กาลานุกรม ของ กาลานุกรมวิวัฒนาการมนุษย์

ตัวย่อ Ma หมายถึง "ล้านปีก่อน" (Millions of Years Ago)

สิ่งมีชีวิตแรกสุด

เวลา
(ล้านปีก่อน)
เหตุการณ์
4,000 Maสิ่งมีชีวิตแรกสุดปรากฏขึ้น
ดูสารนิเทศเพิ่มเติมที่: กำเนิดชีวิตจากสิ่งไร้ชีวิต
3,900 Maเซลล์คล้ายกับโปรคาริโอตปรากฏขึ้น การสังเคราะห์ด้วยแสงเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ดังนั้น ออกซิเจนจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกด้วย
2,500 Maสิ่งมีชีวิตเริ่มสามารถใช้ออกซิเจน และโดย 2,400 ล้านปีก่อน เหตุการณ์ที่เรียกว่า มหันตภัยออกซิเจน (อังกฤษ: Oxygen catastrophe, Great Oxygenation Event) คือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ต้องการออกซิเจนที่เกิดขึ้นก่อนที่จะมีก๊าซนี้อย่างแพร่หลาย ถูกทำลายโดยสิ่งมีชีวิตที่ใช้ออกซิเจน
2,100 Maเซลล์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นคือพวกยูแคริโอตปรากฏ
1,200 Maเกิดวิวัฒนาการของการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ทำให้กระบวนการวิวัฒนาการเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น[upper-alpha 1]
900 MaChoanoflagellate

Choanoflagellate อาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายคลึงกับบรรพบุรุษของอาณาจักรสัตว์ทั้งหมด และอาจเป็นบรรพบุรุษโดยตรงของฟองน้ำ[2][upper-alpha 2]

ส่วนสิ่งมีชีวิตสกุล Proterospongia ซึ่งก็เป็นสัตว์ชั้น Choanoflagellata นั่นแหละ เป็นตัวอย่างที่ยังมีชีวิตอยู่ที่ดีที่สุดว่า บรรพบุรุษของสัตว์ทั้งหมดมีหน้าตาเป็นอย่างไร สิ่งมีชีวิตประเภทนี้อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม และปรากฏลักษณะพิเศษเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ กันในระดับหนึ่ง

600 Maเชื่อกันว่า สัตว์หลายเซลล์รุ่นแรกสุดเป็นสัตว์คล้ายฟองน้ำ ซึ่งเป็นสัตว์ที่ซับซ้อนน้อยที่สุด ที่มีเนื้อเยื่อที่จำแนกแตกต่างกันบ้างในระดับหนึ่ง ส่วนฟองน้ำ (ไฟลัม Porifera) เป็นสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
580 Maสัตว์ที่เคลื่อนไหวได้ที่เก่าแก่ที่สุดอาจจะเป็นพวกไนดาเรีย เป็นสัตว์ที่เกือบทั้งหมดมีระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เพราะว่าเป็นกลุ่มสัตว์ที่ซับซ้อนน้อยที่สุดที่มีระบบเหล่านี้ บรรพบุรุษของพวกไนดาเรียเป็นไปได้มากว่าเป็นสัตว์รุ่นแรกที่ใช้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อด้วยกัน นอกจากนั้นแล้ว ไนดาเรียยังเป็นสัตว์รุ่นแรกสุดที่มีกำหนดรูปร่างของกายที่แน่นอน คือมีลักษณะเป็นสมมาตรตามรัศมี (radial symmetry) และเป็นช่วงเวลานี้ด้วยที่ตาเกิดการวิวัฒนาการขึ้น
550 Maหนอนตัวแบน

หนอนตัวแบนเป็นสัตว์แรกสุดที่มีสมองและเป็นสัตว์ซับซ้อนน้อยที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ที่มีลักษณะเป็นสมมาตรด้านข้าง (bilateral symmetry)และเป็นสัตว์ซับซ้อนน้อยที่สุดที่มีอวัยวะที่เกิดขึ้นจากเนื้อเยื่อคัพภะสามชั้น

540 Maสัตว์ชั้น Enteropneusta พิจารณากันว่า มีวิวัฒนาการสูงที่สุดในบรรดาสัตว์คล้ายหนอน คือมีระบบไหลเวียนพร้อมกับหัวใจที่ทำหน้าที่เป็นไตด้วย มีโครงสร้างเหมือนกับเหงือกปลาที่ใช้สำหรับหายใจ เป็นโครงสร้างคล้ายกับของปลารุ่นต้น ๆ ดังนั้น บางครั้งจึงได้รับการพิจารณาว่า เป็นสัตว์ระหว่างสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง[ต้องการอ้างอิง]

สัตว์มีแกนสันหลัง

เวลาเหตุการณ์
530 MaPikaia

สัตว์สกุล Pikaia เป็นตัวอย่างบรรพบุรุษของสัตว์มีแกนสันหลังและสัตว์มีกระดูกสันหลัง[upper-alpha 3]ส่วนบรรพบุรุษมีแกนสันหลังของ Pikaia อาจรวมสปีชีส์ Myllokunmingia fengjiaoa[5] Haikouella lanceolata[6] และ Haikouichthys ercaicunensis[7]

ส่วนสัตว์อันดับ Amphioxiformes (อังกฤษ: lancelet) ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ยังคงลักษณะของสัตว์มีแกนสันหลังยุคต้น ๆ บางอย่าง จึงมีลักษณะคล้ายกับ Pikaia

