พื้นเพ ของ คดีระหว่างบริษัทมอนซานโต้แคนาดากับชไมเซอร์

บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพมอนซานโต้ พัฒนาและจดสิทธิบัตรยีนทนยาฆ่าวัชพืชไกลโฟเสตสำหรับพืชวงศ์ผักกาด canola แล้วผลิตเมล็ดผักกาดที่มียีนจดสิทธิบัตรที่มีคุณสมบัติทนต่อไกลโฟเสตโดยบริษัทวางตลาดเมล็ดพันธุ์โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า Roundup Ready Canolaเกษตรกรที่ใช้ระบบการปลูกพืชเช่นนี้ สามารถควบคุมวัชพืชโดยใช้ยาฆ่าวัชพืช Roundup โดยไม่ทำพืชที่ทนยาให้เสียหายผู้ที่ใช้ต้องเซ็นสัญญากับมอนซานโต้ ผู้กำหนดว่าต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ทุก ๆ ปี ราคาเมล็ดพันธุ์พืชจะรวมค่าธรรมเนียมอนุญาตให้ใช้สิทธิบัตรบริษัทเริ่มวางตลาดในแคนาดาในปี 2539 และโดยปีต่อมา ก็กลายเป็น canola ที่ปลูกในแคนาดาถึง 25%[3]

ที่มาของเมล็ดพันธุ์สิทธิบัตรในแปลงของชไมเซอร์

ดังที่สืบความได้ในศาลรัฐบาลกลางชั้นต้น นายเพอร์ซี ชไมเซอร์เป็นเกษตรกรผักกาดในเมืองบรูโน รัฐซัสแคตเชวัน ผู้พบพืชทนยา Roundup ในพืชผลของเขาในปี 2540[4]คือเขาได้ใช้ยา Roundup เพื่อกำจัดวัชพืชรอบ ๆ เสาไฟฟ้าและคูน้ำที่ติดกับถนนสาธารณะที่วิ่งไปข้าง ๆ แปลงพืชของเขาแปลงหนึ่ง แล้วสังเกตเห็นว่า ต้นผักกาดบางส่วนที่ได้ฉีดสเปรย์กลับรอดมาได้เขาจึงทดสอบโดยฉีดยากับอีกแปลงหนึ่งที่มีบริเวณ 3-4 เอเคอร์ (7.59-10.11 ไร่) ใกล้ ๆ กันแล้วพบว่า ต้นผักกาดถึง 60% ไม่ตายในช่วงเก็บเกี่ยว ชไมเซอร์จึงสั่งให้คนงานคนหนึ่งเก็บเกี่ยวแปลงนั้นแล้วเก็บเมล็ดพืชต่างหากจากพืชผลที่ได้ในที่อื่น แล้วใช้เมล็ดพืชที่ได้ปลูกในเขตพื้นที่ 1,000 เอเคอร์ (2529 ไร่) ในปีต่อมาคือปี 2541

ในช่วงเวลานั้น มีเกษตรกรหลายคนในบริเวณนั้นที่ใช้ Roundup Ready canolaชไมเซอร์อ้างว่า เขาไม่ได้ปลูกพืชเหล่านั้นเองในปี 2540 และแปลงไร่ผักกาดของเขาเกิดการปนเปื้อนโดยอุบัติเหตุแม้ว่าที่มาของพืชที่พบในแปลงของชไมเซอร์ในปี 2540 จะไม่ชัดเจน ศาลชั้นต้นพบว่า สำหรับพืชผลปี 2541

"...ไม่มีแหล่งที่มาที่เสนอ (โดยชไมเซอร์) ที่สามารถจะอธิบายอย่างมีเหตุผลถึงความหนาแน่นและความกว้างขวางของพืช canola พันธุ์ Roundup Ready ที่มีคุณภาพในระดับการค้า ที่พบจากการทดสอบพืชผลของชไมเซอร์"[5]

