จุดกำเนิด ของ ตำนานแทงข้างหลัง

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับฟรีดริช เอเบิร์ท ขณะที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสาธารณรัฐไวมาร์ชั่วคราวใน ค.ศ. 1919 ว่า เขากล่าวแก่ทหารผ่านศึกที่กลับบ้านว่า "ไม่มีข้าศึกใดพิชิตท่าน"

ช่วงปลายสงคราม เยอรมนีอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการทหารในทางปฏิบัติ โดยมีกองบัญชาการทหารสูงสุดของเยอรมนี (เยอรมัน: Oberste Heeresleitung) และ จอมพล เพาล์ ฟ็อน ฮินเดินบวร์ค ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ถวายคำแนะนำแก่สมเด็จพระจักรพรรดิไกเซอร์ หลังการรุกครั้งสุดท้ายบนแนวรบด้านตะวันตกประสบความล้มเหลว ความพยายามทำสงครามก็ถึงวาระสุดท้าย กองบัญชาการทหารสูงสุดสนองโดยการเปลี่ยนรัฐบาลพลเรือนอย่างรวดเร็ว พลเอกลูเดนดอร์ฟฟ์ หัวหน้าเสนาธิการ กล่าวว่า

ผมทูลถามจักรพรรดิในการนำบรรดาแวดวงเหล่านั้นเถลิงอำนาจ ซึ่งเราเองก็ขอบคุณมากที่มาได้นานถึงเพียงนี้ เพราะฉะนั้น เราจะนำเหล่าสุภาพบุรุษเหล่านั้นเข้าเป็นคณะรัฐมนตรี ตอนนี้ พวกเขาสามารถสร้างสันติภาพที่ต้องทำ พวกเขาสามารถกินน้ำแกงที่พวกเขาเตรียมไว้ให้เรา!

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 คณะผู้แทนสาธารณรัฐไวมาร์ที่เพิ่งตั้งใหม่นั้น ได้ลงนามการสงบศึกกับฝ่ายสัมพันธมิตร อันเป็นการยุติสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ผลกระทบที่ตามมาจากสนธิสัญญาแวร์ซายก่อให้เกิดความสูญเสียดินแดนและเศรษฐกิจอย่างมหาศาล เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิไกเซอร์ทรงถูกบังคับให้สละราชสมบัติและกองทัพสละอำนาจบริหาร รัฐบาลพลเรือนชั่วคราวก็ได้เรียกร้องสันติภาพ ลายมือชื่อของมัททิอัส เออร์ซแบร์เกอร์ พลเรือน ปรากฏบนการสงบศึก ซึ่งต่อมาเขาถูกสังหารในภายหลังเพราะการทรยศที่ถูกกล่าวหา การเสียชีวิตของเขานำไปสู่การลงนามสนธิสัญญาแวร์ซาย

การถือกำเนิดอย่างของ "ตำนานแทงข้างหลัง" อย่างเป็นทางการนั้นอาจสามารถสืบได้ถึงฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1919 เมื่อลูเดนดอร์ฟฟ์กำลังทานอาหารกับหัวหน้าทูตทหารอังกฤษในกรุงเบอร์ลิน พลเอก นีล มัลคอล์ม มัลคอล์มถามลูเดนดอร์ฟฟ์ว่า เหตุใด เขาจึงคิดว่าเยอรมนีแพ้สงคราม ลูเดนดอร์ฟฟ์ตอบคำแก้ตัวเป็นรายการของเขา รวมทั้งที่ว่า แนวหลังพังกองทัพ

มัลคอล์มถามเขาว่า "ท่านนายพล คุณหมายความว่า คุณถูกแทงข้างหลังงั้นหรือ" ดวงตาของลูเดนดอร์ฟฟ์สว่างขึ้น และเขากระโจนหาวลีนั้นเหมือนสุนัขกับกระดูก "ถูกแทงข้างหลัง?" เขาย้ำ "ใช่ นั่นแหละ แน่นอน เราถูกแทงข้างหลัง" และนั่นจึงถือกำเนิดตำนานซึ่งไม่เคยตายหมดสิ้น[5]

