ทวีปยุโรป ของ การเข้าเมืองกับอาชญากรรม

การศึกษาหนึ่งในปี 2558 พบว่าการเพิ่มการหลั่งไหลของการเข้าเมืองสู่ประเทศยุโรปตะวันตกที่เกิดขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 2000 นั้น "ไม่มีผลต่อการตกเป็นผู้เสียหายอาชญากรรม แต่สัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของความกลัวอาชญากรรม โดยความกลัวอาชญากรรมนี้ต้องกันและสัมพันธ์เชิงบวกกับเจตคติไม่สนับสนุนต่อผู้เข้าเมืองของคนพื้นเมือง"[5] ในการสำรวจเอกสารข้อมูลเศรษฐศาสตร์ที่มีอยู่เรื่องการเข้าเมืองกับอาชญากรรม นักเศรษฐศาสตร์ผู้หนึ่งอธิบายเอกสารข้อมูลที่มีอยู่ในปี 2557 ว่าแสดงว่า "ผลลัพธ์สำหรับทวีปยุโรปนั้นคละกันสำหรับอาชญากรรมทรัพย์สินแต่ไม่พบสนธิการสำหรับอาชญากรรมรุนแรง"[3]

ประเทศเยอรมนี

การศึกษาผลกระทบทางสังคมแบบเบ็ดเสร็จครั้งแรกของผู้ลี้ภัยหนึ่งล้านคนที่ไปประเทศเยอรมนีพบว่าก่อให้เกิด "อาชญากรรมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับความผิดยาเสพติดและการเลี่ยงค่าโดยสาร"[46][47]

รายงานที่สำนักงานการสอบสวนอาชญากรรมกลางเยอรมันในเดือนพฤศจิกายน 2558 ออกพบว่าในช่วงเดือนมกราคม–กันยายน 2558 อัตราอาชญากรรมของผู้ลี้ภัยอยู่ในระดับเดียวกับชาวเยอรมันพื้นเมือง[48] ตามข้อมูลของดอยท์เชอเวลเลอ รายงานดังกล่าว "สรุปอาชญากรรมส่วนใหญ่ที่ผู้ลี้ภัยเป็นผู้กระทำ (ร้อยละ 67) ประกอบด้วยการลักทรัพย์ การชิงทรัพย์และกลฉ้อฉล อาชญากรรมทางเพศประกอบเป็นน้อยกว่าร้อยละ 1 ของอาชญากรรมทั้งหมดที่ผู้ลี้ภัยก่อ ขณะที่การฆ่าคนประกอบเป็นสัดส่วนน้อยที่สุดที่ร้อยละ 0.1"[48] ตามคำอธิบายของรายงานดังกล่าวของหนังสือพิมพ์อนุรักษนิยม ดีเวลท์ อาชญากรรมที่พบบ่อยที่สุดที่ผู้ลี้ภัยก่อคือการไม่จ่ายค่าโดยสารขนส่งสาธารณะ[49] จากข้อมูลของดอยท์เชอเวลเลอที่รายงานรายงานของสำนักงานการสอบสวนอาชญากรรมกลางเยอรมันในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 จำนวนอาชญากรรมที่ผู้ลี้ภัยก่อมิได้เพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนกับจำนวนผู้ลี้ภัยระหว่างปี 2557–2558[50] จากข้อมูลของดอยท์เชอเวลเลอ "ระหว่างปี 2557 ถึง 2558 จำนวนอาชญากรรมที่ผู้ลี้ภัยก่อเพิ่มร้อยละ 79 ทว่า ในช่วงเดียวกัน จำนวนผู้ลี้ภัยในประเทศเยอรมนีเพิ่มขึ้นร้อยละ 440"[50]

