สถานที่สำคัญและการท่องเที่ยว ของ ที่สูงแคเมอรอน

ช่วงยุคอาณานิคม "คาเมรอน" เป็นที่พำนักสำหรับคนที่คิดถึงบ้าน แต่ในปัจจุบันคาเมรอนเป็นที่หยุดพักสำหรับผู้ที่หนีความร้อนบนพื้นราบแทน ในปีต่อมา เมืองที่นี่พัฒนาหลายอย่างจนสถานที่สำคัญบางแห่งรอเวลาที่จะให้ท่านมาทดลอง

สถานีเกษตรทดลอง (MARDI)

สถานีเกษตรทดลอง สร้างเมื่อปี 1925 ปลูกพืชหลายพันธุ์ซึ่งเติบโตที่เทเบิ้ลแลนด์

All Souls' Church

จากการเริ่มต้น ศึกษาจนดำเนินการปลูกพืชซินโคนา(ซัคซิรูบรา และ เรดจีเรียนา) ชา(แดนกรี, ดอนจัน,ราชกรู,ชารารี อัสสัม,อามัวกูริ และดรูทรี) กาแฟ(มายซอ ที่หลายหลาย) ส้ม มะนาว ส้มโอ ต้นมะเขือ ฝรั่ง สตอเบอรรี่ และต้นหญ้า 3 สายพันธุ์ (ออสเตรเลีย บลู คอท, หญ้าพรมแดง, หญ้ากวีเนีย) ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าบริเวณที่สูงเป็นที่เหมาะสมสำหรับการปลูกชาจึงทำให้อังกฤษเร่งพัฒนาพื้นที่แห่งนี้

ในปี 1971 สถานีทดลองเกษตรนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันวิจัยและพัฒนาเกษตรกรรมแห่งชาติมาเลเซีย(MARDI) ในปัจจุบันนี้ยังคงดำเนินการวิจัยพืชพันธุ์หลายชนิดเพื่อที่จะนำมาปลูกที่เขตนี้

โบสถ์รวมจิตวิญญาณ

ตั้งอยู่ใน ทาแมน ซีเดีย, เขตทานะ ราตะ โบสถ์อังกฤษเล็กๆ บนที่ราบสูง เป็นที่รู้จักโดยสมาชิกยุคแรกของการชุมนุมในฐานะโบสถ์คาเมรอน ไฮแลนด์

ประวัติศาสตร์การสร้างโบสถ์ ต้องย้อนกลับไปในปี 1950 เมื่อต้องมีบริการทั้งที่โรงแรมคาเมรอน ไฮแลนด์(ปัจจุบันคือ รีสอร์ทคาเมรอน ไฮแลนด์) หรือที่โรงเรียน

Location map of All Souls’ Church.

ในปี 1958 โบสถ์ได้รับที่ดินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนเดิม แปลนโครงสร้าง,ซึ่งเป็นเจ้าของโดยมิสแอนเน่ กรีฟิท-โจนส์(1890-1973), ได้ถูกโอนไปให้ ดิโอซีส(โบสถ์ภายใต้การกำกับดูแลของบิชอบ)ผู้ที่เข้าใจในการสร้างโบสถ์ เพื่อให้โบสถ์ได้สร้างต่อ กองทัพอังกฤษได้บริจาคเงินรวมกัน RM$1,000 ให้กับโบสถ์ ต่อจากนั้น พวกเขาได้รื้อถอนกระท่อมนิสสัน ซึ่งได้นำมาเป็นโครงสร้างหลังคาโบสถ์จนถึงทุกวันนี้

Miss Anne Griffith-Jones, OBE (1890-1973). Photo credit: Tanglin Trust School.

การก่อสร้างโบสถ์เริ่มต้นในปี 1958 และเสร็จในปีเดียวกัน ได้มีการตั้งชื่อโบสถ์ว่า "โบสถ์รวมจิตวิญญาณ" และทำพิธีเสกโบสถ์ในวันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 1959 โดย The Right Rev. Bishop H. W. Baines, บิชอบแห่งสิงคโปร์และมาลายา เป็นผู้ทำพิธี

บารา ฮอลิเดย์ ชาเลต (เดิมคือ โรงเรียนประจำแทงลิน)

โรงแรมเล็กๆแห่งนี้ เป็นหนึ่งในตึกที่เก่าแก่ที่สุดในรีสอร์ท ถูกสร้างขึ้นในปี 1935 ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นโรงเรียนประจำแทงลิน ผู้ก่อตั้ง คือ มิสแอนเน่ กรีฟิท-โจนส์ โรงเรียนเริ่มต้นด้วยน้กเรียนน้อยกว่า 20 คนโดยใช้หลักสูตรการศึกษาแบบอังกฤษ

Tanglin Boarding School: Miss Anne Griffith-Jones (back row, fifth from left) with her staff and pupils outside the school's main building (c. 1930s). Photo credit: Tanglin Trust School.

