ลี้ภัย ของ พระเจ้าหลุยส์ที่_18_แห่งฝรั่งเศส

ช่วงแรก

เมื่อเคานต์แห่งพรอว็องส์เสด็จถึงกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ พระองค์ได้ประกาศตนเป็นผู้สำเร็จราชการแห่งฝรั่งเศสโดยพฤตินัย พระองค์ใช้ประโยชน์จากเอกสารที่พระองค์และพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงเขียนไว้[54] ก่อนที่จะล้มเหลวในเหตุการณ์การเสด็จสู่วาแรน เอกสารนี้ได้แต่งตั้งให้พระองค์เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในกรณีที่พระเชษฐาสวรรคตหรือไม่สามารถประกอบราชกิจในฐานะกษัตริย์ได้ พระองค์ทรงร่วมกับเจ้าชายองค์อื่น ๆ ที่เสด็จลี้ภัยที่โคเบลซ์เวลาไม่นานหลังจากที่พระองค์ทรงลี้ภัย ซึ่งรวมทั้งเคานต์แห่งอาตัวส์และเจ้าชายแห่งกงเตได้ประกาศเจตจำนงค์ที่จะบุกฝรั่งเศส พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงถูกคุกคามด้วยการกระทำของพระอนุชาอย่างมาก เคานต์แห่งพรอว็องส์ทรงส่งผู้แทนไปยังราชสำนักต่าง ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือทางการเงิน ทางการทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ เคานต์แห่งอาตัวส์ทรงได้รับปราสาทสำหรับลี้ภัยในรัฐผู้คัดเลือกเทรียร์ ซึ่งเจ้าชายคลีเมนซ์ เวนสเลาสแห่งแซกโซนี ผู้เป็นพระมาตุลา ทรงเป็นอาร์กบิชอปผู้คัดเลือกในขณะนั้น กิจกรรมของคณะผู้พลัดถิ่นก็ได้ผลเมื่อพระประมุขแห่งปรัสเซียและจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ได้มารวมตัวกันที่เดรสเดิน ได้มีการออกประกาศแห่งพิลล์นิตซ์ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1791 ซึ่งกระตุ้นให้ยุโรปเข้าไปแทรกแซงฝรั่งเศสถ้าหากพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชวงศ์ถูกคุกคาม การสนับสนุนในประกาศนี้ของเคานต์แห่งพรอว็องส์ไม่ได้รับการตอบรับในทางที่ดีนักในฝรั่งเศสทั้งจากประชาชนธรรมดาหรือแม้กระทั่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เอง[55]

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1792 สภานิติบัญญัติได้ประกาศว่าผู้พลัดถิ่นทุกคนเป็นผู้ทรยศฝรั่งเศส ทรัพย์สินและตำแหน่งของบุคคลเหล่านี้จะถูกยึด[56] สถาบันพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสถูกยกเลิกโดยสภากงว็องซียงแห่งชาติในวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1792[57]

พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงถูกตัดสินประหารชีวิตในเดือนมกราคม ค.ศ. 1793 ทำให้เจ้าชายหลุยส์ ชาร์ล พระโอรสกลายเป็นพระมหากษัตริย์เพียงในนาม เหล่าเจ้าชายผู้พลัดถิ่นได้ประกาศให้เจ้าชายหลุยส์ ชาร์ลทรงเป็น "พระเจ้าหลุยส์ที่ 17 แห่งฝรั่งเศส" ในช่วงนี้เคานต์แห่งพรอว็องส์ทรงประกาศแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่งตั้งพระองค์เองเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระราชนัดดา ซึ่งทรงพระเยาว์เกินไปในฐานะประมุขแห่งราชวงศ์บูร์บง[58]