ความขัดแย้ง

ในปี 2541 มอนซานโต้พบว่า ชไมเซอร์กำลังเพาะปลูกพืชที่ทนต่อ Roundup แล้วจึงติดต่อเขาเพื่อให้เซ็นสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิบัติแลกกับการจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อทำสัญญาชไมเซอร์ปฏิเสธโดยอ้างว่า การปนเปื้อนในปี 2540 เป็นอุบัติเหตุ และเขาเป็นเจ้าของเมล็ดพันธุ์ที่เขาเก็บเกี่ยวได้ จึงสามารถปลูกพืชได้ตามความปรารถนาเพราะเป็นทรัพย์ของตนดังนั้น มอนซานโต้จึงฟ้องชไมเซอร์ฐานละเมิดสิทธิบัตร โดยฟ้องในศาลรัฐบาลกลางของประเทศแคนาดาในวันที่ 6 สิงหาคม 2541[4]ต่อมา การต่อรองคดีนอกศาลล้มเหลวในวันที่ 10 สิงหาคม 2541 มีผลเป็นชไมเซอร์ฟ้องบริษัทกลับในศาลโดยเรียกร้องค่าเสียหายเป็นมูลค่า 10 ล้านดอลล่าร์แคนาดา ในฐานการหมิ่นประมาท การบุกรุก และการปนเปื้อนแปลงไร่ของเขา[6]แต่ว่า โดยถึงปี 2550 ชไมเซอร์ก็ยังไม่ได้เริ่มดำเนินคดีการฟ้องกลับในศาล[7]

สิทธิของสิทธิบัตรกับสิทธิทรัพย์สิน

เกี่ยวกับปัญหาสิทธิของสิทธิบัตรและสิทธิของเกษตรกรที่จะใช้เมล็ดพันธุ์พืชเก็บเกี่ยวจากแปลงของตน มอนซานโต้อ้างว่า เพราะว่า บริษัทได้จดสิทธิบัตรสำหรับยีน และเซลล์ผักกาดที่เป็นประเด็นก็มียีนที่ว่า บริษัทจึงมีสิทธิตามกฎหมายที่จะควบคุมการใช้พืช รวมทั้งการปลูกเมล็ดพันธุ์พืชที่เก็บเกี่ยวได้จากพืชที่มียีนแม้ว่าพืชจะเกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุส่วนชไมเซอร์ยืนยันว่า เขามี "สิทธิของเกษตรกร" ที่จะทำตามใจของตนได้ เมื่อใช้พืชที่เก็บเกี่ยวมาจากแปลงของตน รวมทั้งพืชที่เกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุ และว่า สิทธิในทรัพย์สินที่มีรูปร่างเช่นนี้มีอำนาจเหนือสิทธิในสิทธิบัตรของมอนซานโต้

แต่ว่า กฎหมายแคนาดาไม่ได้กล่าวถึง "สิทธิของเกษตรกร" ตามที่ว่า คือ ศาลเห็นว่า สิทธิของชาวนาในการเก็บเกี่ยวและปลูกเมล็ดพันธุ์ เป็นเพียงสิทธิของเจ้าของทรัพย์ในการใช้ทรัพย์สินของตนตามที่ต้องการ และดังนั้น สิทธิในการใช้เมล็ดพันธุ์จึงมีข้อจำกัดตามกฎหมายเหมือนกับการใช้ทรัพย์สินอย่างอื่น ๆ รวมทั้งข้อจำกัดที่มาจากสิทธิบัตรในกรณีนี้ศาลได้ลิขิตความเห็นไว้ว่า

"เกษตรกรที่ไร่ของตนมีเมล็ดพืชหรือพืช ที่มาจากเมล็ดพันธุ์ที่ล้นเข้ามาในแปลงหรือว่ามีลมพัดเข้ามาในแปลง จะเป็นต้นที่เกี่ยวแล้วหล่นเข้ามา หรือแม้จะเป็นต้นจากเมล็ดที่เกิดโดยละอองเรณูที่นำเขามาในไร่ของตนโดยสัตว์ นก หรือลม อาจจะเป็นเจ้าของเมล็ดพันธุ์หรือพืชที่อยู่ในไร่ของตนแม้ว่าจะไม่ได้ปลูกด้วยตนเอง แต่ว่า เขาไม่ได้มีสิทธิที่จะใช้ (use) ยีนที่จดสิทธิบัตร ใช้เมล็ด หรือใช้พืช ที่มียีนหรือเซลล์ที่จดสิทธิบัตร"[4]