สัตว์ชั้น Conodonta

สัตว์ชั้น Conodonta (อังกฤษ: Conodont) เป็นสัตว์มีแกนสันหลังต้น ๆ ที่เด่น (หลังจาก 495 ล้านปีก่อน)เป็นสัตว์รูปร่างคล้ายปลาไหลมีลักษณะเฉพาะคือ มีตาใหญ่ มีครีบแผ่ออกโดยรอบ (คล้ายปลากระเบน) มีกล้ามเนื้อรูปจั่ว (หรืออักษรโรมัน V) และแกนสันหลัง (notochord)สัตว์นี้บางครั้งเรียกว่า conodont บางครั้งเรียกว่า conodontophore

505 Maปลาไม่มีขากรรไกร (Superclass "Agnatha")

สัตว์มีกระดูกสันหลังรุ่นแรกที่ปรากฏคือ ostracoderm เป็นปลาไร้ขากรรไกรที่เป็นญาติกับปลาแลมป์เพรย์ทะเลและแฮคฟิชในปัจจุบัน ส่วนปลาสกุล Haikouichthys และ Myllokunmingia ที่สูญพันธุ์ไปแล้วเป็นตัวอย่างของปลาไร้ขากรรไกรเช่นนี้ปลาเหล่านี้ไร้ขากรรไกร มีกระดูกที่เป็นกระดูกอ่อน ไม่มีครีบอกและครีบเชิงกรานเหมือนกับปลาที่มีวิวัฒนาการสูงกว่านี้เป็นบรรพบุรุษของปลากระดูกแข็ง[upper-alpha 4]

480 Maปลามีเกราะ

ปลามีเกราะเป็นปลาก่อนประวัติศาสตร์เป็นปลารุ่นแรก ๆ ที่มีขากรรไกร (Infraphyrum "Gnathostomata") ที่วิวัฒนาการมาจากส่วนโค้งของเหงือก (gill arch)[9]มีหัวและอกปกปิดด้วยเกราะแบ่งเป็นส่วน ๆ เชื่อมอยู่ตามข้อ (articulated armoured plate)ส่วนตัวก็จะมีเกล็ดหรือไม่มีแต่ว่า หลักฐานซากดึกดำบรรพ์แสดงว่า ไม่มีสัตว์ที่สืบทอดสายพันธุ์หลังจากที่สุดของยุคดีโวเนียน และมีความใกล้ชิดกับปลามีกระดูกปัจจุบันน้อยกว่าปลาฉลาม[ต้องการอ้างอิง]

410 Maปลาซีลาแคนท์ปรากฏขึ้น[upper-alpha 5][10] สัตว์อันดับนี้ตอนแรกเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปหมดแล้วจนกระทั่งพบตัวอย่างเมื่อปี ค.ศ. 1938 ซึ่งสามารถใช้เป็นสิ่งมีชีวิตคงสภาพดึกดำบรรพ์

สัตว์สี่ขา

เวลาเหตุการณ์
390 Maปลาดึกดำบรรพ์ที่มีครีบเป็นพู่สกุล Panderichthys

ปลาน้ำจืดมีครีบเป็นพู่ (ชั้นใหญ่ Sarcopterygii) ได้เกิดวิวัฒนาการมามีขา เป็นต้นตระกูลของสัตว์สี่ขา (ชั้นใหญ่ Tetrapoda)โดยสัตว์สี่ขาแรกมีการวิวัฒนาการในน้ำจืดที่ตื้น ๆ และที่ลุ่มน้ำขังคือเกิดวิวัฒนาการมาจากปลาที่มีครีบเป็นพู่ มีสมองสองกลีบในกะโหลกแบน ๆ มีปากกว้าง มีจมูกและปากยื่นออกมาแบบสั้น ๆ มีตาส่งไปทางด้านบนที่แสดงถึงความเป็นปลาก้นสระ และได้เกิดการปรับตัวของครีบโดยมีเนื้อที่ฐานและมีกระดูกส่วนปลาซีลาแคนท์ที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งคงสภาพดึกดำบรรพ์มีความใกล้ชิดกับปลาที่มีครีบเป็นพู่ แต่ไม่มีการปรับตัวในที่น้ำตื้นอย่างนี้ปลาเหล่านี้ใช้ครีบเป็นพายในที่อยู่น้ำตื้นที่สมบูรณ์ไปด้วยพืชและตะกอนอินทรีย์ (detritus)ส่วนลักษณะทั่วไปของสัตว์สี่ขาคือแขนขาหน้าที่งอไปด้านหลังที่ศอกและขาหลังที่งอไปทางข้างหน้าที่เข่ามีกำเนิดเริ่มมาจากสัตว์สี่เท้าที่อยู่ในน้ำตื้นพวกนี้[upper-alpha 6]

ส่วนปลาสกุล Panderichthys ยาวประมาณ 90-130 ซม มาจากยุคดีโวเนียนช่วงปลาย (ประมาณ 380 ล้านปีก่อน) มีหัวใหญ่คล้ายสัตว์สี่เท้า เป็นปลาที่มีลักษณะในระหว่างปลาที่มีครีบเป็นพู่และสัตว์สี่เท้ายุคต้น ๆ

มีทางยาวที่ทำโดยเท้าของสัตว์สี่เท้าคล้ายสกุล Ichthyostega เมื่อ 390 ล้านปีก่อน ในชั้นตะกอนในที่อยู่ของสัตว์น้ำเป็นที่น้ำขึ้นลงในประเทศโปแลนด์ซึ่งบอกเป็นนัยว่า วิวัฒนาการของสัตว์สี่เท้าความจริงเก่าแก่กว่าซากดึกดำบรรพ์ของปลา Panderichthys จนถึงปลา Ichthyostega