หลุยส์ ชาร์ลสวรรคตในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1795 พระเชษฐภคินีพระองค์เดียวที่ยังทรงพระชนม์อยู่คือ เจ้าหญิงมารี-เตแรซ ซึ่งไม่ถูกพิจารณาในฐานะผู้มีสิทธิในราชบัลลังก์เพราะความยึดมั่นในกฎหมายแซลิกตามโบราณราชประเพณีฝรั่งเศส ดังนั้นในวันที่ 16 มิถุนายน เหล่าเจ้าชายผู้พลัดถิ่นได้ประกาศให้เคานต์แห่งพรอว็องส์เป็น "พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 แห่งฝรั่งเศส" พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ทรงได้รับการยอมรับหลังจากการประกาศนั้น[59] พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงร่างแถลงการณ์ตอบสนองต่อการสวรรคตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 17 แถลงการณ์นี้รู้จักกันในชื่อ "การประกาศแห่งเวโรนา" ซึ่งเป็นความพยายามของพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ในการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองของพระองค์ต่อประชาชนชาวฝรั่งเศส การประกาศแห่งเวโรนาได้เรียกร้องให้ฝรั่งเศสกลับเข้าสู่ร่มเงาของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ "ซึ่งเป็นเวลากว่าสิบสี่ศตวรรษที่รุ่งโรจน์ของฝรั่งเศส"[17]

พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงเจรจาให้ปล่อยเจ้าหญิงมารี-เตแรซออกจากที่คุมขังในปารีสในปีค.ศ. 1795 พระองค์ปรารถนาให้เจ้าหญิงเสกสมรสกับพระญาติของพระนางคือ หลุยส์ อ็องตวน ดยุกแห่งอ็องกูแลม พระโอรสในเคานต์แห่งอาตัวส์ พระเจ้าหลุยส์ทรงกล่าวเท็จต่อพระราชนัดดาโดยทรงบอกพระนางว่าความปรารถนาสุดท้ายของพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระนางคือ การให้พระนางเสกสมรสกับหลุยส์ อ็องตวน และเจ้าหญิงทรงตอบรับที่จะปฏิบัติตามความปรารถนาของพระปิตุลา[60]

พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงถูกบังคับให้เสด็จออกจากเวโรนาเมื่อนโปเลียน โบนาปาร์ตเข้ารุกรานสาธารณรัฐเวนิสในปีค.ศ. 1796[61]

ค.ศ. 1796 - 1807

พระราชวังเยลกาวา ที่ประทับของพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ตั้งแต่ค.ศ. 1798 ถึงค.ศ. 1801 และตั้งแต่ค.ศ. 1804 ถึงค.ศ. 1807

พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงพยายามเข้าแย่งชิงสิทธิในการดูแลพระราชนัดดา เจ้าหญิงมารี-เตแรซ นับตั้งแต่ที่พระนางทรงถูกปล่อยพระองค์ออกมาจากเทมเปิลทาวเวอร์ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1795 พระเจ้าหลุยส์ทรงประสบความสำเร็จเมื่อจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ตกลงที่จะสละสิทธิในการดูแลในปีค.ศ. 1796 เจ้าหญิงทรงประทับอยู่ในเวียนนาพร้อมกับพระญาติราชวงศ์ฮับส์บูร์กนับตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ. 1796[61] พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงย้ายไปประทับที่บลานเคนบูร์กในดัชชีเบราน์ชไวก์หลังจากที่ที่เสด็จออกมาจากเวโรนา พระองค์ประทับในอพาร์ทเมนต์เล็ก ๆ ขนาดสองห้องนอนบนร้านค้า[62] พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงถูกบังคับให้เสด็จออกจากบลานเคนบูร์กเมื่อพระเจ้าฟรีดริช วิลเฮล์มที่ 2 แห่งปรัสเซียสวรรคต ในช่วงเวลานี้เจ้าหญิงมารี-เตแรซทรงตัดสินพระทัยที่จะรอเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะไปประทับกับพระปิตุลา[63]

ในปีค.ศ. 1798 พระเจ้าซาร์พอลที่ 1แห่งจักรวรรดิรัสเซียได้เสนอให้พระเจ้าหลุยส์สามารถประทับที่พระราชวังเยลกาวาในคลาวแลนด์ (ปัจจุบันคือลัตเวีย) พระเจ้าซาร์พอลที่ 1 ทรงรับรองความปลอดภัยของพระเจ้าหลุยส์และทรงมอบพระราชทรัพย์ช่วยเหลืออย่างพระทัยกว้าง[62] แต่ในภายหลังพระเจ้าซาร์ก็ทรงยกเลิกการมอบพระราชทรัพย์ส่วนนี้ให้[64] เจ้าหญิงมารี-เตแรซเสด็จมาประทับร่วมกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ได้ในที่สุดที่เยลกาวาในปีค.ศ. 1799[65] ในฤดูหนาว ปีค.ศ. 1798 - 1799 พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ได้พระราชนิพนธ์พระประวัติของพระนางมารี อ็องตัวแน็ตในชื่อว่า Réflexions Historiques sur Marie Antoinette พระองค์พยายามสร้างราชสำนักแวร์ซายที่เยลกาวา ที่ซึ่งมีข้าราชบริพารเก่าแก่ร่วมอาศัยอยู่ด้วย มีการรื้อฟื้นประเพณีราชสำนักขึ้นมาอีกครั้ง รวมทั้งพิธี lever และ coucher (ประเพณีที่มาพร้อมกับการตื่นบรรทมและการเข้าบรรทมตามลำดับ) [66]

เจ้าหญิงมารี-เตแรซเสกสมรสกับหลุยส์ อ็องตวน พระญาติ ในวันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 1799 ที่พระราชวังเยลกาวา พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงมีพระบัญชาให้พระมเหสีเข้าร่วมพิธีเสกสมรสในคลาวแลนด์โดยไม่มีพระสหายสนิทอย่างยาวนานของพระนาง (และเล่าลือกันว่าเป็นคู่รักของพระนาง) คือ มาร์เกอริต เดอ โกบิยง สมเด็จพระราชินีมารี โฌเซฟีนทรงประทับแยกกับพระสวามีที่ชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์ พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงพยายามอย่างยิ่งที่จะแสดงให้โลกได้เห็นครอบครัวราชวงศ์ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน สมเด็จพระราชินีทรงปฏิเสธที่จะเสด็จไปโดยทิ้งพระสหายของพระนางไว้เบื้องหลังโดยทรงเกรงว่าอาจจะทำให้เกิดผลที่ไม่น่าพอใจหากจะกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวในพิธีเสกสมรส[67] พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงทราบดีว่าหลุยส์ อ็องตวน พระนัดดาไม่ทรงเข้ากันได้กับเจ้าหญิงมารี-เตแรซ อย่างไรก็ตาม พระองค์ยังทรงผลักดันให้เกิดการเสกสมรสขึ้น ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าเป็นชีวิตสมรสที่ไม่มีความสุขและไม่มีทายาทร่วมกัน[68]

พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงพยายามริเริ่มติดต่อกันทางจดหมายกับนโปเลียน โบนาปาร์ต (ในช่วงนี้เขาเป็น กงสุลฝรั่งเศสคนที่หนึ่ง) ในปีค.ศ. 1800 พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงกระตุ้นให้โบนาปาร์ตฟื้นฟูราชบัลลังก์บูร์บงแก่พระองค์ แต่จักรพรรดิในอนาคตก็ไม่สนใจคำขอของพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 และยังคงรวบอำนาจของเขาในฐานะประมุขของฝรั่งเศสต่อไป[69]

พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงสนับสนุนให้เจ้าหญิงพระนัดดาทรงนิพนธ์บันทึกความทรงจำของพระนาง เพื่อที่พระองค์จะใช้เป็นการโฆษณาชวนเชื่อสำหรับราชวงศ์บูร์บง ในปีค.ศ. 1796 และค.ศ. 1803 พระเจ้าหลุยส์ยังทรงใช้บันทึกประจำวันของผู้ดูแลพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ครั้งสุดท้ายในทางเดียวกันด้วย[66] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1801 พระเจ้าซาร์พอลทรงตรัสกับพระเจ้าหลุยส์ว่าพระองค์คงอยู่ในรัสเซียไม่ได้อีกต่อไป ราชสำนักเยลกาวามีทุนทรัพย์น้อยมากซึ่งจะต้องมีการประมูลขายทรัพย์สินบางส่วนเพื่อที่จะมีเงินทุนในการเดินทางออกจากรัสเซีย แม้กระทั่งเจ้าหญิงมารี-เตแรซยังทรงขายสร้อยพระศอเพชรที่จักรพรรดิพอลทรงประทานให้เป็นของกำนัลวันเสกสมรสของพระนาง[64]