ความโด่งดัง

กรณีนี้ ได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชนอย่างกว้างขวาง ก่อนที่คดีจะไปถึงศาลชั้นต้นเสียอีกมีการวาดภาพเป็นการต่อสู้กันระหว่างยักษ์ใหญ่กับหนูน้อย คือระหว่างมอนซานโต้กับชาวนา หรือเป็นการขโมยผลงานวิจัยและพัฒนาที่ทำมานานหลายปี[8][9][10]กลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อมและผู้ต่อต้านพันธุวิศวกรรมได้สนับสนุนสิทธิของชไมเซอร์ ผู้ได้ให้คำสัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีนี้ไปทั่วโลก[8][9][11]ส่วนบางพวกวาดภาพกรณีนี้ว่า เป็นการต่อสู้กันระหว่างบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพขนาดยักษ์ กับกลุ่มต่อต้านเทคโนโลยีชีวภาพที่ใหญ่และมีทุนสนับสนุนเท่าเทียมกัน[12]แล้วแสดงความเป็นห่วงว่า ทั้งความเท็จจริงและบริบทของคดีนี้ ถูกบิดเบือนโดยชไมเซอร์ โดยกลุ่มสิ่งแวดล้อม และโดยกลุ่มต่อต้านพันธุวิศวกรรมต่าง ๆ[12][13][14]

คดีนี้ ยังวาดภาพอีกด้วยว่า เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการกำหนดขอบเขตกฎหมายเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพ รวมทั้งพันธุวิศวกรรม และการเป็นเจ้าของสิ่งมีชีวิตระดับสูงและเป็นคดีที่มักจะเชื่อมกับคดีหนูแปรพันธุกรรมที่ใช้ในการทดลองโรคมะเร็งที่เรียกว่าหนูฮาร์วาร์ด หรือ Oncomouse ที่ในปี 2545 ศาลสูงสุดแคนาดาได้ปฏิเสธสิทธิบัตรคดีหนูฮาร์วาร์ดเป็นคดีตั้งบรรทัดฐานในแคนาดา เกี่ยวกับการเป็นเจ้าของสิ่งมีชีวิตระดับสูง แม้ว่าการตัดสินของแคนาดาจะไม่เข้ากับการตัดสินของศาลในประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป ที่ให้สิทธิบัตรกับหนูฮาร์วาร์ด[8]แต่ว่า ศาลสูงสุดแคนาดาในที่สุดก็บ่งชี้อย่างพิถีพิถันว่า คดีนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับยีนในเมล็ดพันธุ์ ไม่ใช่เรื่องสิ่งมีชีวิตในระดับสูง เป็น "คดีแรกที่ศาลสูงสุดของประเทศไหนก็ตาม ได้ตัดสินเรื่องสิทธิบัตรเกี่ยวกับพืชและยีนเมล็ดพันธุ์พืช"[15]

คดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์

ศาลรัฐบาลกลางแคนาดาชั้นต้น ได้ตัดสินปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิบัตรและ "สิทธิของเกษตรกร" ให้มอนซานโต้ชนะ[4]และเช่นกันในระดับศาลอุทธรณ์โดยศาลทั้งสองพบว่า จุดหลักของการละเมิดสิทธิบัตรของชไมเซอร์ในพืชผลปี 2541 ก็คือ เขารู้หรือควรจะรู้คุณลักษณะของเมล็ดพันธุ์ทนยาไกลโฟเสตที่ตนได้เก็บไว้แล้วปลูก

การดำเนินคดีในศาลรัฐบาลขั้นต้นทำในวันที่ 5 มิถุนายน 2543 ในเมือง Saskatoon รัฐซัสแคตเชวัน[16]แต่ว่า การโจทย์เกี่ยวกับพืชที่พบในแปลงชไมเซอร์ในปี 2540 ได้ยกฟ้องก่อนที่จะไปถึงศาล และศาลพิจารณาเพียงแค่เรื่องพืชในแปลงปี 2541ซึ่งเป็นปีที่ชไมเซอร์ไม่ได้พยายามสู้ความโดยอ้างว่า มีการปนเปื้อนโดยอุบัติเหตุหลักฐานแสดงว่า อัตราของพืชทนไกลโฟเสตในแปลงชไมเซอร์ปี 2541 อยู่ที่ระดับ 95-98%[4]:ย่อหน้า 53และว่า ระดับความหนาแน่นของพืชเช่นนี้ไม่สามารถเกิดได้โดยอุบัตเหตุซึ่งเป็นมูลฐานที่ศาลใช้ตัดสินว่า ชไมเซอร์รู้หรือ "ควรจะรู้" ว่าเขาได้ปลูกพืช Roundup Ready canola ในปี 2541ดังนั้น ปัญหาว่า พืชที่เข้ามาในแปลงของเขาในปี 2540 เป็นอุบัติเหตุหรือไม่ จึงไม่สำคัญถึงอย่างนั้นก็ดี ในศาลชั้นต้น มอนซานโต้ได้แสดงหลักฐานเพียงพอที่ทำให้ศาลเชื่อว่า พืชที่เกิดขึ้นในปี 2540 ก็คงไม่ได้เกิดโดยอุบัติเหตุ[4]:ย่อหน้า 118ศาลกล่าวว่า เชื่อถือได้ "ตามดุลความน่าจะเป็น" (ซึ่งเป็นมาตรฐานในคดีแพ่งว่า "เป็นไปได้มากกว่าที่จะไม่ใช่" คือมีความน่าจะเป็นสูงกว่า 50%) ว่า พืชที่พบในปี 2540 ไม่ได้เกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุ เช่น การตกจากรถบรรทุก หรือพัดมาตามลม ดังที่ชไมเซอร์ได้เสนอ