ส่วนปลาปอดที่ยังอยู่นั้น ดำรงลักษณะบางอย่างของสัตว์สี่เท้าในยุคต้น ๆ ตัวอย่างที่เห็น ๆ ได้ก็คือปลาปอดออสเตรเลีย

375 Maปลาสกุล Tiktaalik

Tiktaalik เป็นสกุลปลาที่มีครีบเป็นพู่ (ชั้นใหญ่ Sarcopterygii) จากยุคดีโวเนียนปลายที่มีลักษณะของสัตว์สี่เท้าหลายอย่าง เป็นตัวเชื่อมระหว่างปลาสกุล Panderichthys และสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกสกุล Acanthostega

365 Maสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกสกุล Acanthostegaสัตว์สี่เท้าสกุล Ichthyostega

Acanthostega เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกที่สูญพันธุ์ไปแล้ว เป็นสัตว์พวกแรก ๆ ที่มีแขนขาที่เห็นได้ชัดเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังพวกแรก ๆ ที่อาจจะสามารถขึ้นมาบนบกแต่ว่ามันไม่มีข้อมือ ดังนั้นจึงมีการปรับตัวที่ไม่ดีในการใช้ชีวิตบนบนเพราะว่า แขนขาไม่สามารถรับน้ำหนักของสัตว์ได้นอกจากนั้นแล้ว ยังมีทั้งปอดและเหงือก ซึ่งแสดงว่าเป็นตัวเชื่อมระหว่างปลาที่มีครีบเป็นพู่และสัตว์บกมีกระดูกสันหลัง

ส่วน Ichthyostega เป็นสัตว์สี่เท้ายุคต้น ๆเนื่องจากเป็นสัตว์พวกแรก ๆ ที่มีกระดูกขา กระดูกแขน และกระดูกนิ้ว จึงพิจารณาว่าเป็นสัตว์ลูกผสม (hybrid) ระหว่างปลาและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกแม้ว่าจะมีขา แต่น่าจะไม่ได้ใช้ขาสำหรับเดินแต่ว่าอาจจะออกจากน้ำมาเป็นเวลาช่วงสั้น ๆ และน่าจะใช้ขาในการแหวกว่ายไปในโคลน[upper-alpha 7]

สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก (ชั้น Amphibia) เป็นสัตว์สี่เท้าพวกแรก ๆ ที่มีปอด ซึ่งอาจจะมีวิวัฒนาการมาจากสัตว์สี่เท้าสกุล Hynerpeton เมื่อ 360 ล้านปีก่อน

สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกปัจจุบันยังคงสภาพหลายอย่างของสัตว์สี่เท้าในยุคต้น ๆ

300 Maสัตว์เลื้อยคลานสกุล Hylonomus

หลังจากสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สัตว์เลื้อยคลานก็ถือกำเนิดขึ้น มีสกุล Hylonomus ที่เก่าแก่ที่สุดที่รู้จักเป็นสัตว์ยาวประมาณ 20 ซม รวมทั้งหางและน่าจะคล้ายคลึงกับพวกสัตว์อันดับกิ้งก่าปัจจุบันมีฟันคมเล็ก ๆ และน่าจะกินพวกกิ้งกือและแมลง เป็นบรรพบุรุษของพวกแอมนิโอตและสัตว์เลื้อยคลานคล้ายสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (คือแอมนิโอตใน clade "Synapsida")เคอราทิน (โปรตีนมีโครงสร้างเป็นใย) เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในสัตว์พวกนี้ซึ่งกลายเป็นอุ้งเล็บในกิ้งก่าและนกในปัจจุบันและกลายเป็นขนในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม[12]

การเกิดวิวัฒนาการขึ้นของไข่เป็นลักษณะเฉพาะของพวกแอมนิโอต ซึ่งก็คือสัตว์เลื้อยคลานที่สามารถผมพันธุ์บนบกแล้ววางไข่บนบกด้วยคือไม่จำเป็นที่จะกลับลงไปในน้ำเพื่อผสมพันธุ์เป็นการปรับตัวที่ทำให้สามารถขยายพันธุ์ไปบนบกเป็นครั้งแรก

นอกจากนั้นแล้ว ยังเป็นสัตว์ที่มีระบบประสาทที่ก้าวหน้าเมื่อเทียบกับสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก มีเส้นประสาทจากกะโหลกศีรษะถึง 12 คู่

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

เวลาเหตุการณ์
256 MaPhthinosuchus เป็นสัตว์อันดับ Therapsidap ยุคต้น ๆ เป็นอันดับสัตว์ที่เป็นบรรพบุรุษของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

หลังจากการเกิดขึ้นของสัตว์เลื้อยคลานเพียงเล็กน้อย ก็เกิดการแยกสายพันธุ์ออกเป็นสองสายสาขาหนึ่งเป็นพวกแอมนิโอตใน clade "Diapsida" ซึ่งเป็นต้นตระกูลของสัตว์เลื้อยคลานและนกปัจจุบันอีกสาขาหนึ่งเป็นแอมนิโอตใน clade "Synapsida" ซึ่งเป็นต้นตระกูลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมปัจจุบัน

ทั้งสองสาขามีช่องกะโหลกคู่คือช่องกระดูกขมับ (temporal fenestra) หลังลูกตาซึ่งเป็นที่สำหรับกล้ามเนื้อขากรรไกรSynapsida มีช่อง ๆ หนึ่งแต่ละข้าง แต่ว่า Diapsida มีสองช่องแต่ละข้าง

