บทความนี้ใช้ระบบคริสต์ศักราช เพราะอ้างอิงคริสต์ศักราชและคริสต์ศตวรรษ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง
พระเจ้าเฮโรดมหาราช (
อังกฤษ: Herod the Great หรือ Herod I;
ฮีบรู: הוֹרְדוֹס Horodos,
กรีก: Ἡρῴδης (Hērōdēs)) (73 - 4 ปี
ก่อนคริสต์ศักราช) เป็นพระเจ้าแผ่นดินแห่ง
มณฑลยูเดีย[1] (Iudaea Province) ของ
จักรวรรดิโรมัน เฮโรดมิได้สืบเชื้อสายมาจากชาวยิว และตอนแรกเป็นเพียงคนรับใช้
[2] [3] กล่าวกันว่าเป็น “ผู้บ้าอำนาจและฆาตกรรมครอบครัวของตนเองและ
รับบีอีกหลายคน”
[4] ยูเดียในรัชสมัยของพระองค์เจริญรุ่งเรืองและมีสิ่งก่อสร้างที่สำคัญเป็นประวัติศาสตร์มากมาย พระเจ้าเฮโรดมหาราชมักจะสับสนกับ
เฮโรด อันทิปาสที่มาจาก
ราชวงศ์เฮโรเดียน (Herodian dynasty) เดียวกัน ผู้เป็นประมุขของ
กาลิลี ระหว่างปีที่ 4
ก่อนคริสต์ศักราช จนถึง ค.ศ. 39 ในช่วงเวลาของนักบุญ
ยอห์นผู้ให้บัพติศมาและ
พระเยซู พระเจ้าเฮโรดทรงมีชื่อเสียงในงานสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ในกรุง
เยรูซาเลมและบริเวณอื่น ๆ ในดินแดนโบราณรวมทั้งการก่อสร้าง
พระวิหารหลังที่สอง (Second Temple) ในกรุงเยรูซาเลมที่บางครั้งก็เรียกว่า
พระวิหารของพระเจ้าเฮโรด พระราชประวัติของพระองค์ได้รับการกล่าวถึงบ้างในงานเขียนของ
โยเซพุส นักประวัติศาสตร์ชาวโรมัน-ยิวสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 1ใน
คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า พระเจ้าเฮโรดมีพระราชโองการให้
ประหารเด็กทุกคนในหมู่บ้าน
เบธเลเฮมเพราะทรงหวาดกลัวว่าเด็กที่เกิดใหม่จะเติบโตขึ้นมาเป็น “พระมหากษัตริย์แห่งชาวยิว” (King of the Jews) และยึดราชบัลลังก์ของพระองค์ ตามคำพยากรณ์ของแมไจตามที่บรรยายใน
พระวรสารนักบุญมัทธิว[5] แต่นักเขียนพระราชประวัติของพระเจ้าเฮโรดเมื่อไม่นานมานี้ค้านว่าเหตุการณ์
การสังหารหมู่นั้น อาจจะมิได้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์
[6]ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่สองก่อนสากลศักราช ยูเดียอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์เซเลอคิดแห่งซีเรีย ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ราชวงศ์ที่เกิดขึ้นหลังจากจักรวรรดิของอะเล็กซานเดอร์มหาราชล่มสลาย อย่างไรก็ตาม ประมาณปี 168 ก่อน ส.ศ. เมื่อกษัตริย์ของราชวงศ์เซเลอคิดพยายามจะนำเอาการนมัสการซูสเข้ามาแทนที่การนมัสการพระยะโฮวาในพระวิหารที่กรุงเยรูซาเลม ชาวยิวซึ่งนำโดยตระกูลแมกคาบีจึงก่อกบฏ พวกแมกคาบีหรือฮัสโมเนียนปกครองยูเดียในช่วงปี 142-63 ก่อน ส.