ส่วนในสื่อสาธารณชน ผู้สนับสนุนชไมเซอร์อ้างว่า คำอธิบายของเขายังไม่ได้กำจัดความเป็นไปได้ว่า การเก็บเกี่ยวแล้วปลูกพืชจากเขตที่ถูกสเปรย์เป็นอุบัติเหตุ ที่เกิดจากการสื่อสารที่ผิดพลาดระหว่างชไมเซอร์กับคนงาน หรือว่าเขาไม่ได้ตั้งสติที่จะสั่งคนงานให้หลีกเลี่ยงใช้เมล็ดพันธุ์พืชในการปลูกส่วนผู้สนับสนุนมอนซานโต้อ้างว่า การประมาทเลินเล่อเช่นนี้ไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจาก

  • ข้ออ้างของชไมเซอร์ว่า ตนไม่ต้องการ Roundup Ready canola ในแปลงของตนเพียงไร และว่าตนให้ความความสำคัญมากกับความเป็นอยู่ได้ของพันธุ์พืชของตน
  • มอนซานโต้ได้แจ้งชไมเซอร์ก่อนฤดูเพาะปลูกปี 2541 แล้วว่า บริษัทเชื่อว่าเขาได้จงใจปลูกพืชในปี 2540

อย่างไรก็ดี ตามกฎหมายแล้ว ความประมาทเลินเล่อเช่นนี้ไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างแก้การละเมิดสิทธิบัตรได้ และดังนั้น จึงไม่สำคัญเพราะว่า สิทธิบัตรเป็นเรื่องกฎหมายแพ่ง และดังนั้น ความจงใจละเมิด จึงไม่ได้เป็นองค์การตัดสินว่าได้ละเมิดสิทธิบัตรหรือไม่[4]:ย่อหน้า 115แต่ว่าในจุดนี้ ศาลอุทธรณ์ต่อมาให้ข้อสังเกตว่า การปนเปื้อนทางยีนโดยอุบัติเหตุที่ไม่ได้อยู่ในอำนาจของเกษตรกร ควรจะเป็นข้อยกเว้นในกฎที่ว่า ความจงใจไม่ได้เป็นประเด็นในการโต้แย้งเรื่องสิทธิบัตร

ศาลชั้นต้นได้สรุปว่า

ตามดุลความน่าจะเป็น จำเลยได้ละเมิดข้อเรียกร้องจำนวนหนึ่งของโจทก์ภายใต้สิทธิบัตรแคนาดาหมายเลข 1,313,830 โดยไม่ได้รับความยินยอมหรือการอนุญาตจากโจทก์ ด้วยการปลูกแปลง canola ในปี 2541 ด้วยเมล็ดพันธุ์ที่เก็บจากปี 2540 ที่จำเลยรู้ หรือควรจะรู้ว่า ทนต่อยา Roundup ซึ่งเป็นพืชที่เมื่อทดสอบก็พบว่า มียีนและเซลล์ที่เป็นข้อเรียกร้องภายใต้สิทธิบัตรของโจทก์ จำเลยยังละเมิดสิทธิบัตรของโจทก์เพิ่มขึ้นอีกโดยการขายเมล็ดพันธุ์ที่เก็บเกี่ยวได้ในปี 2541[4]