สัตว์เลื้อยคลานคล้ายสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแรกสุดก็คือพวก pelycosaur เป็นสัตว์พวกแรกสุดที่มีช่องกระดูกขมับ แม้ว่า จะไม่ใช่สัตว์อันดับ Therapsida จริง ๆ แต่ก็เป็นบรรพบุรุษของ Therapsida ซึ่งก็เป็นบรรพบุรุษโดยตรงของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

สัตว์อันดับ Therapsida มีช่องกระดูกขมับที่ใหญ่กว่าและคล้ายกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมากกว่า pelycosaurมีฟันที่มีความแตกต่างกันไปตามลำดับมากกว่า และบางพวกภายหลังจะมีวัฒนาการเกิดเพดานปากที่สอง (secondary palate)ซึ่งช่วยให้สามารถกินอาหารและหายใจได้ในเวลาเดียวกันซึ่งเป็นนิมิตที่บ่งถึงชีวิตที่กระฉับกระเฉงกว่า ที่อาจจะบ่งถึงความเป็นสัตว์เลือดอุ่น[upper-alpha 8]

220 Maสัตว์สกุล Cynognathus เป็นสัตว์ใน clade "Cynodontia" ซึ่งเป็นกลุ่มสัตว์ที่เป็นบรรพบุรุษของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

กลุ่มหนึ่งของพวก Therapsida ใน clade "Cynodontia" ก็เกิดวิวัฒนาการมีลักษณะเหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพิ่มขึ้นมีขากรรไกรที่คล้ายกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในปัจจุบันมีความน่าจะเป็นสูงว่า สัตว์กลุ่มนี้มีสปีชีส์ที่เป็นบรรพบุรุษโดยตรงของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในปัจจุบันทั้งหมด[upper-alpha 9]

220 Maสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสกุล Repenomamus

หลังจากนั้น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็เกิดวิวัฒนาการมาจาก Cynodontia ใน Infraorder "Eucynodontia"สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต้น ๆ เป็นสัตว์คล้ายหนูผีที่กินแมลงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานให้เห็นได้ในซากดึกดำบรรพ์ แต่ก็เป็นไปได้สูงว่า สัตว์พวกนี้มีอุณหภูมิร่างกายที่สม่ำเสมอ และมีต่อมน้ำนมสำหรับเลี้ยงลูกและเขตคอร์เทกซ์ใหม่ (neocortex) ของสมองก็เกิดวิวัฒนาการขึ้นในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นลักษณะเฉพาะ

พวกโมโนทรีมเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่วางไข่ ซึ่งปรากฏในสัตว์ปัจจุบันพวกตุ่นปากเป็ดและอิคิดนาการหาลำดับดีเอ็นเอของจีโนมตุ่นปากเป็ดพบว่า ยีนเกี่ยวกับเพศของมันใกล้เคียงกับนกมากกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ออกลูกเป็นตัว (เธอเรีย)โดยเปรียบเทียบกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ ก็จะสามารถอนุมานได้ว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมพวกแรก ๆ เกิดเป็นเพศชายหรือหญิงเนื่องจากมีหรือไม่มียีน SRY ในโครโมโซม Y ซึ่งเกิดวิวัฒนาการขึ้นหลังจากที่พวกโมโนทรีมได้แยกสายพันธุ์ออกไปแล้ว

160 Maสัตว์ต้นตระกูลของยูเธอเรียสกุล Juramaia sinensis

Juramaia sinensis[14] เกิดวิวัฒนาการขึ้น เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีรกประเภทยูเธอเรียแรกสุดที่พบในซากดึกดำบรรพ์

100 Maจุดเกิดบรรพบุรุษร่วมกันท้ายสุดของหนูหริ่งและมนุษย์ (เป็นสัตว์ต้นตระกูลของ clade "Euarchontoglires")

สัตว์อันดับวานร

เวลาเหตุการณ์
85-65 Maสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมคล้ายวานรสปีชีส์ Carpolestes simpsoni

กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเล็กกลุ่มหนึ่ง เป็นสัตว์กลางคืนอยู่บนต้นไม้ กินแมลง ที่อยู่ใน Grandorder "Euarchonta" ก็เริ่มขยายพันธุ์ขึ้นซึ่งในที่สุดจะกลายเป็นสัตว์อันดับวานร สัตว์อันดับกระแต และสัตว์อันดับบ่างส่วนกลุ่มสัตว์ใน Mirorder "Primatomorpha" ซึ่งเป็นส่วนของ Euarchonta รวมสัตว์อันดับวานรและสัตว์ต้นตระกูลคือสัตว์อันดับ Plesiadapiformesเกิดสัตว์ต้นตระกูลสัตว์อันดับวานรสกุลหนึ่งคือ Plesiadapis ซึ่งยังมีอุ้งเล็บ และยังมีตาแต่ละข้างหันไปทางด้านข้างดังนั้น Plesiadapis จึงว่องไวบนพื้นกว่าบนยอดต้นไม้แม้ว่าจะเริ่มใช้เวลามากขึ้นอยู่บนกิ่งไม้ เพื่อกินผลไม้และใบเป็นไปได้สูงว่า มีสปีชีส์หนึ่งในสัตว์อันดับ Plesiadapiformes ที่เป็นต้นตระกูลของสัตว์อันดับวานรที่ยังมีในปัจจุบันทั้งหมด[upper-alpha 10]

สัตว์สปีชีส์ท้าย ๆ ในอันดับ Plesiadapiformes ก็คือ Carpolestes simpsoni ซึ่งมีนิ้วที่ใช้จับได้แต่ยังไม่มีตาที่หันไปทางด้านหน้า