ในเดือนพฤษภาคม 2559 โพลิติแฟ็กต์ถือว่าคำแถลงของดอนัลด์ ทรัมป์ที่ว่า "ประเทศเยอรมนีเดี๋ยวนี้เต็มไปด้วยอาชญากรรม" เนื่องจากการย้ายถิ่นเข้าทวีปยุโรปเป็นเท็จเสียส่วนใหญ่[51] เว็บไซต์ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวหมายเหตุว่าอัตราอาชญากรรมของประเทศเยอรมนี โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราอาชญากรรมรุนแรง ต่ำกว่าในสหรัฐมาก และข้อมูลเสนอว่าอัตราอาชญากรรมของผู้ลี้ภัยโดยเฉลี่ยต่ำกว่าของชาวเยอรมันโดยเฉลี่ย[51]

การศึกษาหนึ่งในบทปฏิทัศน์เศรษฐกิจยุโรปพบว่านโยบายการเข้าเมืองของรัฐบาลเยอรมันของผู้มีเชื้อสายเยอรมันกว่า 3 ล้านคนสู่ประเทศเยอรมนีหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอาชญากรรมอย่างมีนัยสำคัญ[52] ผลนี้มีมากที่สุดในภูมิภาคที่มีการว่างงานสูง ระดับอาชญากรรมเดิมสูงหรือสัดส่วนคนต่างด้าวสูง[52]

ดอยท์เชอเวลเลอรายงานในปี 2549 ว่าในกรุงเบอร์ลิน ผู้เข้าเมืองชายหนุ่มมีแนวโน้มก่ออาชญากรรมรุนแรงสูงกว่าชายหนุ่มชาวเยอรมันสามเท่า[53] ขณะที่กัสทาร์ไบเทอร์ (Gastarbeiter) ในคริสต์ทศวรรษ 1950 และ 1960 มิได้มีอัตราอาชญากรรมเพิ่มขึ้น แต่ผู้เข้าเมืองรุ่นที่สองและรุ่นที่สามมีอัตราอาชญากรรมสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ[54]

ประเทศสวีเดน

รายงานปี 2548 ของสภาแห่งชาติสวีเดนเพื่อการป้องกันอาชญากรรมที่ศึกษาชาวสวีเดนอายุระหว่าง 15 ถึง 51 ปีจำนวน 4.4 ล้านคนระหว่างช่วงปี 2540–2544 พบว่า 58.9% ของผู้ต้องสงสัยอาชญากรรมเกิดกับบิดามารดาที่เป็นชาวสวีเดนทั้งสองคน (74.5% ของประชากรทั้งหมด) 10.4% เกิดกับบิดามารดาที่เป็นชาวสวีเดนหนึ่งคน (9.3% ของประชากรทั้งหมด) 5.2% เกิดกับบิดามารดาชาวต่างด้าวทั้งสองคน (3.2% ของประชากรทั้งหมด) และ 25% ของปัจเจกบุคคลที่เกิดนอกประเทศ (13.1% ของประชากรทั้งหมด)[55] รายงานดังกล่วพบว่าผู้เข้าเมืองชายมีแนวโน้มถูกสอบสวนสำหรับความรุนแรงถึงชีวิตและการปล้นทรัพย์มากกว่าชาติพันธุ์สวีเดน 4 เท่า นอกจากนี้ ผู้เข้าเมืองชายมีโอกาสถูกสอบสวนฐานทำร้ายร่างกายรุนแรงมากกว่าประชากรทั่วไป 4 เท่า และอาชญากรรมทางเพศมากกว่า 5 เท่า[55] ผู้เข้าเมืองจากทวีปแอฟริกาและเอเชียใต้และตะวันตกมีโอกาสถูกตั้งข้อหาอาชญากรรมมากกว่าปัจเจกบุคคลที่เกิดกับบิดามารดาที่เป็นชาวสวีเดนทั้งสองคน 4.5 และ 3.5 เท่าตามลำดับ[55] รายงานดังกล่าวอาศัยสถิติสำหรับ "ผู้ต้องสงสัย" กระทำผิด แต่สตินา โฮล์มเบิร์ก (Stina Holmberg) แห่งสภาสำหรับการป้องกันอาชญากรรมกล่าวว่ามี "ผลต่างเล็กน้อย" ในสถิติสำหรับผู้ต้องสงสัยอาชญากรรมและผู้ที่ถูกพิพากษาลงโทษจริง "ต่ำกว่าร้อยละ 60 เล็กน้อยของความผิดเกือบ 1,520,000 ความผิด... ที่จดทะเบียนระหว่างช่วงดังกล่าวที่รวมอยู่ในการศึกษานี้ สามารถบี้งชี้ว่าเกิดจากบุคคลที่เกิดในประเทศสวีเดนกับบิดามารดาที่เกิดเป็นชาวสวีเดนทั้งสองคน"[56] ทว่าในรายงานรัฐบาลปี 2549 เสนอว่าผู้เข้าเมืองเผชิญกับการเลือกปฏิบัติโดยฝ่ายบังคับกฎหมาย ซึ่งนำไปสู่ข้อแตกต่างอย่างมีความหมายระหว่างผู้ต้องสงสัยอาชญากรรมกับผู้ถูกพิพากษาลงโทษจริง[57] ในรายงานปี 2551 ของสภาแห่งชาติสวีเดนสำหรับการป้องกันอาชญากรรมพบหลักฐานการเลือกปฏิบัติต่อผู้มีเชื้อสายต่างด้าวในระบบยุติธรรมสวีเดน[21] รายงานปี 2548 พบว่าผู้เข้าเมืองที่เข้าเมืองสวีเดนระหว่างสมัยเด็กตอนต้นมีอัตราอาชญากรรมต่ำกว่าผู้เข้าเมืองอื่น[58] เมื่อคำนึงถึงปัจจัยเศรษฐกิจสังคม (เพศ อายุ การศึกษาและรายได้) ช่องว่างอัตราอาชญากรรมระหว่างผู้เข้าเมืองและชนพื้นเมืองลดลง[58]