ศ.ในปี 66 ก่อน ส.ศ. เจ้าชายแห่งฮัสโมเนียนสององค์คือ ฮีร์คานุสที่ 2 และอาริสโตบุลุสน้องชายได้ต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ หลังจากนั้นเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ทั้งคู่จึงไปขอความช่วยเหลือจากปอมปีย์แม่ทัพของโรมันซึ่งเวลานั้นอยู่ในซีเรีย ปอมปีย์ก็ฉวยโอกาสเข้าแทรกแซงทันทีที่จริง พวกโรมันกำลังขยายอิทธิพลไปทางตะวันออก และในเวลานั้นพวกเขายึดครองอาณาเขตส่วนใหญ่ของเอเชียไมเนอร์ได้แล้ว แต่เนื่องจากซีเรียมีผู้ปกครองที่ไม่เข้มแข็งสืบต่อกันมาหลายสมัย บ้านเมืองจึงตกอยู่ในสภาพที่ไม่มีขื่อไม่มีแปซึ่งขัดกับความพยายามของโรมที่ต้องการจะรักษาความสงบสุขในดินแดนทางตะวันออกเอาไว้ ดังนั้น ปอมปีย์จึงเข้ายึดครองซีเรียปอมปีย์แก้ปัญหาความขัดแย้งในราชวงศ์ฮัสโมเนียนด้วยการสนับสนุนฮีร์คานุส และในปี 63 ก่อน ส.ศ. พวกโรมันได้บุกโจมตีเยรูซาเลมและตั้งฮีร์คานุสเป็นกษัตริย์ แต่ฮีร์คานุสไม่ได้ปกครองอย่างเอกเทศ พวกโรมันได้เข้ามาแล้วและพวกเขาจะไม่ถอนอิทธิพลออกไปจากดินแดนนี้ ฮีร์คานุสกลายเป็นผู้นำประชาชนที่ต้องปกครองภายใต้อำนาจของโรม และต้องพึ่งการสนับสนุนจากโรมเพื่อรักษาบัลลังก์เอาไว้ เขาสามารถจะบริหารจัดการเรื่องราวภายในได้ตามที่ต้องการ แต่ในเรื่องความสัมพันธ์กับชาติอื่น ๆ เขาจะต้องทำตามนโยบายของโรมฮีร์คานุสเป็นผู้ปกครองที่ไม่เข้มแข็ง แต่เขาได้รับการสนับสนุนจากอันทิพาเทอร์ชาวอิดูเมีย ซึ่งเป็นบิดาของเฮโรดมหาราช อันทิพาเทอร์เป็นผู้มีอำนาจที่ให้การช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง เขาสามารถควบคุมพวกยิวกลุ่มต่าง ๆ ที่คิดจะต่อต้านกษัตริย์ได้ และในไม่ช้าตัวเขาเองก็มีอำนาจเหนือยูเดียทั้งหมด เขาได้ช่วยจูเลียส ซีซาร์ รบกับศัตรูในอียิปต์ และพวกโรมันได้ให้รางวัลแก่อันทิพาเทอร์โดยการตั้งเขาเป็นผู้สำเร็จราชการที่ขึ้นกับโรมโดยตรง ส่วนอันทิพาเทอร์เองก็แต่งตั้งบุตรชายสองคน คือฟาเซล ให้เป็นผู้ว่าราชการเยรูซาเลมและเฮโรด ให้เป็นผู้ว่าราชการแกลิลีอันทิพาเทอร์ได้สอนลูกของตนว่าไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตามไม่อาจสำเร็จได้ถ้าปราศจากการเห็นชอบจากโรม เฮโรดก็ได้จำคำสอนนี้ไว้อย่างดี ตลอดเวลาที่อยู่ในตำแหน่ง เขาพยายามจะเอาใจโรมที่ช่วยให้เขามีอำนาจ และขณะเดียวกันก็เอาใจชาวยิวที่อยู่ใต้อำนาจตนด้วย สิ่งที่ช่วยเขาก็คือความสามารถในการบริหารและการดูแลกองทัพ เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการ เฮโรดในวัย 25 ปีก็กลายเป็นที่ชื่นชอบของทั้งชาวยิวและชาวโรมันเนื่องจากเขาได้ปราบปรามกองโจรทั้งหลายอย่างแข็งขันให้หมดไปจากเขตปกครองหลังจากอันทิพาเทอร์ถูกศัตรูวางยาพิษในปี 43 ก่อน ส.