63 Maสัตว์อันดับวานรแยกสายพันธุ์เป็น suborders "Strepsirrhini" (ไพรเมตจมูกเปียก) และ "Haplorrhini" (ไพรเมตจมูกแห้ง) กลุ่ม Strepsirrhini รวมสัตว์กลุ่มที่เรียกว่า prosimian โดยมาก ที่ยังมีชีวิตอยู่รวมทั้งลีเมอร์และลอริส

ส่วน Haplorrhini มีสามกลุ่มคือทาร์เซียร์ (ซึ่งรวมอยู่ในกลุ่ม prosimian ด้วย), ลิงใน Infraorder "Simiiformes" และเอป Haplorrhini เก่าที่สุดสปีชีส์หนึ่งก็คือ Teilhardina asiatica เป็นสัตว์ตัวเท่าหนู เป็นสัตว์กลางวันมีตาเล็กในช่วงนี้ ระบบเมแทบอลิซึมของ Haplorrhini เกิดสูญความสามารถในการสังเคราะห์วิตามินซีเองได้ซึ่งหมายความว่า ลูกหลานสายนี้ทั้งหมดต้องกินผลไม้ที่มีวิตามินซีเป็นส่วนของอาหาร

30 MaHaplorrhini สกุล Aegyptopithecus

Haplorrhini เกิดการแยกสายพันธุ์เป็น infraorders "Platyrrhini" (ลิงโลกใหม่) และ "Catarrhini" (ลิงโลกเก่าและเอป)ลิงโลกใหม่มีหางที่สามารถจับยึดกิ่งไม้ได้ แต่ลิงตัวผู้มีตาบอดสีและอาจจะอพยพไปสู่ทวีปอเมริกาใต้บนแพที่เกิดจากพืชข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกซึ่งตอนนั้นค่อนข้างแคบ (ประมาณ 700 กม)ส่วน Catarrhini โดยมากอยู่ในแอฟริกาในเวลาที่ทวีปทั้งสอง (แอฟริกาและอเมริกา) เริ่มแยกออกจากกันบรรพบุรุษยุคต้น ๆ ของ Catarrhini อาจจะรวมสกุล Aegyptopithecus และ Saadanius

25 Maไพรเมตสกุล Proconsul

Catarrhini เกิดการแยกสายพันธุ์มาเป็น 2 superfamily คือลิงโลกเก่า (Cercopithecoidea) และเอป (Hominoidea)ตาที่เห็นเป็นสามสีหลักของมนุษย์อาจจะมีกำเนิดในยุคนี้

Proconsul เป็นสกุลต้น ๆ ของ Catarrhiniมีลักษณะผสมของทั้งลิงโลกเก่าและเอปลักษณะคล้าย Simiiformes ของ Proconsul รวมทั้งเคลือบฟัน (enamel) ที่บางมีกายเบา มีหน้าอกแคบและแขนขาส่วนหน้าที่สั้นเป็นสัตว์สี่เท้าอยู่บนต้นไม้ลักษณะคล้ายเอปรวมทั้งไม่มีหาง ข้อศอกที่คล้ายเอป และมีสมองใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับร่าง

ส่วนสปีชีส์ Proconsul africanus อาจเป็นบรรพบุรุษของทั้งวงศ์ลิงใหญ่ (รวมทั้งมนุษยด้วย) และวงศ์ชะนี

ลิงใหญ่

เวลาเหตุการณ์
17 Maวงศ์ลิงใหญ่ (Hominidae) กำเนิดเป็นสปีชีส์ใหม่จากบรรพบุรุษร่วมกันกับวงศ์ชะนี
14 Maสัตว์ใน clade ที่รวม Homininae (มนุษย์ ชิมแปนซี และโบโนโบ) กับกอริลลา กำเนิดเป็นสปีชีส์ใหม่จากบรรพบุรุษร่วมกันกับลิงอุรังอุตัง[15]รูปจำลองของ Pierolapithecus catalaunicus

ส่วนลิงใหญ่สปีชีส์ Pierolapithecus catalaunicus เชื่อกันว่าเป็นบรรพบุรุษร่วมกันระหว่างมนุษย์กับลิงใหญ่ (ปัจจุบัน)หรือว่า อย่างน้อยก็เป็นสปีชีส์ที่เป็นญาติใกล้ชิดกับบรรพบุรุษร่วมกันมากที่สุดในบรรดาซากดึกดำบรรพ์ที่ค้นพบเป็นสัตว์ที่มีการปรับตัวพิเศษเพื่อปีนต้นไม้ เหมือนกับมนุษย์และลิงใหญ่อื่น ๆ คือมีซี่โครงที่กว้างและแบน มีกระดูกสันหลังช่วงล่างที่แข็ง มีข้อมือที่บิดงอได้ และมีกระดูกสะบักที่ทอดไปตามหลัง

6-10 Maวงศ์ย่อย Homininae ซึ่งเป็นสายพันธุ์ของมนุษย์และสกุล Pan (ชิมแปนซี และโบโนโบ) เกิดวิวัฒนาการจากบรรพบุรุษร่วมกันกับกอริลลา
7 Ma hominin สปีชีส์ Sahelanthropus tchadensis