โรงเรียนยังคงดำเนินกิจการต่อไปจนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากสงคราม ได้เริ่มเปิดอีกครั้งแต่ทหารติดอาวุธคุมไว้ และถูกปิดในปี 1948 ตามแผนฉุกเฉินมาลายัน

GOTHIC OR TUDOR?The buildings (at the Cameron Highlands) were similar to those of Simla, the “Queen of British hill resorts” in India, and were an eclectic mixture from “railway Gothic of the most overpowering kind to publican’s Tudor".

Malaysia: A Pictorial History 1400 - 2004, page 185[9]

คาเมรอน ไฮแลนด์ กอล์ฟ คลับ

เริ่มต้นจากสนามกอล์ฟ 6 หลุมในปี 1935 ในวันแรกสโมสรได้รับการอุปถัมภ์อย่างมั่นคั่ง แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาหลังจากพบรอยเท้าเสือที่หลุมหลบภัย!

ทุกวันนี้ คลับนั้นแตกต่างจากที่เคยเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และนำไปสู่การเปลี่ยนชื่อ ปัจจุบันเป็นสนามกอล์ฟเคแลบของสุลต่านอัลมัส ซาฮา(SAS) คาเมรอน ไฮแลนด์

โรงเรียนชีฝู

โรงเรียนชีฟู เปิดเป็นครั้งแรกที่จีนเมื่อปี 1881 และได้ย้ายไปที่คาเมรอน ไฮแลนด์ในปี 1952 ในเบื้องต้นมีฟังก์ชันเดียวกับโรงเรียนประจำจากเรือนไม้ชั้นเดียวของสมาคมมิชชันนารีต่างประเทศ ในปี 1960 ถูกย้ายไปพื้นที่ขนาด 2 เฮคเตอร์ไปที่ถนนสุลต่าน อาบู บาก้า และโรงเรียนยังคงอยู่ที่นี่มาถึง 40 ปี

Cluny lodge (Singapore House).

ในเดือนมิถุนายน 2001 โรงเรียนได้ปิดไปเนื่องจากการบริโภคที่ลดลงของนักเรียน ในปีต่อมาที่ดินได้ถูกขายให้คริสตจักรเมดทอดิสในมาเลเซีย ในปัจจุบันเป็นที่รู้จักในนาม "ศูนย์ชีฝูร้อยปีเมดทอดิส"

ครูนี่ ลอด์จ (บ้านสิงคโปร์)

แบบบ้าน 3 ชั้นถูกสร้างก่อนจะสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเริ่มต้นขึ้น ตั้งอยู่ที่ ทานะ ราตะ อยู่บนเนินเขาที่สามารถมองเมืองบรินชางได้ทั่ว

อาคารนี้ได้ถูกซื้อไปจากรัฐบาลสิงคโปร์ในปี 1960 ตั้งแต่นั้นมา อาคารถูกนำมาใช้สำหรับพนักงานส่วนบริการเมืองของสิงคโปร์ อาศัยเสมือนหนึ่งเป็นบ้านพักของพวกเขา

บ้านทะเลสาบของฟอสเตอร์

โรงแรมขนาดเล็กครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านพักของพันเอกสแตนลีย์ เจ. ฟอสเตอร์ สร้างในปี 1966 พันเอกฟอสเตอร์ใช้เวลาเกือบ 4 ปีจึงจะสร้างเสร็จ ตั้งอยู่ที่ไมล์ที่ 30 ของเขตริงเลต, บ้านทะเลสาบตั้งอยู่บนเนินเขาที่เห็นทะเลสาบสุลต่าน อาบู บาก้า ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับการขนานนามว่า "หุบเขาแห่งฤดูใบไม้ผลิ" สร้างขึ้นด้วยมีป่าเขียวชอุ่มเป็นพื้นหลัง

ธนาคาร HSBC เบอร์แฮช มาเลเซีย

ก่อนหน้านี้ คือ ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ แบงค์กิ้ง คอร์ปอเรชั่น, แบงค์ HSBC เป็นสถาบันการเงินแห่งแรกที่ให้บริการที่คาเมรอน ไฮแลนด์

Lutheran Mission bungalow: Prior to his disappearance from the Cameron Highlands, Jim Thompson was seen at this cottage at about 4pm. After taking a look at the garden, he left the place.

