จักรวรรดิไบแซนไทน์ ของ ต้นสมัยกลาง

ดูบทความหลักที่: จักรวรรดิไบแซนไทน์

การเสด็จสวรรคตของจักรพรรดิธีโอโดเซียสที่ 1 ในปี ค.ศ. 395 ตามมาด้วยการแบ่งแยกของจักรวรรดิโรมันระหว่างพระราชโอรสสองพระองค์เป็นจักรวรรดิโรมันตะวันตก และ จักรวรรดิโรมันตะวันออก จักรวรรดิโรมันตะวันตกสลายตัวออกไปเป็นอาณาจักรเยอรมันย่อยๆ เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 5 ซึ่งทำให้จักรวรรดิโรมันตะวันออกในคอนสแตนติโนเปิลกลายมาเป็นจักรวรรดิที่สืบต่อจากจักรวรรดิโรมันโบราณ หลังจากจักรวรรดิโรมันตะวันออกเปลี่ยนมาใช้ภาษากรีกแทนภาษาละตินเป็นภาษาราชการ นักประวัติศาสตร์ก็เรียกจักรวรรดินี้ว่า “ไบแซนไทน์” ชาวตะวันตกก็ค่อยๆ กล่าวถึงผู้อยู่ในจักรวรรดิไบแซนไทน์ว่า “กรีก” แทนที่จะเป็น “โรมัน” แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในจักรวรรดิไบแซนไทน์เองยังมักจะเรียกตนเองว่า “Romaioi” หรือ “โรมัน”

ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 (ปกครอง ค.ศ. 527-ค.ศ. 565) ไบแซนไทน์สามารถฟื้นฟูอำนาจของจักรวรรดิโรมันอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขึ้นอีกครั้งในอิตาลีและแอฟริกาเหนือ

จักรวรรดิโรมันตะวันออกมีจุดประสงค์ที่จะรักษาสิทธิในการควบคุมเส้นทางการค้าระหว่างยุโรปและตะวันออกที่ทำให้จักรวรรดิเป็นจักรวรรดิที่มั่งคั่งที่สุดในบรรดารัฐต่างๆ ในยุโรป ไบแซนไทน์ใช้ความสามารถทั้งในทางการทหาร และในทางการทูตในการป้องกันหรือหลีกเลี่ยงการถูกรุกรานจากอนารยนที่โยกย้ายถิ่นฐานเข้ามา ความหวังที่จะฟื้นฟูอำนาจทางตะวันตกมาเป็นความจริงอยู่ชั่วระยะหนึ่งในรัชสมัยของจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 ผู้ครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. 527 จนถึงปี ค.ศ. 565 ไม่แต่เพียงแต่จะฟื้นฟูจักรวรรดิโรมันตะวันตกเท่านั้นแต่พระองค์ยังทรงวางรากฐานกฎหมายโรมันที่เป็นกฎหมายที่ใช้กันอย่างกว้างขวางต่อมา และในบางบริเวณใช้มาจนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 นอกจากนั้นก็ทรงสร้างสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดและมีวิธีการก่อสร้างที่ซับซ้อนที่สุดของยุคกลางตอนต้น--อะยาโซเฟียในคอนสแตนติโนเปิล แต่โรคระบาดจัสติเนียนก็มาทำให้สถานะการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อคอนสแตนติโนเปิลเองเสียประชากรไปถึง 40% ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ประชากรของยุโรปลดจำนวนลงไปเป็นอันมากในสมัยยุคกลางตอนต้น

จักรพรรดิมอริซและจักรพรรดิเฮราคลิอัสต้องประสบกับการรุกรานของยูเรเชียอาวาร์ และ ชนสลาฟ หลังจากการทำลายของอาวาร์และสลาฟแล้วบริเวณส่วนใหญ่ของคาบสมุทรบอลข่านก็สูญเสียประชากรไปเป็นจำนวนมาก ในปี ค.ศ. 626 คอนสแตนติโนเปิลที่เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสมัยยุคกลางตอนต้นก็สามารถต่อต้านการรุกรานของอาวาร์และเปอร์เชียได้ ภายในยี่สิบถึงสามสิบปีจักรพรรดิเฮราคลิอัสก็ทรงสามารถพิชิตเปอร์เชียได้โดยทรงยึดเมืองหลวงและทรงสั่งให้ประหารชีวิตสุลต่านซาสซานียะห์ (Sassanid) แต่พระองค์ก็มีพระชนมายุยืนพอที่ได้เห็นสิ่งที่ทรงได้มาเสียไป โดยการที่ฝ่ายอาหรับสามารถพิชิตซีเรีย, ปาเลสไตน์, อียิปต์ และ แอฟริกาเหนือได้ ที่เป็นผลมาจากความแตกแยกทางศาสนา และขบวนการนอกรีตที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม

