บทความนี้ใช้ระบบคริสต์ศักราช เพราะอ้างอิงคริสต์ศักราชและคริสต์ศตวรรษ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง
พระวิหารในกรุงเยรูซาเลม[1] (
อังกฤษ: Temple in Jerusalem) หรือ
พระวิหารศักดิ์สิทธิ์ (Holy Temple;
ฮีบรู: בית המקדש (Bet HaMikdash = The Holy House)) หมายถึงพระวิหารที่สร้างต่อเนื่องกันมาบน
เนินพระวิหารในตัวเมืองเก่า
เยรูซาเลม ตามประวัติศาสตร์แล้วตำแหน่งนี้มีการก่อสร้างพระวิหารมาแล้วสองหลัง พระวิหารหลังต่อไปที่ยังไม่ได้สร้างถูกเรียกว่า
พระวิหารที่สาม ซึ่งเชื่อว่าจะถูกสร้างขึ้นในอนาคตตามความเชื่อโบราณของ
ศาสนายูดาห์ พระวิหารหรือ
เนินพระวิหารเป็นอุปมาของสถานที่ของพระเจ้า (Shechina) บนโลกมนุษย์ โดยสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมแบบฟินิเชียน
คัมภีร์ฮีบรูระบุว่าพระเจ้า
ซาโลมอน (ปกครองระหว่าง 971 - 931 ก่อน ค.ศ.)
[2]โปรดให้สร้าง
พระวิหารแรก (First Temple) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของศาสนายูดาห์ตามบทบันทึกคัมภีร์ฮีบรู
[3] เป็นที่เดียวที่เป็นที่ใช้ใน
การนมัสการ ตัวอาคารพระวิหารสร้างแทนพระวิหารศักดิ์สิทธิ์เดิมที่มีแท่นบูชาที่สร้างหยาบ ๆ บนเนิน
[4] “พระวิหารแรก” ถูกทำลายโดยพวก
บาบิโลน เมื่อ 587 ก่อนคริสต์ศักราชเมื่อบาบิโลนเข้าปล้นสดมภ์ทำลายกรุงเยรูซาเลม การสร้างพระวิหารใหม่เริ่มขึ้นเมื่อปี 537 ก่อนคริสต์ศักราชแต่หยุดชะงักไปและมาเริ่มใหม่เมื่อปี 520 ก่อนคริสต์ศักราช และเสร็จเมื่อปี 516 ก่อนคริสต์ศักราช และสถาปนาในปี 515 ก่อนคริสต์ศักราช
หนังสือเอสรากล่าวว่าการสร้างพระวิหารเป็นคำสั่งของ
พระเจ้าไซรัสมหาราชและอนุมัติโดยพระเจ้า
ดาไรอัสมหาราช ห้าร้อยปีต่อมา
พระเจ้าเฮโรดมหาราชก็โปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์
พระวิหารที่สองราว 20 ปีก่อนคริสต์ศักราช จึงรู้จักกันในชื่อ
พระวิหารของเฮโรด ต่อมาก็ถูกทำลายโดย
โรมัน ในปี ค.ศ. 70 ระหว่าง
การล้อมเมืองเยรูซาเลม แต่กำแพงรอบนอกที่เห็นอยู่ทุกวันนี้มิได้ถูกทำลาย และเชื่อกันอยู่เป็นเวลานานว่า
กำแพงตะวันตกเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 7 เป็นต้นมาเนินพระวิหารก็เป็นที่ตั้งของ
โดมแห่งศิลา (Dome of the Rock) และ
มัสยิดอัล-อักศอสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของ
ศาสนาอิสลามจากสมัยใกล้เคียงกันอวสานวิทยาศาสนายูดาห์ทำนายการก่อตั้งพระวิหารที่สามในเยรูซาเลมพร้อมกับการมาของพระ
เมสสิยาห์ ฉะนั้นผู้ที่นับถือศาสนายูดาห์นิกายออร์โธด็อกซ์และคอนเซอร์เวทีฟมีความเชื่อในการสร้าง “พระวิหารที่สาม” ที่จะเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 2007 ก็มีการพบส่วนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นส่วนเหลือจากพระวิหารที่สองระหว่างการติดตั้งท่อในบริเวณนั้น
[5] ต่อมาในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนักโบราณคดีก็อ้างว่าได้พบสิ่งของที่เชื่อว่าเป็นของ “พระวิหารที่หนึ่ง”
[6]