รายงานปี 2539 โดยสภาแห่งชาติสวีเดนสำหรับการป้องกันอาชญากรรมพบว่าระหว่างปี 2528 ถึง 2532 ปัจเจกบุคคลที่เกิดในประเทศอิรัก แอฟริกาเหนือ (ประเทศแอลจีเรีย ลิเบีย โมร็อกโกและตูนิเซีย) ทวีปแอฟริกา (ยกเว้นประเทศยูกันดาและประเทศแอฟริกาเหนือ) ตะวันออกกลางอื่น (ประเทศจอร์แดน ปาเลสไตน์ ซีเรีย) ประเทศอิหร่านและยุโรปตะวันออก (ประเทศโรมาเนีย บัลแกเรีย) ถูกพิพากษาลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราที่อัตราสูงกว่าปัจเจกบุคคลที่เกิดในประเทศสวีเดน 20, 23, 17, 9, 10 และ 18 เท่าตามลำดับ[59] ทั้งรายงานปี 2539 และ 2548 ถูกวิจารณ์ว่าใช้การควบคุมสำหรับปัจจัยสังคมเศรษฐกิจไม่เพียงพอ[22]

รายงานปี 2556 พบว่าทั้งผู้เข้าเมืองรุ่นแรกและรุ่นที่สองมีอัตราความผิดต้องสงสัยสูงกว่าชาวสวีเดนพื้นเมือง[60] ขณะที่ผู้เข้าเมืองรุ่นแรกมีอัตราผู้กระทำความผิดสูงสุด แต่ผู้กระทำความผิดมีจำนวนความผิดเฉลี่ยต่ำสุด ซึ่งบ่งชี้ว่ามีอัตราการกระทำความผิดอัตราต่ำสูง (ผู้กระทำความผิดต้องสงสัยจำนวนมากมีความผิดที่จดทะเบียนไว้ครั้งเดียว) อัตราการกระทำความผิดเรื้อรัง (ผู้กระทำความผิดที่ต้องสงสัยหลายความผิด) สูงกว่าในหมู่ชาวสวีเดนพื้นเมืองมากกว่าผู้เข้าเมืองรุ่นแรก ผู้เข้าเมืองรุ่นที่สองมีอัตรากระทำความผิดเรื้อรังสูงกว่าผู้เข้าเมืองรุ่นแรกที่มีอัตรากระทำความผิดรวมต่ำกว่า[60]