ศ. เฮโรดก็กลายมาเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในยูเดีย แต่เขาก็มีศัตรูด้วย พวกขุนนางในเยรูซาเลมถือว่าเฮโรดเป็นผู้ช่วงชิงอำนาจ และพยายามเกลี้ยกล่อมให้โรมถอดเขาออกจากตำแหน่ง ความพยายามนั้นล้มเหลว โรมยังระลึกถึงคุณความดีของอันทิพาเทอร์และชื่นชมความสามารถของเฮโรดวิธีที่ปอมปีย์แก้ปัญหาการสืบราชบัลลังก์ของฮัสโมเนียนประมาณ 20 ปีก่อนได้สร้างความขมขื่นให้กับหลายฝ่าย ฝ่ายที่สนับสนุนอาริสโตบุลุสพยายามที่จะแย่งอำนาจคืนมาหลายครั้งหลายหนแต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่แล้วในปี 40 ก่อน ส.ศ. พวกเขาก็ประสบความสำเร็จด้วยความช่วยเหลือจากชาวปาร์เทียซึ่งเป็นศัตรูของโรม ระหว่างที่เกิดความโกลาหลวุ่นวายในกรุงโรมเนื่องจากสงครามกลางเมือง พวกเขาได้ฉวยโอกาสโจมตีซีเรีย ถอดถอนฮีร์คานุส และแต่งตั้งสมาชิกของราชวงศ์ฮัสโมเนียนคนหนึ่งที่ต่อต้านโรมให้ขึ้นครองอำนาจเฮโรดหนีไปโรมและได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ชาวโรมันต้องการขับไล่พวกปาร์เทียออกไปจากยูเดียและยึดดินแดนนั้นกลับมา และตั้งผู้ปกครองที่ตนเห็นชอบ พวกเขาต้องการพันธมิตรที่ไว้ใจได้และเห็นว่าเฮโรดคือผู้ที่เหมาะสม สภาสูงของโรมจึงได้ตั้งเฮโรดเป็นกษัตริย์แห่งยูเดีย เพื่อจะรักษาอำนาจของตนไว้ เฮโรดได้ทำหลายสิ่งที่เป็นการประนีประนอมความเชื่อ สิ่งหนึ่งก็คือเขาได้นำขบวนแห่จากสภาสูงไปยังวิหารแห่งจูปีเตอร์เพื่อถวายเครื่องบูชาให้แก่เหล่าเทพเจ้านอกรีตด้วยความช่วยเหลือจากกองทหารโรมัน เฮโรดเอาชนะศัตรูในยูเดียและทวงบัลลังก์คืนมาได้ เขาแก้แค้นผู้ที่เคยต่อต้านตนอย่างโหดเหี้ยม เขากำจัดราชวงศ์ฮัสโมเนียนและเหล่าขุนนางชาวยิวที่สนับสนุนราชวงศ์นี้ รวมทั้งใครก็ตามที่ไม่พอใจจะอยู่ใต้อำนาจผู้ปกครองที่เป็นมิตรกับโรมในปี 31 ก่อน ส.