ในปี 1945 บริการธนาคารได้ให้บริการที่โรงแรมคาเมรอน ไฮแลนด์(ปัจจุบัน คือ รีสอร์ทคาเมรอน ไฮแลนด์) ต่อมา ได้ย้านไปที่โรงพยาบาลทหารของอังกฤษ (ปัจจุบัน คือ S.K. Convent) ในปี 1947 ได้ย้ายไปที่ถนนหลักที่ทานะ ราตะ และยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้

ถนนกามุนติง (จารัน กามุนติง)

มีบ้าน 5 หลังตั้งอยู่บนทางเดินหลักบนถนนกามุนติง(ภาษามลายู: จารัน กามุนติง) มีทั้งหมดดังนี้ บัลกะโล"มูนไลท์"(A47), แมนชั่น"ซันไลท์"(A46), "ยูนิต A43", "ลี วิลล่า"(A44) และลูเทอแรน มิชชั่น โฮม(A45)

เขตที่อยู่ในข่าวเมื่อจิม ทอมส์สันหายตัวไปจากคาเมรอน ไฮแลนด์ในวันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม 1967 มีคนมากกว่า 500 คนมาที่นี่เพื่อหาเขา มีทั้งตำรวจ ทหาร นักเดินป่าชาวโอแรง แอสลี, กรูสแอช-ทหารที่มาจากประเทศเอเซียใต้ของเนปาล, นักท่องเที่ยว ผู้อาศัยบริเวณนั้น, สื่อ, ลูกเสือ, มิชชันนารี, นักเรียนโรงเรียนอเมริกัน, สมาชิกของสโมสรนักผจญภัยรัฐเปรัก และเจ้าหน้าซ่อมบำรุงชาวอังกฤษที่มาพักฟื้น ณ สถานที่พักฟื้น หลังจากการค้นหาในบริเวณนั้นหลายวัน ก็ยังหาตัวทอมส์สันไม่พบ

บังกะโลลูเทอแรน มิชชั่น

คฤหาสน์นี้ได้สร้างขึ้นก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยขนส่งไกลมาจนสุดทางที่ถนนกามุนทิง (ภาษามลายู: จารัน กามุนติง) สถานที่นี้ถูกพาดหัวข่าวเมื่อจิม ทอมส์สันหายตัวไปจากย่านที่ใกล้เคียงเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม 1967

"Moonlight" bungalow: Jim Thompson stayed here on three occasions. On his last visit to the Highlands, he left the บังกะโล at 1.30pm.[10][11] He failed to return before 6pm.

ตำรวจแจ้งว่าเขาหยุดอยู่บริเวณนี้ตอนประมาณ 4 โมงเย็น ขณะนั้นเขาอยู่ในกระท่อมและเขาไม่ได้พูดกับใครเลย หลังจากเขาเดินดูที่สวนและออกจากที่นั่น ต่อมา เขาก็ถูกประกาศเป็นบุคคลสูญหาย

บังกะโลมูนไลท์

ตั้งอยู่ที่ A47 ถนนกามุนติง (ภาษามลายู: จารัน กามุนติง) บ้านสไตล์เลียนแบบทิวดอร์ยังคงเป็นภาพวาดที่น่าสนใจของหลายๆคนที่ต้องการรู้เกี่ยวกับการหายตัวไปของจิม ทอมส์สัน

บ้านที่สร้างก่อนสงครามในปี 1933 โดย Société Française des Mines d’Étain de Takka, บริษัทเหมืองแร่ฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่ โกเปง, เปรัก ช่วงแผนฉุกเฉินมาลายัน(1948-1960) ได้เปลี่ยนชื่อจาก "French Tekka" บังกะโลมาเป็น "มูนไลท์" บังกะโล. หลังจากแผนฉุกเฉิน ที่ดินผืนนี้ถูกขายให้กับ ลิงก์ ต่อมาได้กลายเป็นทรัพย์สินของนักกฎหมายเมืองอีโปะฮ์

THE DISAPPEARANCE OF JIM THOMPSON

Jim Thompson came to the Cameron Highlands with Mrs. Constance (Connie) Mangskau on Friday, March 24, 1967. They stayed at "Moonlight" bungalow with Dr. Ling Tien Gi, a Singaporean-Chinese chemist and Mrs. Helen Ling, his Caucasian American-born wife.

On Easter Sunday, March 26, they attended the morning services at All Souls' Church. After church, they returned to their บังกะโล.

At 1.30pm,[12] Thompson went for a walk but failed to return before 6pm.