แม้ว่าจักรพรรดิเฮราคลิอัสจะทรงสามารถต่อต้านการล้อมเมืองคอนสแตนติโนเปิลโดยฝ่ายอาหรับได้ถึงสองครั้ง (ในระหว่างปี ค.ศ. 674 ถึง ค.ศ. 677 และในปี ค.ศ. 717) ไบแซนไทน์ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 9 ก็ต้องประสบกับปัญหาหลายอย่างที่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของจักรวรรดิที่รวมทั้งลัทธิทำลายรูปเคารพ และ ความขัดแย้งกันของฝักฝ่ายต่างๆ ภายในราชสำนัก

บัลการ์และสลาฟถือโอกาสจากความแตกแยกในการเข้ารุกรานอิลิเรีย, เธรซ และ กรีซ หลังจากได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดในยุทธการออนกาลา (battle of Ongala) ในปี ค.ศ. 680 แล้วกองทัพบัลการ์และสลาฟก็เดินทางไปทางใต้ของเทือกเขาบอลข่าน และได้รับชัยชนะต่อไบแซนไทน์อีกครั้ง จนไบแซนไทน์ต้องยอมลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกที่เป็นการหยามเกียรติ โดยที่ต้องยอมรับการก่อตั้งจักรวรรดิบัลแกเรียที่ 1 ติดกับไบแซนไทน์เอง

เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นคงต่อภัยรอบด้าน ไบแซนไทน์ก็ทำการปฏิรูปทางการบริหารใหม่โดยการรวมการบริหารทั้งทางการเมืองและทางการทหารเข้าด้วยกันภายใต้อำนาจของขุนพล การปฏิรูประบบนี้ทำให้เกิดตระกูลที่เป็นเจ้าของที่ดินใหญ่ๆ ขึ้นหลายตระกูลที่มีอำนาจปกครองเขตภูมิภาคต่างๆ ในจักรวรรดิ และเมื่อมีอำนาจมากขึ้นต่างตระกูลต่างก็จะอ้างสิทธิในการครองราชบัลลังก์

เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 8 อาณาเขตของไบแซนไทน์ก็ลดน้อยลงแต่กระนั้นคอนแสตนติโนเปิลก็ยังคงเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและมั่งคั่งที่สุดในโลกจะเทียบได้ก็แต่ Ctesiphon ของซาสซานียะห์และแบกแดดของอับบาซียะห์ ที่จำนวนประชากรประมาณระหว่าง 300,000 ถึง 400,000 คนเพราะจักรพรรดิใช้วิธีต่างๆ ในการควบคุมจำนวนประชากรของเมืองหลวง ขณะนั้นเมืองคริสเตียนใหญ่อื่นๆ ก็มีแต่โรม (ประชากร 50,000 คน) และ ซาโลนิคา (ประชากร 30,000 คน) [17] ก่อนที่คริสต์ศตวรรษที่ 8 จะสิ้นสุดลง กฎหมายชาวนาก็เริ่มช่วยในการฟื้นฟูการเกษตรกรรมในไบแซนไทน์ เช่นทีสารานุกรมบริตานิคาฉบับ ค.ศ. 2006 กล่าวว่า “สังคมไบแซนไทน์ที่เป็นสังคมที่ใช้เท็คโนโลยีเป็นสังคมที่ก้าวหน้ากว่าสังคมร่วมสมัยในยุโรปตะวันตก การใช้เครื่องมือที่ทำด้วยเหล็กก็มีใช้กันในระดับหมู่บ้าน โรงสีที่ใช้พลังน้ำก็มีอยู่โดยทั่วไป และทุ่งนาที่ปลูกถั่วก็ผลิตธัญญาหารที่เต็มไปด้วยโปรตีน”

