เรื่องย่อ ของ นักเป่าปี่แห่งฮาเมิลน์

ในปี ค.ศ. 1284 ขณะที่เมืองฮาเมิลน์กำลังถูกฝูงหนูรังควาน มีนักเป่าปี่สวมชุดหลายสีอ้างตนเป็นนักจับหนูเสนอจะแก้ปัญหาให้กับนายกเทศมนตรี นายกเทศมนตรีจึงสัญญาจะจ่ายค่าจ้างเป็นเงิน 1,000 กิลเดอร์ นักเป่าปี่ตกลงและเริ่มเป่าปี่ของตน ล่อหนูทั้งหมดให้ลงไปจมน้ำตายในแม่น้ำเวเซอร์[5]

แม้นักเป่าปี่จะทำสำเร็จ แต่นายกเทศมนตรีกลับปฏิเสธที่จะจ่ายค่าจ้างเต็มจำนวน (บางแหล่งระบุว่าค่าจ้างลดเหลือ 50 กิลเดอร์) ยิ่งไปกว่านั้นยังกล่าวหานักเป่าปี่ว่าเขาเองเป็นคนนำหนูเข้ามาเพื่อกรรโชกทรัพย์ นักเป่าปี่โกรธจัดแล้วประกาศจะแก้แค้นก่อนจะออกจากเมืองไป ต่อมาในวันนักบุญยอห์นและเปาโลที่ผู้ใหญ่อยู่ในโบสถ์ นักเป่าปี่กลับมาในชุดสีเขียวแบบนักล่าและเริ่มเป่าปี่อีกครั้ง คราวนี้ล่อให้เด็ก 130 คนออกจากเมืองไปพร้อมกับเขาก่อนจะหายเข้าไปในถ้ำและไม่มีใครพบเห็นทั้งหมดอีกเลย

เรื่องราวหลังจากนี้แตกต่างไปตามแต่ละฉบับ ฉบับหนึ่งบรรยายว่ามีเด็กรอดชีวิต 3 คนคือเด็กขาเสีย เด็กหูหนวกและเด็กตาบอด ซึ่งเด็กเหล่านี้เล่าให้ชาวเมืองฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้น[5] ฉบับหนึ่งระบุว่านักเป่าปี่นำเด็กไปยังเนินเขาคอพเพิลแบร์ก[6] ภูเขาคอพเพิลแบร์ก[7] หรือทรานซิลเวเนีย ฉบับหนึ่งเล่าว่านักเป่าปี่พาเด็กลงไปในแม่น้ำเวเซอร์ก่อนจะจมน้ำตายทั้งหมดเหมือนเช่นฝูงหนู บางฉบับกล่าวว่านักเป่าปี่ส่งตัวเด็กกลับบ้านหลังได้รับค่าจ้างในที่สุด[5][8]

ในเมืองฮาเมิลน์มีถนนชื่อ Bungelosenstrasse ("ถนนที่ไร้เสียงกลอง") ซึ่งเชื่อว่าเป็นสถานที่สุดท้ายที่พบเห็นเด็ก หลังจากนั้นเป็นต้นมา มีการห้ามเล่นดนตรีและเต้นรำบนถนนสายนี้[9][10]

แหล่งที่มา

WikiPedia: นักเป่าปี่แห่งฮาเมิลน์ http://www.hameln.com/tourism/piedpiper/rf_sage_gb... http://www.merriam-webster.com/dictionary/pied%20p... http://www.trivia-library.com/b/true-story-the-pie... http://pages.pedf.cuni.cz/tamara-buckova/files/201... http://www.marktkirche-hameln.de/marktkirche/kirch... http://www.museum-hameln.de/museum/rattenfaenger.p... http://www.pitt.edu/~dash/hameln.html#grimm245 //pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/14255255 //pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/326865 //doi.org/10.1016%2FS0140-6736(65)92112-4