเชีย
วันที่ 25 มกราคม มีการยืนยันผู้ป่วยรายแรก เป็นชายอายุราว 50 ปี ซึ่งเดินทางจากเมืองกว่างโจวมายังเมลเบิร์นในวันที่ 19 มกราคม ผ่านสายการบินไชนาเซาเทิร์นแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ CZ321 เขาเข้ารับการรักษาตัวที่ศูนย์การแพทย์โมนาชในเมลเบิร์น[414][415] จากนั้นมีการประกาศว่ามีผู้ป่วยอีกสามรายที่มีผลการทดสอบเป็นบวกในรัฐนิวเซาท์เวลส์[416][417] ต่อมามีการเฝ้าสังเกตอาการอีกหกราย และมีการยืนยันว่าจะเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลหลังจากเพิ่งเดินทางกลับมาจากนครอู่ฮั่น จากในหกราย มีผู้ต้องสงสัยถึงสองรายที่มีโอกาสติดเชื้อไวรัส ส่วนที่เหลืออีกสี่รายอาจถูกสงสัยว่าติดเชื้อไวรัส[418]
หัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ออสเตรเลีย ระบุว่าเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางชีวภาพ จะเริ่มคัดกรองผู้โดยสารที่เดินทางมาถึงในสามสัปดาห์โดยเที่ยวบินจากอู่ฮั่นถึงซิดนีย์ ในวันที่ 23 มกราคม ผู้โดยสารจะได้รับแผ่นพับข้อมูล และข้อให้แสดงตัวหากมีไข้หรือต้องสงสัยว่าอาจติดเชื้อโรค[419]รัฐแทสเมเนีย มีผู้เสียชีวิต 13 ราย
ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 908 ราย ผู้ติดเชื้อ 28,237 ราย
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พบผู้ป่วยรายแรกกลับมาจากประเทศอิหร่าน[420]วันที่ 25 มีนาคม ประเทศนิวซีแลนด์ พบผู้ติดเชื้อ 205 ราย รักษาหายแล้ว 22 ราย ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน[421] 29 มีนาคม พบผู้เสียชีวิตรายแรก[422]ณ วันที่ 23 ธันวาคม ประเทศนิวซีแลนด์มีผู้เสียชีวิต 25 ราย ผู้ติดเชื้อ 2,128 ราย
หมู่เกาะแชทัม และ เกาะสจวร์ตไม่พบผู้ติดเชื้อ
ประเทศฟิจิ ณ วันที่ 23 ธันวาคม พบผู้ติดเชื้อ 46 ราย เสียชีวิต 2 ราย
ประเทศปาปัวนิวกินี ณ วันที่ 23 ธันวาคม พบผู้ติดเชื้อ 761 ราย เสียชีวิต 9 ราย
เฟรนช์พอลินีเชีย ณ วันที่ 23 ธันวาคม พบผู้ติดเชื้อ 16,410 ราย เสียชีวิต 106 ราย
ในวันที่ 13 ธันวาคม นายกรัฐมนตรีประเทศเอสวาตีนี ถึงแก่อสัญกรรมจากการติดเชื้อโควิด 19
ณ วันที่ 18 ธันวาคม จำนวนผู้ติดเชื้อพบทั้งทวีปแอฟริกา จำนวนผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,200 ราย มีจำนวน 10 ประเทศ
ศูนย์กลางการแพร่ระบาดอยู่ที่ ประเทศแอฟริกาใต้ ประเทศอียิปต์ และ ประเทศแอลจีเรีย ประเทศที่ไม่มีผู้เสียชีวิต ได้แก่ ประเทศเอริเทรีย และ ประเทศเซเชลส์
ประเทศอียิปต์วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 อียิปต์ได้ยืนยันติดเชื้อผู้ป่วย มีผู้ชายชาวจีนอายุ 30 ปี ใด้เดินทางมาจาก ประเทศจีน ต้องหา ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ เป็นบวก ทำไห้ชาวอียิปต์ถูกติดเชิ้อโควิด-19 ต้องสั่งไปเข้าโรงพยาบาลในไคโร
วันที่ 25 มีนาคม 2563 สายการบินอียิปต์แอร์ ถูกยกเลิกเที่ยวบินแล้ว ต่อมา วันที่ 12 เมษายน 2563 สนามบินแห่งไคโรได้ปิดทำการ อียิปต์ได้ประกาศปิดแดนทะเลซาอุดีอาระเบีย ณ วันที่ 23 ธันวาคม ประเทศอียิปต์ มีผู้เสียชีวิต 7,167 ราย ผู้ติดเชื้อ 127,061 ราย
ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 2,687 ราย มีจำนวนผู้ติดเชื้อ 96,069 ราย
ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 7,030 ราย ผู้ติดเชื้อ 420,648 ราย
ประเทศแอฟริกาใต้ เป็นประเทศพบผู้ป่วยรายแรก 25 กุมภาพันธ์
ณ วันที่ 23 ธันวาคม มีผู้เสียชีวิต 25,246 ผู้ติดเชื้อ 940,212 ราย
ณ วันที่ 23 ธันวาคม ผู้เสียชีวิต 1,231 ผู้ติดเชื้อ 79,789 ราย
ณ 23 ธันวาคม ประเทศเอธิโอเปีย ผู้เสียชีวิต 1,864 ผู้ติดเชื้อ 120,638 ราย
เมนูนำทาง
การระบาดทั่วของไวรัสโคโรนา_พ.ศ._2562–2563_เรียงตามประเทศและดินแดน มีผู้ป่วยยืนยันแล้วใกล้เคียง
การระบาดทั่วของโควิด-19 การระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศไทย การระบาดทั่วของโควิด-19 เรียงตามประเทศและดินแดน การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 การระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่ การระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศทาจิกิสถาน การระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศซาอุดีอาระเบีย การระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศแทนซาเนีย การระบาดทั่วของโควิด-19 ในทวีปยุโรป การระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศบังกลาเทศแหล่งที่มา
WikiPedia: การระบาดทั่วของไวรัสโคโรนา_พ.ศ._2562–2563_เรียงตามประเทศและดินแดน http://mcp.gov.ba/?lang=en http://covid19tracker.gov.bd/ http://www.moh.gov.bn/SitePages/pressreleaseCOVID-... http://www.zviazda.by/be/news/20200922/1600771232-... http://www.sante.gouv.cg/ http://covid19.minsante.cm/ http://www.nhc.gov.cn/yjb/s7860/202009/2de52736b3c... http://gismoldova.maps.arcgis.com/apps/opsdashboar... http://covid19zw.com/ http://www.seychellesnewsagency.com/articles/13326...