SOLVED! (2nd ed.), pages 21 - 23[13]

หลายปีต่อมา เจ้าของบังกะโลแห่งนี้ได้เปลี่ยนเจ้าของไปหลายคน ก่อนที่จะถึงจะเข้าคนปัจจุบัน ได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่ "มูนไลท์" เจ้าของเป็นนักธุรกิจชาวจีน ที่ได้ย้ายถิ่นฐานมาจากกัวลาลัมเปอร์ ต่อมาได้ถูกครอบครองโดยชาวผิวขาวและขายต่อให้กับนักการโรงแรม ปัจจุบันนี้ บ้านหลังนี้มีมูลค่ามากกว่าหลายล้านดอลล่าร์สหรัฐ และบ้านหลังนี้มักจะถูกเรียกว่า กระท่อมจิม ทอมส์สัน

บังกะโลสมาคมมิชชันนารีต่างประเทศ(OMF)

กระท่อมนี้ถูกสร้างเมือปี 1933 มีที่พักรับรองเตรียมไว้ให้สำหรับชาวคริสเตียน ผู้ศึกษาพระธรรมที่เกี่ยวคำสอนของพระเยซู จากปี 1952 ถึงปี 1960 ที่นี่ใช้เป็นมหาวิทยาลัยสำหรับศิษย์เก่าโรงเรียนชีฝู หลังจากนั้นที่นี่ก็กลายเป็นสถานที่รวมชาวคริสเตียนไว้สำหรับทำกิจกรรมในโบสถ์ร่วมกัน

โรงเรียนประจำนอร์ท ดัมส์ (S.K. คอนแวนต์)

โรงเรียนคอนแวต์ระดับประถมศึ่กษาครั้งหนึ่งเคยเป็นโรงเรียนประจำสำหรับกลุ่มนักเรียนต่างชาติ โดยมีประวัติย้อนไปตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียนบนเนินเขาครั้งแรก

TRIBUTE TO NATHANHis Lordship (H.E Monseigneur Adrian Pierre Devals) would also like to express his thanks to all those who had contributed in any way to the progress of the school, to the past and present Government Officials who had helped to realise the scheme, to Mr. P.L.M. Nathan, the architect and structural engineer, who had done such wonderful work on the building.

Speech made at opening of S.K. Convent.[14]

ในช่วงปลายปี 1920 บิชอบแห่งมะละกา,H.E. Monsignor Émile Barillon, ได้เขียนหนังสือไปถึงรัฐบาลอังกฤษเพื่อหาทุนในการซื้อที่ดินสำหรับเลือกตั้ง วัตถุประสงค์ของเขาเพื่อการดูแลสถานที่คาทอลิก ที่ประกอบด้วย พระอาราม, คอนแวนต์(โรงเรียนประจำนอร์ท ดัมส์), สถานพักฟื้น(บ้านคุณพ่อบาทหลวง) และโบสถ์ คำขอของเขาได้รับอนุญาตโดยมีโรงเรียนประจำยุโรปรวมเข้าไปในแผนด้วย

การก่อสร้างโรงเรียนประจำนอร์ท ดัมส์ เริ่มต้นเมื่อปี 1929 แม้ว่าจะมีความยากหลายอย่างแต่ก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1934 H.E. Monseigneur Adrian Pierre Devals ทรงอวยพรให้รากฐานที่นี่แข็งแรงในวันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 1934 มีการเฉลิมฉลองครั้งแรกในวันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม 1935 The Hon. Mr. C. C. Brown, ผู้อาศัยชาวอังกฤษในรัฐปะหังได้เปิดคอลเพล็กซ์อย่างเป็นทางการในวันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 1935 หลังจากนั้นโรงเรียนก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ภายใน 3 เดือน นักเรียนเพิ่มขึ้นจาก 18 คนเป็น 70 คน ในปี 1940 มีนักเรียนมากกว่า 240 คน อย่างไรก็ตามเมื่อยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 (1941-1945) ชาวญี่ปุ่นก็ได้เปลี่ยนคอมเพล็กซ์มาเป็นโรงพยาบาล

หลังจากสงคราม โรงเรียนได้เปิดใหม่อีกครั้งแต่มีฟังก์ชันพิ่มขึ้นจากกระท่อมและมีส่วนอื่นประกอบด้วย. อังกฤษยังคงใช้ที่นี่เป็นโรงพยาบาลซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อว่า โรงพยาบาลทหารอังกฤษซึ่งถูกเช่ามาจากโบสถ์ที่เคยทำหน้าที่เป็นสถานพยาบาลให้แก่ทหารของกองทัพอังกฤษ

Sunlight bungalow: The unit is located at A46 Kamunting Road (Malay: Jalan Kamunting). It is about 50 meters from "Moonlight" bungalow.