ประโยคดังกล่าวเป็นที่ถูกใจลูเดนดรอฟอย่างมาก เขาได้เผยแพร่ประโยคนี้ให้กับเหล่ากองเสนาธิการทหารโดยกล่าวว่านี่เป็นแนวคิดที่ "เป็นทางการ" ก่อนที่ต่อมาคำนี้จะกระจายไปสู่สังคมเยอรมนีทุกภาคส่วน แนวคิดนี้ได้ถูกพรรคการเมืองฝ่ายขวาทั้งหลายหยิบยกมาเป็นประเด็นโจมตีรัฐบาลสาธารณรัฐไวมาร์ภายใต้การนำของพรรคเอสพีดี ตั้งแต่เถลิงอำนาจหลังการปฏิวัติเยอรมนี ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1919 สมาชิกรัฐสภาไวมาร์ได้แต่งตั้งชุด Untersuchungsausschuß für Schuldfragen ขึ้นเพื่อสืบหาสาเหตุของสงครามโลกและปัจจัยที่นำไปสู่ความพ่ายแพ้ของเยอรมนี ในวันที่ 18 พฤศจิกายน จอมพลฮินเดนเบิร์กได้ให้การยืนยันต่อหน้าคณะกรรมการของรัฐสภา และได้มีการกล่าวอ้างถึงบทความ Neue Zürcher Zeitung ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1918 ซึ่งเป็นการสรุปบทความสองบทความก่อนหน้านั้นในเดย์ลี่ เมล์ ที่เขียนโดยนายพลชาวอังกฤษ เฟรเดอริก บาร์ตัน เมาไรซ์ ด้วยประโยคที่ว่า กองทัพเยอรมันถูก "แทงข้างหลังโดยพลเมืองชาวเยอรมันเอง" (เมาไรซ์ปฏิเสธในภายหลังว่าเขาไม่ได้กล่าวถึงแนวคิดนี้แต่อย่างใด) การให้ปากคำของฮินเดนเบิร์กนี้เองที่ทำให้แนวคิดดังกล่าวแพร่กระจายไปกว้างขวางในเยอรมนีภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

ส่วนทางด้านริชาร์ด สไตกมันน์-กัลล์ กล่าวว่า ตำนานแทงข้างหลังสามารถย้อนรอยไปจนถึงการเทศนาของอนุศาสนาจารย์ บรูโน เดอริง (Bruno Doehring) เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918 หกเดือนก่อนสงครามยุติ[6] บอริส บาร์ท นักวิชาการชาวเยอรมัน มีความเห็นแย้งกับแนวคิดของสไตกมันน์ โดยกล่าวว่า เดอริงไม่ได้ใช้คำว่า "แทงข้างหลัง" แต่อย่างใด เพียงแต่กล่าวถึงการทรยศเท่านั้น[7] บาร์ทเขียนเอกสารที่กล่าวถึงตำนานแทงข้างหลังครั้งแรกในบันทึกการประชุมของพรรคการเมืองสายกลางในมิวนิก เลอเวนบรอย-เคลเลอร์ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 1918 ซึ่งเอิร์สต์ มึลเลอร์ ไมนิงเกน สมาชิกของรัฐบาลผสมชุดใหม่แห่งรัฐสภาไรชส์ทาค ได้ใช้คำดังกล่าวเพื่อปลุกใจให้ผู้ฟังมีความรู้สึกฮึกเหิม

เมื่อการรบในแนวหน้าดำเนินไป พวกเราซึ่งมีหน้าที่ที่จะรักษาบ้านเกิดเมืองนอนเอาไว้นั้นควรละอายแก่ตนเองต่อหน้าลูกหลานของเราหากว่าเราโจมตีแนวหน้าจากข้างหลังโดยการแทงมีด (wenn wir der Front in den Rücken fielen und ihr den Dolchstoss versetzten.)

บาร์ทได้แสดงให้เห็นอีกว่า คำดังกล่าวเป็นที่นิยมมากในหนังสือพิมพ์เยอรมันฉบับหนึ่งซึ่งมีเนื้อหาแสดงความรักชาติที่ชื่อ Deutsche Tageszeitung ที่มีการหยิบยกเอาบทความ Neue Zürcher ซึ่งเป็นคำตอบของฮินเดนเบิร์กต่อหน้าคณะกรรมการไต่สวนของรัฐสภามากล่าวอ้างอยู่บ่อยครั้ง

การโจมตีแนวคิดสมคบคิดของชาวยิวในประเด็นความพ่ายแพ้ของเยอรมนีนั้นส่วนใหญ่ตกอยู่กับบุคคลที่มีชื่อเสียง อย่าง คุร์ท ไอซเนอร์ ชาวเยอรมันเชื้อสายยิว ผู้อาศัยอยู่ในนครมิวนิก เขาได้เขียนเกี่ยวกับสงครามซึ่งผิดกฎหมายนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1916 เป็นต้นมา นอกจากนี้เขายังมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากในการปฏิวัติมิวนิก จนกระทั่งเขาถูกลอบสังหารในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1919 สาธารณรัฐไวมาร์ภายใต้การนำของฟรีดริช เอเบิร์ท ได้ปราบปรามการก่อจลาจลของเหล่าชนชั้นแรงงานอย่างรุนแรง และปราบหน่วยทหารเสรีที่จัดตั้งขึ้นทั่วประเทศเยอรมนี ด้วยความช่วยเหลือจากกุสตาฟ นอร์เก และนายพลแห่งกองกำลังป้องกันแห่งชาติ วิลเฮม โกรเนอร์ แม้ว่าการโจมตีนั้นจะมีการรับฟังความเห็นของผู้อื่นก็ตาม แต่ความชอบธรรมของสาธารณรัฐนั้นก็ได้ถูกโจมตีโดยมีการกล่าวอ้างประเด็นการแทงข้างหลัง โดยผู้แทนของหน่วยทหารเสรีจำนวนมาก อย่างเช่น มัททิอัส เออร์ซเบอร์เกอร์ และวัลเทอร์ ราเทอนาว ถูกลอบสังหาร ผู้นำของกลุ่มถูกตราหน้าว่าเป็นอาชญากรและชาวยิว โดยสื่อฝ่ายขวาของ อัลเฟรด ฮูเกนเบิร์ก

นักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมัน ฟรีดิช มินเนค พยายามสืบหาร่องรอยของที่มาของคำนี้อยู่ก่อนแล้ว ตามที่ระบุในหนังสือพิมพ์เวียนนิช Neue Freie Presse เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 1922 โดยในการเลือกตั้งแห่งชาติประจำ ค.ศ. 1924 วารสารเกี่ยวกับศาสนาที่ชื่อ Süddeutsche Monatshefte ได้ลงพิมพ์บทความชุดหนึ่งในระหว่างความพยายามทรยศต่อประเทศของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และลูเดนดอร์ฟฟ์ใน ค.ศ. 1923 โดยบทความนั้นมีเนื้อหาต่อว่าพรรคเอสพีดีและสหภาพแรงงานเกี่ยวกับความพ่ายแพ้ของเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หลังตีพิมพ์บทความ บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์พรรคเอสพีดีได้ยื่นฟ้องนิตยสารนั้นในข้อหาหมิ่นประมาท ทำให้เกิดการลุกฮือจนเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า Munich Dolchstossprozess ตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม ถึง 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1924 มีบุคคลสำคัญหลายคนได้ให้การเป็นพยานในศาลชั้นต้น ซึ่งรวมถึงคณะกรรมการของรัฐสภาที่สืบสวนสาเหตุความพ่ายแพ้สงครามเช่นกัน ทำให้มีผลการตัดสินคดีหมิ่นประมาทบางส่วนถูกเปิดเผยสู่สาธารณชนก่อนที่คณะกรรมการดังกล่าวจะได้ตีพิมพ์ผลการตัดสินออกมาใน ค.ศ. 1928

ตำนานแทงข้างหลังนั้นเป็นภาพพจน์ที่ใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อที่ผลิตโดยฝ่ายขวา และพรรคการเมืองหัวอนุรักษนิยมที่จัดตั้งขึ้นในช่วงแรก ๆ ของสาธารณรัฐไวมาร์ ซึ่งรวมไปถึงพรรคนาซีของฮิตเลอร์ สำหรับเขาแล้วรูปแบบการจำลองสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมีความสำคัญส่วนตัวสำหรับเขามาก[8] เขาได้ทราบข่าวความพ่ายแพ้ของเยอรมนีในระหว่างที่รักษาตัวจากอาการตาบอดชั่วคราวจากการโจมตีด้วยแก๊สมัสตาร์ดในการรบที่แนวหน้า[8] ในหนังสือ ไมน์คัมพฟ์ (การต่อสู้ของข้าพเจ้า) ของเขา เขาได้อธิบายถึงวิสัยทัศน์ของเขาที่ทำให้เขาเข้าสู่วงการเมือง ตลอดอาชีพของเขา เขามักกล่าวโทษเหตุการณ์ "อาชญากรรมเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918" ที่มีการลอบแทงทหารบกเยอรมันจากด้านหลังเสมอ

แม้ว่าจะมีเรื่องเล่าของประธานาธิบดีชั่วคราวแห่งสาธารณรัฐไวมาร์ ฟรีดริช เอเบิร์ท ที่กล่าวสดุดีทหารผ่านศึกใน ค.ศ. 1919 ว่า "ไม่มีข้าศึกใดพิชิตท่าน" (Kein Feind hat euch überwunden!) และการกล่าวสดุดีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ว่า "พวกเขากลับจากสมรภูมิโดยไม่แพ้" (Sie sind vom Schlachtfeld unbesiegt zurückgekehrt) ภายหลังคำกล่าวที่ว่า พวกเขากลับมาโดยไม่แพ้ นั้นเป็นสโลแกนกึ่งทางการของไรช์เวร์ โดยย่อให้สั้นลงจนเหลือ Im Felde unbesiegt ก็ตาม แต่เอเบิร์ทเพียงเจตนาพูดเพื่อเป็นขวัญกำลังใจและโน้มน้าวใจทหารเยอรมันเท่านั้น

ใกล้เคียง

ตำนาน ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตำนานเก็นจิ ตำนานวีรบุรุษกาแล็กซี ตำนานไซอิ๋วฉบับเกาหลี ตำนานนางพญางูขาว ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๕ ยุทธหัตถี ตำนานเจ้าหญิงไม้ไผ่จากดวงจันทร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๓ ยุทธนาวี ตำนานแห่งซิลมาริล