เจ้าหญิงมารี-เตแรซทรงชักจูงให้สมเด็จพระราชินีหลุยส์แห่งปรัสเซียมีพระอนุญาตให้พระราชวงศ์ของพระนางลี้ภัยในดินแดนปรัสเซีย สมเด็จพระราชินีหลุยส์ทรงยินยอมแต่เชื้อพระวงศ์บูร์บงต้องใช้นามแฝง โดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงใช้พระยศ "กงเตเดอไอเล" (Comte d'Isle; ซึ่งเป็นยศที่ตั้งตามทรัพย์สินของพระองค์ในล็องก์ด็อก) และบางครั้งทรงใช้พระยศ "กงเตเดอลีล" (Comte de Lille) [70] พระองค์และพระราชวงศ์ได้ประทับอยู่ในวอร์ซอ ซึ่งในขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นปรัสเซียใต้พระราชวังลาเซียนกีตั้งแต่ปีค.ศ. 1801 ถึงค.ศ. 1804 หลังจากเดินทางมาจากเยลกาวาอย่างยากลำบาก[71] ตามบันทึกของวีรีเดียนนา ฟิสเซโรวา ซึ่งมีชีวิตอยู่ร่วมสมัยนั้น เจ้าหน้าที่ของปรัสเซียซึ่งต้องการถวายพระเกียรติหลังจากที่เสด็จมาถึง ได้จัดให้มีการแสดงดนตรี โดยต้องการจะบรรเลงเพลงชาติและเพลงปลุกใจในความรักชาติ ได้เลือกเพลงลามาร์แซแยซซึ่งเป็นเพลงประจำสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 1 เพื่อพาดพิงถึงทั้งพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 โดยตรง แต่ในภายหลังพวกเขาก็ขออภัยโทษในความผิดพลาดครั้งนี้[70]

พระราชวังลาเซียนกี ที่ประทับของพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ตั้งแต่ค.ศ. 1801 ถึงค.ศ. 1804

เวลาไม่นานหลังจากที่เสด็จมาถึง พระราชวงศ์ก็ได้รับข่าวการสวรรคตของพระเจ้าซาร์พอลที่ 1 พระเจ้าหลุยส์ทรงหวังว่าผู้สืบราชบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าซาร์พอล คือ พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 จะยกเลิกการเนรเทศราชวงศ์บูร์บงที่พระราชบิดาของพระองค์ได้กระทำไว้ (ในภายหลังพระองค์ทรงยกเลิกจริง) พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงตั้งพระทัยที่จะออกเดินทางไปยังราชอาณาจักรเนเปิลส์ เคานต์แห่งอาตัวส์ทรงขอให้พระเจ้าหลุยส์ส่งพระราชโอรสของพระองค์ หลุยส์ อ็องตวนและเจ้าหญิงมารี-เตแรซ พระสุนิสา มาพบพระองค์ที่เอดินบะระ แต่ในช่วงนี้ก็ไม่ได้เสด็จไป เคานต์แห่งอาตัวส์ทรงได้รับพระราชทานทรัพย์จากพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักรและทรงส่งทรัพย์บางส่วนไปให้พระเจ้าหลุยส์ ราชสำนักพลัดถิ่นของพระเจ้าหลุยส์ได้ถูกสอดแนมโดยเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศส[72] ราชสำนักพลัดถิ่นได้รับการสนับสนุนทางการเงินส่วนใหญ่จากดอกเบี้ยจากหนี้ที่จักรพรรดิฟรานซิสที่ 2 ทรงติดค้างต่อพระนางมารี อ็องตัวแน็ต พระปิตุจฉาของพระองค์ ซึ่งได้ถูกเอาออกไปจากฝรั่งเศสและมีการตัดค่าใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ[73]

