บทความนี้ใช้ระบบคริสต์ศักราช เพราะอ้างอิงคริสต์ศักราชและคริสต์ศตวรรษ หรืออย่างใดอย่างหนึ่งราชอาณาจักรสยาม หรือ
ประเทศไทยในปัจจุบัน เป็นประเทศหนึ่งที่เข้าร่วม
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยส่งกำลังพลไปช่วย
ฝ่ายสัมพันธมิตรรบกับ
ฝ่ายมหาอำนาจกลางที่
แนวรบด้านตะวันตกใน
ประเทศฝรั่งเศส สงครามโลกครั้งที่หนึ่งถึงแม้จะไม่มีผลกระทบต่อภายในสยามมากนัก แต่การตัดสินใจเข้าร่วมสงครามก็เป็นหนึ่งในความสำเร็จของสยามที่ทำให้นานาประเทศในยุโรปยอมรับสยามมากขึ้น ส่วนหนึ่งก็มาจากการเสียดินแดนให้กับประเทศยุโรปในสมัยของ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การเสียดินแดน,
ลัทธิชาตินิยม และแสนยนิยมของประเทศอื่น ๆ ในเอเชียอย่างจีนและญี่ปุ่นก็เป็นปัจจัยหลักผลักดันทำให้สยามเข้าร่วมสงครามสยามเริ่มมีบทบาทในสงครามหลังจากที่
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริให้สยามประกาศสงครามกับ
จักรวรรดิเยอรมันและ
จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี สยามส่งกองกำลังทหารไปร่วมรบกับฝ่ายสัมพันธมิตรที่แนวหน้าตะวันตกโดยทั้งหมดประจำการอยู่ที่
ประเทศฝรั่งเศส กองทัพสยามที่ถูกส่งไปมีจำนวนทหารประจำการอยู่ทั้งหมด 1,248 นาย สยามเข้าร่วมสงครามในวันที่ 22 กรกฎาคม 1917 และส่งทหารไปร่วมรบในกลางเดือนกันยายนของปีเดียวกัน กองทัพสยามที่ถูกส่งไปได้ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี พวกเขามีความสามารถในด้านการซุ่มโจมตีเนื่องจากมีกำลังพลที่ค่อนข้างน้อยแต่ก็เรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพสูงตามความเห็นของทหารสัมพันธมิตรชาติอื่น ๆ
[1] หลังจากที่ฝ่ายสัมพันธมิตรและจักรวรรดิเยอรมันลงนามสงบศึกกันในวันที่
11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 กองทัพสยามก็เข้าร่วมการยึดครอง
ดินแดนไรน์ สยามทำการเข้ายึดครองเมืองนอยสตัท อัน เดอ ไวน์สตาเซอ (Neustadt an der Weinstraße)ในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สยามมีความสัมพันธ์อันดีกับทั้งฝ่ายเยอรมันและฝ่ายสัมพันธมิตร ธุรกิจของเยอรมันในสยามเฟื่องฟูทำปริมาณต่อปีได้ 22 ล้านมาร์คทองในช่วงก่อนสงคราม นอกจากนี้ยังมีชาวเยอรมันรับราชการในรัฐบาลสยาม แต่ในขณะเดียวกันพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ เช่น
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ และ
สมเด็จพระเชษฐาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถทรงโปรดฝ่าย
ไตรภาคี[2] อีกทั้ง
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงศึกษาวิชา ณ ประเทศอังกฤษ ทำให้เกิดความเห็นต่างกันในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์ สยามดำรงนโยบายเป็นกลางอย่างเคร่งครัดมาตลอด 3 ปีของสงคราม ก่อนจะเริ่มโอนเอนเมื่อทราบรายงานว่าฝ่ายเยอรมันมีส่วนในการปลุกปั่นชาวอินเดียในสยามให้กระด้างกระเดื่องต่อจักรวรรดิอังกฤษ บวกกับการดำเนินการสงครามเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดขอบเขตของฝ่ายเยอรมันที่โจมตีเรือโดยไม่ประกาศล่วงหน้า ส่งผลให้เรือ
อาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย อับปาง เป็นสาเหตุให้
สหรัฐเข้าร่วมสงคราม รวมถึงความประสงค์ของสยามที่จะแก้ไขสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมที่ทำไว้กับชาติอื่น
[3] วันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1917 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงประกาศสงครามต่อฝ่ายมหาอำนาจกลาง สั่งจับกุมพลเมืองชาวเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการีในราชอาณาจักร และยึดทรัพย์สินและเรือที่เทียบท่า
[4] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1917มีการจัดตั้ง
กองทหารอาสาสยามที่ประกอบด้วยหน่วยขนส่งยานยนต์ บุคลากรทางการแพทย์ และกองบิน จำนวน 1,284 นาย
[5] ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1918 กองทหารอาสาสยามเดินทางถึง
มาร์แซย์ โดยกองบินถูกส่งไปฝึกที่เมือง
อิสตร์ ส่วนหน่วยขนส่งยานยนต์ถูกส่งไปฝึกที่เมือง
ลียง[6] หน่วยขนส่งยานยนต์มีส่วนในการส่งกำลังพล ยุทธภัณฑ์และเสบียงใน
การรุกเมิซ–อาร์กงทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส และภายหลังได้รับเหรียญครัวซ์เดอแกร์และ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีจากความชอบนี้
[7] ขณะที่กองบินยังอยู่ในช่วงฝึกซ้อมเมื่อมีการลงนาม
สงบศึกในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918หลังสงคราม สยามเป็นประเทศหนึ่งที่เข้าร่วม
การประชุมสันติภาพปารีส ค.ศ. 1919 และเป็นหนึ่งในสมาชิกก่อตั้ง
สันนิบาตชาติ มีโอกาสแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับเยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐ ด้านกองทหารอาสาสยามเสียกำลังพล 19 นาย ซึ่งอัฐิถูกบรรจุที่
อนุสาวรีย์ทหารอาสา นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังโปรดให้สร้าง
วงเวียน 22 กรกฎาคม เพื่อระลึกถึงการเข้าร่วมสงคราม
[8]