เผ่า hominini เกิดวิวัฒนาการเป็นสปีชีส์จากบรรพบุรุษร่วมกันกับชิมแปนซีทั้งชิมแปนซีและมนุษย์มีกล่องเสียงที่เปลี่ยนตำแหน่งในช่วง 2 ปีต้นของชีวิต คือเคลื่อนลงไปยังตำแหน่งระหว่างคอหอยและปอดซึ่งบ่งว่า บรรพบุรุษที่มีร่วมกันมีลักษณะอย่างนี้เป็นลักษณะที่จำเป็นต่อการพูดในมนุษย์บรรพบุรุษร่วมกันสุดท้ายมีชีวิตอยู่ใกล้ ๆ กับ hominin "Sahelanthropus tchadensis" ที่ 7 ล้านปีก่อน[16]บางครั้ง มีการอ้างว่า S. tchadensis เป็นบรรพบุรุษร่วมกันสุดท้ายระหว่างมนุษย์กับชิมแปนซีแต่ยังไม่มีวิธีที่จะสามารถพิสูจน์ประเด็นนี้ได้อย่างชัดเจนตัวอย่างบรรพบุรุษมนุษย์เก่าแก่ที่สุดที่รู้จักซึ่งเกิดขึ้นหลังการแยกสายพันธุ์จากชิมแปนซีคือ hominin สกุล Orrorin tugenensis (เรียกว่า Millennium Man พบในเคนยา มีอายุ 6 ล้านปีก่อน)

4.4 MaArdipithecus เป็น hominin สกุลต้น ๆ ( เผ่า Hominini)
มีสองสปีชีส์ที่ค้นพบแล้วคือ A. ramidus ซึ่งมีชีวิตประมาณ 4.4 ล้านปีก่อน[17]

ในต้นสมัยสมัยไพลโอซีน และ A. kadabba ซึ่งมีอายุประมาณ 5.8 ล้านปีก่อน[18]ในปลายสมัย Miocene A. ramidus มีสมองเล็ก วัดได้ประมาณ 300-350 ซม3ซึ่งเท่ากับขนาดของโบโนโบและของชิมแปนซีตัวเมียแต่เล็กว่าของ australopithecine (hominin สกุลต่อ ๆ ไป) เช่นลูซี่ (ซึ่งมีประมาณ 400-550 ซม3)และใหญ่กว่าส่วน 1/5 ของสมองมนุษย์ปัจจุบันเล็กน้อยArdipithecus อาศัยอยู่บนต้นไม้ คืออยู่ในป่าโดยมากที่ต้องแข่งกับสัตว์ป่าอื่น ๆ ในการหาอาหารแข่งขันกับทั้งบรรพบุรุษของชิมแปนซีที่มีชีวิตอยู่ในเวลาเดียวกันด้วยArdipithecus น่าจะเป็นสัตว์สองเท้า เห็นได้จากกระดูกเชิงกรานที่เป็นรูปชามมุมของช่องกะโหลกฟอราเมน แมกนัม และกระดูกข้อมือที่บางกว่าแต่ว่า ยังมีเท้าที่มีการปรับตัวเพื่อการยึดจับมากกว่าที่จะเดินเป็นระยะทางไกล ๆ

3.6 MaAustralopithecus afarensis

hominin Australopithecus afarensis น่าจะทิ้งรอยเท้าไว้ในเถ้าภูเขาไฟที่โบราณสถาน Laetoli ประเทศแทนซาเนีย ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญของความเป็นสัตว์เดินด้วยสองเท้าเป็นนิตย์มีชีวิตอยู่ในระหว่าง 3.9 ถึง 2.9 ล้านปีก่อน เชื่อกันว่า A. afarensis เป็นบรรพบุรุษของทั้งสกุล Australopithecus และของมนุษย์ (สกุล Homo)เปรียบเทียบกับลิงใหญ่ปัจจุบันและที่สูญพันธุ์ไปแล้ว A. afarensis มีฟันเขี้ยวและฟันกรามที่เล็กลงแม้ว่าจะยังใหญ่กว่าของมนุษย์ปัจจุบันมีสมองที่ค่อนข้างเล็ก (ประมาณ 380-430 ซม3) และใบหน้าที่ยื่นออกhominin กลุ่ม Australopithecine พบอยู่ในเขตทุ่งหญ้า และดังนั้น น่าจะมีอาหารเพิ่มเป็นพวกเนื้อสัตว์ที่เก็บตกมาจากสัตว์อื่น ๆ งานที่วิเคราะห์กระดูกสันหลังส่วนล่างของ A. africanus บอกเป็นนัยว่า เพศหญิงมีการปรับตัวเพื่อที่จะเดินด้วยสองเท้าแม้ในขณะที่ตั้งครรภ์

3.5 Mahominin สปีชีส์ Kenyanthropus platyops ซึ่งอาจะเป็นบรรพบุรุษของ Homo เกิดวิวัฒนาการมาจากสกุล Australopithecus
3 Mahominin กลุ่ม australopithecine อยู่ในเขตทุ่งหญ้าของแอฟริกา บางครั้งถูกล่าโดยเสือเขี้ยวดาบสกุล Dinofelis

มนุษย์

เวลาเหตุการณ์
2.5 Maมนุษย์ Homo habilis

เกิดการปรากฏขึ้นของมนุษย์สกุล Homoเชื่อกันว่า H. habilis เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ที่ผอมสูงกว่าและฉลาดกว่าคือ H. ergaster.H. habilis อยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับ H. erectus จนกระทั่งถึง 1.4 ล้านปีก่อน ทำให้มีโอกาสน้อยว่า H. erectus เกิดวิวัฒนาการมาจาก H. habilis โดยตรงนี่เป็นช่วงที่พบเครื่องมือหินเป็นครั้งแรก เป็นจุดเริ่มต้นของยุคหินเก่าต้น