ในปีค.ศ. 1803 นโปเลียนพยายามบังคับให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 สละสิทธิในราชบัลลังก์ฝรั่งเศส แต่พระเจ้าหลุยส์ปฏิเสธ[74] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1804 นโปเลียน โบนาปาร์ตสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 และพระนัดดาเดินทางไปยังสวีเดนในเดือนกรกฎาคมเพื่อทำการประชุมเชื้อพระวงศ์บูร์บง ซึ่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 เคานต์แห่งอาตัวส์และดยุกแห่งอ็องกูแลมออกแถลงการณ์ประณามการตัดสินใจของนโปเลียนในการสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิ[75] กษัตริย์ปรัสเซียทรงออกแถลงการณ์ให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 เสด็จออกไปจากแผ่นดินปรัสเซียซึ่งก็คือต้องเสด็จออกจากวอร์ซอ พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ทรงเชิญให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 เสด็จมาประทับที่เยลกาวาดังเดิม พระเจ้าหลุยส์ต้องทรงดำรงพระชนม์ชีพในเงื่อนไขที่ใจกว้างน้อยกว่าในสมัยของพระเจ้าซาร์พอลที่ 1 ที่ทรงมีความสุข และพระองค์ตัดสินพระทัยเสด็จไปยังอังกฤษโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้[76]

เมื่อเวลาผ่านไป พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงตระหนักว่าฝรั่งเศสไม่ยอมรับในความพยายามกลับไปสู่ระบอบเก่า หรือ อองเซียงเรฌีม ดังนั้นพระองค์จึงทรงสร้างนโยบายอีกครั้งในปีค.ศ. 1805 ด้วยมุมมองในการอ้างสิทธิในราชบัลลังก์โดยมีคำประกาศซึ่งมีความเป็นเสรีนิยมมากกว่าแผนการครั้งก่อนหน้าของพระองค์ ซึ่งเป็นการปฏิเสธคำประกาศแห่งเวโรนา โดยสัญญาว่าจะยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ยังคงรักษาระบบการบริหารและตุลาการแบบจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 มีการลดภาษี การกำจัดเรือนจำทางการเมือง และรับประกันว่าจะนิรโทษกรรมทุกคนที่ไม่ได้ต่อต้านการฟื้นฟูราชวงศ์บูร์บง การแสดงความคิดเห็นต่อประกาศนี้มีจำนวนมากรวมทั้ง เคานต์แห่งอวาเรย์ ผู้ช่วยเหลือพระเจ้าหลุยส์ขณะลี้ภัยที่ทรงสนิทที่สุด[77]

พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงถูกบังคับให้เสด็จออกจากเยลกาวาอีกครั้งเมื่อพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์แห่งรัสเซียทรงตรัสกับพระองค์ว่าไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของพระองค์บนภาคพื้นทวีปยุโรปได้ ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1807 พระเจ้าหลุยส์ทรงขึ้นเรือฟริเกตของสวีเดนไปยังสต็อกโฮล์ม โดยเสด็จไปกับดยุกแห่งอ็องกูแลม เพียงพระองค์เดียว พระเจ้าหลุยส์ไม่ทรงประทับอยู่ที่สวีเดนนานนัก พระองค์เสด็จถึงเกรทยาร์เมานท์ นอร์ฟอล์ก อังกฤษ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1807 พระองค์ประทับที่กอสฟิลด์ฮอล โดยทรงเช่าจากมาควิสแห่งบักกิงแฮม[78]

อังกฤษ

บ้านฮาร์ทเวล บักกิงแฮมเชอร์ ราชสำนักพลัดถิ่นของพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงประทับที่นี่ตั้งแต่ค.ศ. 1808 จนกระทั่งการฟื้นฟูราชวงศ์บูร์บง