เมื่ออังกฤษถอนฐานทัพไปเมื่อปี 1971 อาคารสไตล์กอธิค ก็กลับกลายมาเป็นชุมชุมชาวคาทอลิก และได้ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็น "Sekolah Rendah Kebangsaan (S.K. Convent)"

บังกะโลซันไลท์

คฤหาสน์สองชั้น ถูกนำมาใช้เพียงครั้งเดียวเป็นบ้านของพนักงานบริษัทอังกฤษ ใช้เป็นที่อยู่อาศัยก่อนสงครามห่าง 50 เมตร(160 ฟุต)จากบังกะโลมูนไลท์ ห่างประมาณ 3 กิโลเมตรจากบรินชางหรือประมาณ 5 กิโลเมตรจากทานา ราตะ

ในปี 1967 วิลล่าถูกสร้างขึ้นจากข่าวเมื่อจิม ทอมส์สัน หายตัวไปอย่างลึกลับจากคาเมรอน ไฮแลนด์ บ้านของเขาได้รับการเข้าชมโดยนักค้นหาให้คะแนน ใช้เวลาหลายวันเพื่อสำรวจที่ดินรกร้างหลังบังกะโลนี้เพื่อตรวจสอบอย่างระวัง หลังจากสิ้นสุดการค้นหา ก็ยังไม่พบร่องรอยของทอมส์สันอยู่ดี

ไปรษณีย์ทานะ ราตะ

Tanah Rate Post Office (c. 1950s). Photo credit: Time Tunnel museum.

ไปรษณีย์ทานะ ราตะได้เปิดอย่างเป็นทางการโดยทันกุ อับดุล รามาล หัวหน้าคณะรัฐมนตรีในวันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน 1956 ตั้งอยู่บริเวณถนนสายหลัก (ภาษามลายู: จารัน เบซาร์) ไปรษณีย์นี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ที่ในบริเวณนี้ที่บริการลูกค้าด้วยบริการ “Poste restante” ซึ่งเป็นบริการรับฝากจดหมายจนกว่าลูกค้าจะโทรเรียก ใช้สำหรับกรณีที่ลูกค้าไปที่อื่นไม่ได้อยู่ที่บ้านของตนเอง

โรงแรม เย โอล์ด สโมคเฮ้าส์

สร้างโดยนายวิลเลี่ยม เจ. วาริน ในปี 1939 เป็นโรงแรมเลียนแบบสไตล์ทูดอร์ มีชื่อเสียงสำหรับงานเฉลิมฉลองทุกประเภทของอังกฤษ

โรงแรมแห่งนี้เป็นโมเดลที่ตั้งชื่อเลียนแบบชื่อคนอื่น,สโมคเฮ้าส์ในเบค โรล, มิลเดลฮอล์,ประเทศอังกฤษ, สหราชอาณาจักรอังกฤษ การตกแต่งภายในเพื่อระลึกถึงแบบบ้านในประเทศอังกฤษที่มีเตาไฟแบบเปิดและมีกำแพงไม้ฉลุ ส่วนภายนอก ภูมิทัศน์เป็นแบบสวนอังกฤษ

สถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่สามารถมองเห็นสนามกอล์ฟสุลต่าน อัลมัส ซาฮาบนถนนทางแยกทานา ราตะ-บรินชาง ซึ่งยังคงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นนิยมและมักจะเป็นที่รวมตัวกันเพื่อจิบน้ำชายามบ่ายและชมวิวทิวทัศน์

ใกล้เคียง

ที่สูงแคเมอรอน ที่สูงตอนกลาง (เวียดนาม) ที่สูงอาร์มีเนีย ที่สูง ที่สุดในประเทศไทย ที่สุดในโลก ที่สุดของหัวใจ (รายการโทรทัศน์) ที่สุดของแจ้ ที่สุดในสามโลก ที่สุดในโลก (เพลงอินสติงต์)

แหล่งที่มา

WikiPedia: ที่สูงแคเมอรอน http://silk-king-jim-thompson.blogspot.com/ http://www.cameron-highlands.com/ http://cameronhighlands.com/ http://travel.cnn.com/malaysia-travel-cameron-high... http://www.malaysia-chronicle.com/index.php?option... http://www.themalaymailonline.com/malaysia/article... http://www.themalaysianinsider.com/malaysia/articl... http://www.weather-forecast.com/locations/Cameron-... http://www.youtube.com/watch?v=0S5KBKUvloA //lccn.loc.gov/2009944204