การศึกษาโดยใช้ปัจจัยสังคมเศรษฐกิจที่เบ็ดเสร็จกว่ารายงานปี 2539 และ 2548 พบว่า "สำหรับชาย เราสามารถอธิบายระหว่างครึ่งหนึ่งและสามในสี่ของช่องว่างอาชญากรมโดยอ้างอิงทรัพยากรทางสังคมเศรษฐกิจที่ได้จากพ่อแม่และการแบ่งแยกสถานที่ใกล้เคียง สำหรับหญิง เราสามารถอธิบายได้มากกว่า บางทีเป็นช่องว่างทั้งหมด"[22] ผู้ประพันธ์ยังพบอีกว่า "วัฒนธรรมมีความเป็นไปได้น้อยที่จะเป็นสาเหตุอาชญากรรมที่น่าเชื่อถือในหมู่ผู้เข้าเมือง"[22]

สหราชอาณาจักร

วันที่ 30 มิถุนายน 2556 มีนักโทษ 10,786 คนจาก 160 ประเทศถูกจำคุกในประเทศอังกฤษและเวลส์[61] ประเทศโปแลนด์ จาไมกาและสาธารณรัฐไอร์แลนด์มีสัดส่วนคนต่างด้าวสูงสุดในเรือนจำสหราชอาณาจักร[61] โดยรวม มีคนต่างด้าวอยู่ 13% ของประชากรเรือนจำ ขณะที่คนต่างด้าวคิดเป็น 13% ของประชากรรวมในประเทศอังกฤษและเวลส์[62] ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 2000 มีการเพิ่มขึ้นของคนต่างด้าวในเรือนจำสหราชอาณาจักร 111%[39] จากข้อมูลของการศึกษาหนึ่ง "มีหลักฐานน้อยที่จะสนับสนุนทฤษฎีว่าประชากรเรือนจำต่างด้าวยังเติบโตต่อเพราะคนต่างด้าวมีแนวโน้มก่ออาชญากรรมมากกว่าพลเมืองบริเตนหรือมีแนวโน้มก่ออาชญากรรมสภาพรุนแรงมากกว่า"[39] การเพิ่มขึ้นบางส่วนอาจเป็นเพราะจำนวนการพิพากษาลงโทษความผิดยาเสพติด อาชญากรรมที่สัมพันธ์กับการเข้าเมืองมิชอบด้วยกฎหมาย (กลฉ้อฉลและการปลอมเอกสารราชการ) ข้อกำหนดการเนรเทศที่ไม่มีประสิทธิภาพ และการขาดทางเลือกที่ใช้ได้ของการคุมขัง (ซึ่งมีผลต่อการประกันตัวและการตัดสินใจพิพากษา) จำนวนไม่เป็นสัดส่วน[39]