ต่อมา ศาลอุทธรณ์จึงได้ดำเนินคดีที่เมืองเดียวกันเริ่มวันที่ 15 พฤษภาคม 2545แล้วตัดสินให้การตัดสินของศาลชั้นต้นคงยืน[17]

ศาลอุทธรณ์เน้นความสำคัญโดยเฉพาะของการที่ชไมเซอร์ใช้เมล็ดพันธุ์ทั้ง ๆ ที่รู้ ในการตัดสินว่ามีการละเมิดสิทธิบัตร แล้วตั้งข้อสังเกตว่า ในกรณีที่มีการปนเปื้อนโดยอุบัติเหตุ หรือที่เกษตรกรรู้ถึงการมีอยู่ของยีนสิทธิบัตรแต่ไม่ทำการเพื่อเพิ่มจำนวนพืช ศาลอาจจะตัดสินแตกต่างออกไปได้[17]:ย่อหน้า 55-58ศาลไม่ได้ปรับชไมเซอร์โดยส่วนบุคคลแต่ปรับบริษัทเกษตรของชไมเซอร์คือบริษัทชไมเซอร์วิสาหกิจจำกัด โดยที่ชไมเซอร์ทำการเป็นกรรมการของบริษัท

ต่อมา มีการยื่นฎีกาต่อศาลสูงสุดซึ่งตกลงที่จะฟังความในเดือนพฤษภาคม 2546 แล้วจึงเริ่มดำเนินคดีในวันที่ 20 มกราคม 2547ประเด็นพิจารณาของศาลสูงสุดก็คือ การเพาะปลูกผักกาดแปรพันธุกรรมของชไมเซอร์เป็นการใช้ (use) เซลล์พืชแปรพันธุกรรมซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ของมอนซานโต้หรือไม่[1]

ชไมเซอร์มีองค์การนอกภาครัฐ 6 องค์กรเป็นผู้ช่วยสนับสนุนในศาล คือ องค์กรนิยมการเมืองฝ่ายซ้าย สภาชาวแคนาดา (Council of Canadians), กลุ่มปฏิบัติการเกี่ยวกับความเสื่อม เทคโนโลยี และการรวมอำนาจ (Action Group on Erosion, Technology and Concentration), กลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อมคลับเซียร์รา (Sierra Club), สหภาพเกษตกรแห่งชาติ (National Farmers Union), มูลนิธิการวิจัยเพื่อวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนิเวศน์ (Research Foundation for Science, Technology and Ecology), ศูนย์ประเมินเทคโนโลยีนานาชาติ (International Center for Technology Assessment), และรัฐมนตรีกระทรวงอัยการรัฐออนแทรีโอ (Attorney General of Ontario)[18][19]

ใกล้เคียง

คดีระหว่างนายทะเบียนพรรคการเมือง กับพรรคประชาธิปัตย์ (2553) คดีระหว่างบริษัทมอนซานโต้แคนาดากับชไมเซอร์ คดีระหว่างพนักงานอัยการ กับพิมล กาฬสีห์ และนภาพันธ์ กาฬสีห์ คดีระหว่างล็อกเคบินรีพับลิกันส์ กับสหรัฐ คดีระบายข้าวจีทูจี คดีระหว่างบราวน์กับคณะกรรมการการศึกษา คดีระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดชลบุรีกับณัชกฤช จึงรุ่งฤทธิ์ คดีระหว่างบริษัทแอปเปิลกับบริษัทซัมซุงอิเล็คทรอนิกส์ จำกัด คดีระหว่างบริษัท 303 ครีเอทีฟ จำกัดกับเอเลนิส คดีระหว่างรัฐมินนิโซตากับชอวิน

แหล่งที่มา

WikiPedia: คดีระหว่างบริษัทมอนซานโต้แคนาดากับชไมเซอร์ http://www.cbc.ca/news2/background/genetics_modifi... http://decisions.fca-caf.gc.ca/en/2002/2002fca309/... http://decisions.fct-cf.gc.ca/en/2001/2001fct256/2... http://www.scc-csc.ca/case-dossier/info/dock-regi-... http://whybiotech.ca/html/Canada3-12-6-02.HTM http://s3.amazonaws.com/files.posterous.com/temp-2... http://www.biotechknowledge.com/biotech/bbasics.ns... http://www.cropchoice.com/leadstry148e.html?recid=... http://www.ens-newswire.com/ens/jun2000/2000-06-19... http://books.google.com/books?id=zj9tfUPKgeMC&dq