ขนตัวเกิดหายไปในช่วงเวลา 3 ถึง 2 ล้านปีก่อน

1.8 Maรูปจำลองของ H. erectus

H. erectus เกิดวิวัฒนาการขึ้นในแอฟริกาถ้าเห็นก็จะมีลักษณะคล้ายกับมนุษย์ปัจจุบันมากแต่ขนาดสมองนั้นเป็นเพียงแค่ 74% ของมนุษย์ปัจจุบันหน้าผากนั้นลาดเอียงขึ้นไปทางศีรษะน้อยกว่า H. habilis และฟันก็เล็กกว่าด้วยส่วน hominin อื่น ๆ ที่บางครั้งกำหนดว่าเป็น H. georgicus, H. ergaster, H. pekinensis และ H. heidelbergensis บางครั้งก็จัดให้อยู่ในสปีชีส์เดียวกันคือ H. erectus[19]และเริ่มที่ H. georgicus ที่พบในประเทศจอร์เจียมีอายุประมาณ 1.8 ล้านปีก่อนกระดูกเชิงกรานและกระดูกสันหลังก็วิวัฒนาการมาเหมือนมนุษย์ปัจจุบันมากขึ้น ซึ่งทำให้สามารถเดินทางได้ไกล ๆ เพื่อที่จะติดตามฝูงสัตว์เป็นซากเก่าแก่ที่สุดที่พบนอกแอฟริกา

ส่วนหลักฐานถึงการควบคุมไฟได้ของ H. erectus ตั้งต้นแต่ 400,000 ปีก่อนได้รับการยอมรับจากนักวิชาการโดยมาก และหลักฐานที่เก่ากว่านั้นก็เริ่มที่จะได้รับการยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์ โดยมีหลักฐานที่อ้างการใช้ไฟที่เก่าที่สุดมาจากแอฟริกาใต้มีอายุ 1.8 ล้านปีก่อน[20]และมีหลักฐานของเครื่องมือหินเผาไฟที่ได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากประเทศอิสราเอลมีอายุ 790,000 ปี[21]

H. ergaster อาจสูงถึง 190 ซมการมีผิวเข้ม ซึ่งสัมพันธ์กับการสูญขนตัวที่เกิดขึ้นก่อนในบรรพบุรุษ ก็มีวิวัฒนาการอย่างสมบูรณ์โดย 1.2 ล้านปีก่อนส่วน H. pekinensis ปรากฏขึ้นครั้งแรกในเอเชียประมาณ 700,000 ปีก่อน แต่ตาม "ทฤษฎีกำเนิดมนุษย์ปัจจุบันเร็ว ๆ นี้จากแอฟริกา" (Recent African origin of modern humans)เป็นพวกที่ไม่ใช่บรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบัน แต่เป็นญาติกันที่เป็นลูกหลานของ H. ergasterส่วน H. heidelbergensis เป็นมนุษย์ตัวโตที่มีเทคโนโลยีหินที่ก้าวหน้ากว่า และอาจจะมีการล่าสัตว์ใหญ่เช่นม้าเป็นต้น

1.2 Maรูปจำลองของหญิง Homo antecessor เป็นมนุษย์สปีชีส์ที่อาจกินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน

H. antecessor อาจเป็นบรรพบุรุษร่วมกันของทั้งมนุษย์ปัจจุบันและมนุษย์กลุ่ม Neanderthal (H. neanderthalensis)[22] ตามการประเมินในปัจจุบัน มนุษย์ปัจจุบันมียีน 20,000-25,000 ยีนเหมือนกับ และมีดีเอ็นเอถึง 99% ร่วมกับ Neanderthal ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว[upper-alpha 11]และมีดีเอ็นเอประมาณ 95-99% ร่วมกับญาติใกล้ชิดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่คือชิมแปนซี[upper-alpha 12][upper-alpha 13]ยีน FOXP2 ที่มีความต่าง ๆ กันในมนุษย์ปัจจุบัน ซึ่งสัมพันธ์กับการพูด ก็พบว่าเหมือนกับของ Neanderthal ด้วย[26] ดังนั้น จึงอนุมานได้ว่า H. antecessor ซึ่งอาจเป็นบรรพบุรุษของทั้งมนุษย์ปัจจุบันและ Neanderthal จึงควรจะมียีน FOXP2 ด้วย

600,000H. heidelbergensis

มนุษย์ H. heidelbergensis 3 คน สูงประมาณ 150 ซม ได้ทิ้งรอยเท้าไว้ในเถ้าภูเขาไฟที่กลายเป็นหินในประเทศอิตาลีเป็นมนุษย์ที่อาจจะเป็นบรรพบุรุษร่วมกันของมนุษย์ปัจจุบันและ Neanderthal[27] เป็นมนุษย์ที่มีสัณฐานคล้ายกับ H. erectus มาก แต่มีสมองใหญ่กว่า เท่ากับประมาณ 93% ของมนุษย์ปัจจุบันตัวอย่างต้นแบบแรกของมนุษย์สปีชีส์นี้สูงประมาณ 180 ซม มีกล้ามเนื้อใหญ่กว่ามนุษย์ปัจจุบัน ช่วงนี้เป็นจุดเริ่มของยุคหินเก่ากลาง

338,000จุดกำเนิดของอาดัมโดยโครโมโซม Y มีชีวิตอยู่ในแอฟริกาเมื่อระหว่าง 180,000-338,000 ปีก่อน[28][29]

เป็นบรรพบุรุษร่วมกันคนท้ายสุดที่ชายทั้งหมดในปัจจุบันสืบทอดสายพันธุ์มาจาก

200,000Homo sapiens sapiens (แผ่นแนะนำมนุษย์บนยานสำรวจอวกาศไพโอเนียร์ 10 และไพโอเนียร์ 11)

จุดกำเนิดของมนุษย์ปัจจุบัน โดยมีซากดึกดำบรรพ์กลุ่ม Omo remains จากประเทศเอธิโอเปียเป็นหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ที่มีกายวิภาคปัจจุบัน (มนุษย์ปัจจุบัน ภาษาอังกฤษเรียกว่า Anatomically modern humans)[30]