พระเจ้าหลุยส์ทรงพาพระมเหสี สมเด็จพระราชินีมารี โฌเซฟีนมาจากยุโรปภาคพื้นทวีปในปีค.ศ. 1808 พระเจ้าหลุยส์ทรงประทับที่กอสฟิลด์ฮอลไม่นานนัก พระองค์ได้ย้ายไปประทับที่บ้านฮาร์ทเวลในบักกิงแฮมเชอร์ ซึ่งมีข้าราชบริพารมากกว่าร้อยคนอาศัยร่วมด้วย[79] พระองค์ทรงจ่ายค่าเช่าจำนวน 500 ปอนด์ทุกปีแก่เจ้าของบ้านคือ เซอร์จอร์จ ลี เจ้าชายแห่งเวลส์ (อนาคตคือ พระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร) ทรงเห็นพระทัยแก่เชื้อพระวงศ์บูร์บงที่ลี้ภัยมาก ในฐานะที่ทรงเป็นเจ้าชายผู้สำเร็จราชการ พระองค์ได้มอบสิทธิให้ที่ลี้ภัยถาวรและทรงมอบเบี้ยค่าใช้จ่ายประจำอย่างเต็มที่[80]

เคานต์แห่งอาตัวส์ไม่ได้ทรงร่วมราชสำนักพลัดถิ่นที่ฮาร์ทเวล ทรงเลือกที่จะใช้พระชนม์ชีพเรียบง่ายในลอนดอน พระสหายของพระเจ้าหลุยส์ เคานต์แห่งอวาเรย์ ได้ออกจากฮาร์ทเวลไปยังมาเดราในปีค.ศ. 1809 และถึงแก่กรรมที่นั่นในปีค.ศ. 1811 ผู้ที่มาแทนอวาเรย์คือ กงเตเดอบลากาส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเมืองของพระองค์ สมเด็จพระราชินีมารี โฌเซฟีนสิ้นพระชนม์ในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1810[81] ในฤดูหนาวเดียวกัน พระเจ้าหลุยส์ทรงทรมานจากโรคเกาต์อย่างมากซึ่งเป็นอาการประชวรที่เกิดขึ้นเมื่อทรงประทับที่ฮาร์ทเวลและพระองค์ต้องทรงประทับบนรถเข็น[82]

จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ได้เข้ารุกรานรัสเซียในปีค.ศ. 1812 สงครามครั้งนี้ได้เป็นตัวพิสูจน์ถึงจุดเปลี่ยนในโชคชะตาของพระองค์ เนื่องจากการรุกรานที่ล้มเหลวอย่างน่าทุกข์ใจและจักรพรรดินโปเลียนจำต้องถอนทัพกลับในสภาพยับเยิน

ในปีค.ศ. 1813 พระเจ้าหลุยส์ทรงออกประกาศที่ฮาร์ทเวล "คำประกาศแห่งฮาร์ทเวล"มีความเป็นเสรีนิยมมากกว่า "คำประกาศในปีค.ศ. 1805" โดยทรงยืนยันว่าทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่แก่นโปเลียนหรือสาธารณรัฐจะไม่ต้องรับผลจากการปฏิบัติหน้าที่ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของผู้ถือครอง Biens nationaux (ที่ดินที่ยึดมาจากขุนนางและพระในช่วงการปฏิวัติ) ที่จะได้รับการชดเชยในสิ่งที่สูญเสียไป[83]

กองทัพพันธมิตรได้เข้าสู่กรุงปารีสในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1814[84] ถึงแม้ว่าพระเจ้าหลุยส์ไม่ทรงสามารถพระดำเนินได้ แต่พระองค์ก็ส่งเคานต์แห่งอาตัวส์ไปยังฝรั่งเศสในเดือนมกราคม ค.ศ. 1814 พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงมีพระราชหัตถเลขาแต่งตั้งเคานต์แห่งอาตัวส์เป็นนายพลแห่งราชอาณาจักรในช่วงการฟื้นฟูราชวงศ์บูร์บง จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 สละราชบัลลังก์ในวันที่ 11 เมษายน ห้าวันถัดมา วุฒิสภาฝรั่งเศสได้ทูลเชิญพระราชวงศ์บูร์บงเสด็จกลับคืนสู่ราชบัลลังก์ฝรั่งเศส[85]

ใกล้เคียง

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