แผ่นงาช้างเป็นภาพพระเยซูสวมมงกุฎให้จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 7 (ราว ค.ศ. 945)

การขึ้นครองราชย์ของราชวงศ์มาซิโดเนีย (Macedonian dynasty) ในปี ค.ศ. 867 เป็นการสิ้นสุดของสมัยของความวุ่นวายทางการเมือง และการเข้าสู่ยุคทองของจักรวรรดิ ขณะที่ขุนพลผู้มีความสามารถเช่นไนซิโฟรัส โฟคาส (Nicephorus Phocas) ทำการขยายดินแดนออกไป จักรพรรดิมาซิโดเนียเช่นลีโอเดอะไวส์ และ จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 7 ก็มีบทบาทในการส่งเสริมความเจริญทางวัฒนธรรมในคอนสแตนติโนเปิลในสมัยที่มารู้จักกันว่า “ยุคเรอเนสซองซ์มาซิโดเนีย” ประมุขผู้มีหัวก้าวหน้าของมาซิโดเนียเหยียดหยามประมุขของยุโรปตะวันตกว่าเป็นอนารยชนผู้ขาดการศึกษา และยังคงอ้างสิทธิในการปกครองของอาณาจักรตะวันตกอยู่บ้าง แม้ว่ายุโรปตะวันตกจะมีความเจริญขึ้นบ้างในรัชสมัยของชาร์เลอมาญในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 9 เมื่อพระองค์ทรงได้รับการราชาภิเษกในกรุงโรมในปี ค.ศ. 800 แต่เหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้ทำให้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านทัศนคติของประมุขของไบแซนไทน์ต่อจักรวรรดิตะวันตกแต่อย่างได และโดยทั่วไปแล้วทางตะวันออกก็มิได้ให้ความสนใจในด้านการเมืองหรือการวิวัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจของ “อนารยชนตะวันตก” เท่าใดนัก

แต่ผู้ที่มาสนใจในเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการปกครองของจักรวรรดิโรมันตะวันออกก็ได้แก่เพื่อนบ้านทางตอนเหนือของคอนสแตนติโนเปิลที่รวมทั้งสลาฟ, บัลการ์ และคาซาร์ ที่ต้องการที่จะปล้นสดมหรือแสวงหาความเจริญทางวัฒนธรรมของโรมัน การโยกย้ายของชนเจอร์มานิคลงทางใต้ก่อให้เกิดการโยกย้ายถิ่นฐานกันอย่างขนานใหญ่ของชนสลาฟผู้เข้าไปตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่ถูกทิ้งร้างของจักรวรรดิโรมัน ในคริสต์ศตวรรษที่ 7 ชนสลาฟก็เคลื่อนย้ายไปทางตะวันตกทางแม่น้ำเอลเบ, ทางใต้ในบริเวณแม่น้ำดานูบ และทางตะวันออกในบริเวณแม่น้ำนีพเพอร์ เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 9 ชนสลาฟก็ขยายตัวไปยังบริเวณที่ไม่ค่อยมีผู้อยู่อาศัยทางใต้และตะวันออกของพรมแดนธรรมชาติและผสมกลมกลืนไปกับชนท้องถิ่นที่รวมทั้งอิลลิเรีย (Illyrian) and ฟินโน-อูกริค (Finno-Ugric)

ใกล้เคียง

ต้นสมัยกลาง ต้นสมอไทย ต้นไม้ตัดสินใจ ต้นไม้ของพ่อ ต้นไม้แบบที ต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่ว ต้นไม้ (ทฤษฎีกราฟ) ต้นไม้เงินต้นไม้ทอง ต้นไม้ (โครงสร้างข้อมูล) ต้นไม้แดงดำ

แหล่งที่มา

WikiPedia: ต้นสมัยกลาง http://home.vicnet.net.au/~ozideas/poprus.htm http://calendar.dir.bg/inner.php?d=16&month=2&year... http://www.programata.bg/?p=62&c=1&id=51493&l=2 http://geography.about.com/library/weekly/aa011201... http://www.absoluteastronomy.com/topics/Rome http://www.britannica.com/eb/article-9239 http://www.britannica.com/ebi/article-207743 http://www.livescience.com/history/080623-hs-small... http://www.speedylook.com/Bulgaria.html http://www.unrv.com/empire/roman-population.php