งานวิจัยไม่พบหลักฐานผลกระทบเชิงเหตุเฉลี่ยของการเข้าเมืองต่ออาชญากรรม[6][7][39] การศึกษาหนึ่งที่ยึดหลักฐานจากประเทศอังกฤษและเวลส์ในคริสต์ทศวรรษ 2000 ไม่พบหลักฐานผลกระทบเชิงเหตุเฉลี่ยของการเข้าเมืองต่ออาชญากรรมในประเทศอังกฤษและเวลส์[6] ไม่พบผลกระทบเชิงเหตุและไม่มีผลต่างของการเข้าเมืองต่อโอกาสการถูกจับสำหรับกรุงลอนดอน ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของการเข้าเมืองมาก[6] การศึกษาการเข้าเมืองสหราชอาณาจักรสองระลอกใหญ่ (ผู้ลี้ภัยปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 และต้นคริสต์ทศวรรษ 2000 และการไหลบ่าจากประเทศที่เข้าร่วมสหภาพยุโรปหลังปี 2547) พบว่า "ระลอกแรกนำให้อาชญากรมทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่มีนัยสำคัญ ส่วนระลอกที่สองมีผลกระทบเชิงลบเล็กน้อย" ไม่มีผลต่อาชญากรรมรุนแรง อัตราการจับกุมไม่แตกต่างกัน และการเปลี่ยนแปลงอาชญากรรมไม่สามารถบอกได้ว่าถือเป็นอาชญากรรมต่อผู้เข้าเมือง ข้อค้นพบนี้ต้องกันกับญัตติว่าข้อแตกต่างในโอกาสตลาดแรงงานของกลุ่มย้ายถิ่นต่าง ๆ มีผลต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่ออาชญากรรม"[7] การศึกษาหนึ่งในปี 2556 พบว่า "อาชญากรรมต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญในย่านที่อยู่อาศัยที่มีสัดส่วนประชากรเข้าเมืองพอสมควร" และ "ผลลดอาชญากรรมจะเสริมขึ้นมากหากดินแดนแทรกนั้นประกอบด้วยผู้เข้าเมืองจากภูมิหลังชาติพันธุ์เดียวกัน"[8] การศึกษาอาชญากรรมทรัพย์สินปี 2557 โดยยึดการสำรวจอาชญากรรมและความยุติธรรมปี 2546 (การสำรวจตัวแทนชาติซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศอังกฤษและเวลส์ถูกถามคำถามเกี่ยวกับกิจกรรมอาชญากรรมของตน) เมื่อคำนวณการรายงานอาชญากรรมต่ำกว่าจริง พบว่า "ผู้เข้าเมืองที่อยู่ในกรุงลอนดอนและผู้เข้าเมืองผิวดำมีกิจกรรมทางการเมืองน้อยกว่าคนพื้นเมืองมากอย่างมีนัยสำคัญ"[3] อีกการศึกษาหนึ่งในปี 2557 พบว่า "พื้นที่ซึ่งมีสัดส่วนผู้เข้าเมืองล่าสุดสูงสุดตั้งแต่ปี 2547 ไม่มีระดับการปล้อนทรัพย์ ความรุนแรงหรือการกระทำความิดทางเพศสูงขึ้น" แต่ "มีระดับการกระทำความผิดยาเสพติดสูงกว่า"[63]

มีรายงานในปี 2550 ว่าผู้เข้าเมืองก่ออาชญากรรมกว่าหนึ่งในห้าของอาชญากรรมที่ไขได้ในกรุงลอนดอน พลเมืองที่มิใช่บริเตนกระทำความผิดทางเพศที่ไขได้ทั้งหมดและมีรายงานประมาณหนึ่งในสาม และกลฉ้อฉลที่ไขได้ทั้งหมดและมีรายงานกึ่งหนึ่งในเมืองหลวง[64] การศึกษาหนึ่งในปี 2551 พบว่าอัตราอาชญากรรมของผู้เข้าเมืองยุโรปตะวันออกเท่ากับอัตราของประชากรพื้นเมือง[65]

ใกล้เคียง

การเข้ารหัสทางประสาท การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต การเข้าเมืองกับอาชญากรรม การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ การเขียนโปรแกรมเชิงแข่งขัน การเข้าตีเจาะ (การสงคราม) การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การเข้ารหัส การเขียนโปรแกรมเชิงฟังก์ชัน การเขียน

แหล่งที่มา

WikiPedia: การเข้าเมืองกับอาชญากรรม http://works.bepress.com/matthew_freedman/27/ http://www.dw.com/en/report-refugee-related-crimes... http://www.dw.com/en/report-refugees-have-not-incr... http://www.informaworld.com/openurl?genre=article&... http://www.izajom.com/content/3/1/12/abstract http://oxfordhandbooks.com/view/10.1093/oxfordhb/9... http://oxfordhandbooks.com/view/10.1093/oxfordhb/9... http://oxfordhandbooks.com/view/10.1093/oxfordhb/9... http://www.pdf-archive.com/2011/05/08/br-1996-2-in... http://www.politifact.com/truth-o-meter/statements...