ตะพาบม่านลายไทย (
อังกฤษ: Asian narrow-headed softshell turtle, Siamese narrow-headed softshell turtle, Nutaphand's narrow headed softshell turtle;
ชื่อวิทยาศาสตร์: Chitra chitra) เป็น
ตะพาบที่มีลวดลายสวยและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
[3]มีรูปร่างคล้ายตะพาบทั่วไป แต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก หัวเล็กและลำคอยาว จมูกค่อนข้างสั้นยาว เมื่อขนาดเล็กมากจะมีแถบสีเหลืองปนน้ำตาลบนส่วนหัวและกระดองอย่างชัดเจน โดยสีสันนั้นอาจปรับเปลี่ยนได้ตามสภาพแวดล้อม อาจจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมม่วงก็ได้ บนกระดองลายแถบจะพาดผ่านส่วนหัวยาวอย่างต่อเนื่องมาบนกระดอง ส่วนท้องจะมีสีขาวหรือขาวอมชมพู โดยโตเต็มที่อาจยาวได้ถึง 1.5 เมตร ความกว้างของกระดอง 1 เมตร และหนักถึง 100–120 กิโลกรัม ตัวผู้มีขนาดเล็กกว่าตัวเมียครึ่งต่อครึ่ง เชื่อว่ามีอายุยืนยาวได้กว่า 100 ปี มีถิ่นกำเนิดที่
แม่น้ำแคว จังหวัดกาญจนบุรี,
แม่น้ำแม่กลอง จังหวัด
ราชบุรี และ
แม่น้ำปิงในเขต
ภาคเหนือของประเทศไทยเท่านั้น และมีรายงานว่าพบที่ลุ่ม
แม่น้ำเจ้าพระยาใน
ภาคกลาง และพบที่
มาเลเซียและ
อินโดนีเซียด้วย (โดยแบ่งออกเป็น 2
ชนิดย่อย[2])ตะพาบตัวเมียจะขึ้นมาวางไข่บนหาดทรายริมแหล่งน้ำ โดยขุดหลุมลึก 40–50 เซนติเมตร ออกไข่เสร็จแล้วจะปิดทรายไว้ปากหลุมทิ้งไว้ประมาณ 2 เดือน ไข่จะฟักออกเป็นตัว ลูกตะพาบจะวิ่งหาลงน้ำ และหาอาหาร ซึ่งได้แก่ ลูกปลา, ลูกกุ้งและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร เลี้ยงตัวจนถึงวัยเจริญพันธุ์ โดยพฤติกรรมในธรรมชาติจะฝังตัวอยู่ใต้ทรายในพื้นน้ำ โผล่มาแต่เฉพาะตาและจมูกเท่านั้น และจะหาเหยื่อด้วยวิธีการซุ่มนี้สถานภาพปัจจุบันไม่พบรายงานในธรรมชาติมานานเป็นระยะเวลากว่า 30 ปีแล้ว จนเชื่อได้ว่าอาจสูญพันธุ์ไปแล้วจากแหล่งธรรมชาติ เนื่องจากถูกล่าเป็นอาหารและสัตว์เลี้ยงอย่างมาก รวมทั้งถูกคุกคามในเรื่องที่อยู่อาศัยในธรรมชาติด้วย และเป็น
สัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 แต่ปัจจุบัน
กรมประมงสามารถเพาะขยายพันธุ์ตะพาบม่านลายไทยได้สำเร็จในที่เลี้ยงได้แล้วในปี 2545 โดยให้ผสมพันธุ์ในน้ำและขึ้นมาวางไข่บนหาดทรายในฤดูหนาวช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ตะพาบม่านลายไทยอัตราการเจริญเติบโตเทียบกับ
เต่าหรือตะพาบชนิดอื่นแล้ว นับว่ามีอัตราการเจริญเติบโตที่ช้ากว่ามาก
[4]และในต้นปี 2553 แม่พันธุ์ตะพาบม่านลายไทยของกรมประมงก็ได้วางไข่สูงสุดถึง 305 ฟอง ซึ่งนับว่ามากสุดเท่าที่เคยมีมา ใช้เวลาฟัก 61–70 วัน โดยฟักเป็นตัวทั้งหมด 92 ฟอง คิด เป็นอัตราการฟักประมาณร้อยละ 30 ซึ่งทางกรมประมงตั้งเป้าหมายจะเพาะขยายพันธุ์ให้มากขึ้นกว่านี้เพื่อจะได้ปล่อยลูกตะพาบลงสู่ธรรมชาติ เพื่อมิให้เกิดการสูญพันธุ์
[5]นอกจากนี้แล้ว ตะพาบม่านลายไทยยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกว่า "กริวลาย", "กราวด่าง", "ม่อมลาย", "มั่มลาย" เป็นต้นโดยที่ตะพาบม่านลายไทยเดิมถูกจัดเป็น
ชนิดเดียวและใช้ชื่อวิทยาศาสตร์เดียวกับ
ตะพาบม่านลายอินเดีย (C. indica) ซึ่งเป็นชนิดที่พบใน
อินเดียและ
ปากีสถาน แต่ทว่าได้ถูก
อนุกรมวิธานใหม่จาก น.อ.(พิเศษ)
วิโรจน์ นุตพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์ชาวไทย เมื่อปี ค.ศ. 1986 โดยจำแนกออกเป็นชนิดใหม่
[6]