ศ. เมื่อออกเตเวียสได้ชัยชนะเหนือมาร์ก แอนโทนีที่อักทิอุม และกลายเป็นผู้ปกครองที่มีอำนาจแต่ผู้เดียวของโรม เฮโรดก็กลัวว่าออกเตเวียสจะสงสัยตนเนื่องจากเคยมีมิตรภาพอันยาวนานกับมาร์ก แอนโทนี เฮโรดจึงรีบไปหาออกเตเวียสเพื่อยืนยันว่าตนยังจงรักภักดีอยู่ ผู้ปกครององค์ใหม่ของโรมก็ได้รับรองกับเฮโรดว่าเขายังเป็นกษัตริย์ของยูเดียและมอบดินแดนเพิ่มให้อีกในช่วงหลายปีหลังจากนั้น เฮโรดได้สร้างความมั่นคงให้กับอาณาจักรของตนโดยทำให้กรุงเยรูซาเลมกลายเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมกรีก เขาได้ริเริ่มโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น ราชวังหลายหลัง, เมืองท่าซีซาเรีย, และพระวิหารในกรุงเยรูซาเลมที่ประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างใหม่ ๆ ที่ใหญ่โตหรูหรา ตลอดช่วงเวลานั้น นโยบายของเฮโรดมุ่งเน้นที่การรักษาความสัมพันธ์กับโรมซึ่งเป็นขุมกำลังของตนอำนาจปกครองของเฮโรดเหนือยูเดียนั้นเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด นอกจากนี้ เฮโรดยังใช้อำนาจเหนือมหาปุโรหิตด้วย โดยแต่งตั้งผู้ที่ตนพอใจให้ดำรงตำแหน่งนี้ชีวิตส่วนตัวของเฮโรดมีแต่เรื่องวุ่นวาย ในจำนวนมเหสีสิบคนของเฮโรดมีหลายคนที่ต้องการให้บุตรชายของตนสืบบัลลังก์ต่อจากราชบิดา แผนร้ายต่าง ๆ ในราชวังทำให้เฮโรดระแวงสงสัยและทำสิ่งที่เหี้ยมโหด ด้วยความหึงหวง เขาได้สั่งประหารมาเรียมมเหสีคนโปรด และต่อมาสั่งให้รัดคอบุตรชายสองคนของนางเนื่องจากมีคนกล่าวหาว่าคบคิดแผนชั่วต่อต้านตน บันทึกในมัดธายเกี่ยวกับการสั่งฆ่าเด็กทุกคนในเบทเลเฮมจึงสอดคล้องลงรอยกับเรื่องที่ผู้คนรู้กันดีเกี่ยวกับนิสัยของเฮโรดรวมทั้งความมุ่งมั่นของเขาที่จะกำจัดทุกคนที่สงสัยว่าเป็นศัตรูบางคนบอกว่าเนื่องจากเฮโรดรู้ตัวว่าไม่เป็นที่นิยมชมชอบ เขาจึงตั้งใจจะทำให้คนทั้งชาติโศกเศร้าในการตายของตนแทนที่จะดีใจ เพื่อให้แผนการสำเร็จ เขาได้จับประชาชนระดับผู้นำของยูเดียและสั่งไว้ว่าให้ฆ่าคนเหล่านี้เมื่อมีการประกาศการตายของเขา แต่ก็ไม่ได้มีการปฏิบัติตามคำสั่งนี้เมื่อเฮโรดสิ้นพระชนม์ โรมได้แต่งตั้งอาร์คีลาอุสให้เป็นผู้ปกครองยูเดียต่อจากราชบิดา และแต่งตั้งบุตรชายอีกสองคนของเฮโรดเป็นเจ้าชายหรือเจ้าผู้ครองแคว้นที่ไม่ขึ้นกับโรม คืออันทีพัสเป็นผู้ครองแคว้นแกลิลีและพีเรีย ส่วนฟิลิปเป็นผู้ครองแคว้นอิตูเรียและทราโคนิทิส อาร์คีลาอุสไม่เป็นที่ชื่นชอบของราษฎรและของโรม หลังจากปกครองได้สิบปีโดยไม่มีผลงานที่น่าพอใจ โรมจึงปลดเขาออกจากตำแหน่งและแต่งตั้งผู้ว่าราชการของโรมเองให้ปกครอง ซึ่งก็คือผู้ที่ดำรงตำแหน่งก่อนปอนติอุสปีลาต ในระหว่างนั้น อันทีพัสซึ่งลูกาเรียกสั้น ๆ ว่าเฮโรด ยังคงปกครองแคว้นของตนต่อไปเช่นเดียวกับฟิลิป นี่เป็นสถานการณ์ทางการเมืองตอนที่พระเยซูเริ่มทำงานประกาศสั่งสอน—ลูกา 3:1