160,000มนุษย์ปัจจุบันคือ H. sapiens (หรือ H. sapiens idaltu) ในเอธิโอเปีย แม่น้ำ Awash หมู่บ้าน Herto มีการพิธีการทำศพและฆ่าฮิปโปโปเตมัส เป็นช่วงที่มีหลักฐานเก่าแก่ที่สุดของการมีพฤติกรรมปัจจุบันคือการใช้ดินสีเหลืองออกน้ำตาล (เพื่อการประดับและพิธีกรรม) และการตกปลา เป็นหลักฐานว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่โดยฉับพลัน (continuity hypothesis)[31]
150,000จุดกำเนิดของเอวาโดยไมโทคอนเดรีย (Mitochondrial Eve) เป็นหญิงที่อยู่ในแอฟริกาตะวันออก เป็นหญิงบรรพบุรุษร่วมกันท้ายสุดของสายพันธุ์ไมโทคอนเดรียที่มีในหมู่มนุษย์ปัจจุบัน ให้สังเกตว่า ไม่มีหลักฐานว่ามีลักษณะอะไรบางอย่าง หรือมีการเปลี่ยนความถี่ยีนอย่างไม่เจาะจง (genetic drift) ที่ทำให้เธอแตกต่างจากกลุ่มมนุษย์สังคมของเธอ

คือ บรรพบุรุษของเธอก็เป็นมนุษย์ H. sapiens ด้วย แม้บุคคลในสมัยเดียวกันกับเธอก็เป็นมนุษย์ H. sapiens ด้วย

90,000จุดปรากฏขึ้นของกลุ่ม haplogroup L2 ในไมโทคอนเดรีย
70,000จุดตั้งต้นของพฤติกรรมปัจจุบันตามทฤษฎี "Great Leap Forward" (การกระโดดก้าวไปข้างหน้า)[32]
60,000จุดปรากฏขึ้นของกลุ่ม haplogroup M และ N ในไมโทคอนเดรีย เป็นกลุ่มมนุษย์ที่อพยพออกนอกทวีปแอฟริกาแล้วไปตั้งถิ่นฐานไปทั่วโลก ตามทฤษฎีกำเนิดมนุษย์ปัจจุบันเร็ว ๆ นี้จากแอฟริกา มนุษย์ที่ออกจากแอฟริกาในช่วงนี้ มีการผสมพันธุ์กับมนุษย์กลุ่ม Neanderthal ที่พบ[33][34]
50,000เป็นช่วงที่มนุษย์อพยพเข้าไปสู่เอเชียใต้ เป็นจุดปรากฏขึ้นของการกลายพันธุ์ M168 ที่เป็นส่วนของกลุ่ม haplogroup CT ในไมโทคอนเดรีย ที่มีในชายที่ไม่ใช่คนแอฟริกันทั้งหมด เป็นจุดเริ่มต้นของยุคหินเก่าปลาย เป็นจุดปรากฏขึ้นของกลุ่ม haplogroup U และ K ในไมโทคอนเดรีย
40,000เป็นช่วงที่มนุษย์อพยพเข้าไปสู่ออสเตรเลีย[35] และช่วงปรากฏขึ้นของมนุษย์ปัจจุบันในยุโรป (เป็นกลุ่มชนที่เรียกว่า Cro-Magnon)
25,000จุดที่มนุษย์กลุ่ม Neanderthal ที่ไม่ใช่บรรพบุรุษมนุษย์เกิดการสูญพันธุ์

เป็นจุดปรากฏของ haplogroup R2 ในโครโมโซม Y และ haplogroup J และ X ในไมโทคอนเดรีย

12,000จุดเริ่มต้นของยุคหินกลาง/สมัยโฮโลซีน เป็นจุดปรากฏของ haplogroup R1a ในโครโมโซม Y และ haplogroup V และ T ในไมโทคอนเดรีย มนุษย์ในยุโรปเกิดวิวัฒนาการให้มีผิวขาว (ยีน SLC24A5)[36][37] ไฟล์:Homo floresiensis Restoration model.jpgรูปจำลองของ Homo floresiensis หรือที่เรียกว่า "ฮ็อบบิท"

เป็นช่วงที่ H. floresiensis เกิดการสูญพันธุ์ เหลือแต่ H. sapiens เป็นมนุษย์สปีชีส์เดียวเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่เหลือในสกุล Homo

ใกล้เคียง

กาลานุกรมวิวัฒนาการมนุษย์ กาลานุกรมต้นไม้ กาลานุกรม กาลาทาซาไรสปอร์คูลือบือ (ฟุตบอล) กาลา (นักฟุตบอลเกิด พ.ศ. 2532) กาลามสูตร กาลีนา กาลาทาซาไรสปอร์คูลือบือ กาลาเดรียล กาลาก้า

แหล่งที่มา

WikiPedia: กาลานุกรมวิวัฒนาการมนุษย์ http://australianmuseum.net.au/Ardipithecus-kadabb... http://australianmuseum.net.au/Ardipithecus-ramidu... http://australianmuseum.net.au/Homo-antecessor http://australianmuseum.net.au/Homo-heidelbergensi... http://australianmuseum.net.au/Homo-sapiens-modern... http://australianmuseum.net.au/Human-Evolution http://archaeologyinfo.com/human-evolution-timelin... http://www.cnn.com/2006/TECH/science/11/15/neander... http://discovermagazine.com/2013/may/09-archaeolog... http://ac.els-cdn.com/S0002929713000736/1-s2.0-S00...