ต้นกำเนิด ของ ราชวงศ์เมรอแว็งเฌียง

ชาวแฟรงก์

ชาวริปัวเรียนแฟรงก์ (หรือชาวแฟรงก์บนที่ลุ่ม) ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณที่ลาดทางตะวันตกของแม่น้ำไรน์มาตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 ในปี ค.ศ. 463 ชาวริปัวเรียนแฟรงก์ได้เข้ายึดและตั้งนครเคิลน์ (หรือโคโลญ) เป็นเมืองหลวง ชาวริปัวเรียนแฟรงก์แผ่ขยายอำนาจบริเวณหุบเขาแม่น้ำไรน์ ตั้งแต่นครอาเคินถึงนครแม็ส ชาวแฟรงก์ที่อาศัยอยู่บริเวณฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไรน์เรียกว่าชาวฟรังโกเนีย (หรือฟรังเคิน) และมีชาวแฟรงก์อีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่าชาวแซเลียนแฟรงก์ ซึ่งคำว่า แซเลียน อาจมาจากชื่อของแม่น้ำแซลา (ปัจจุบันคือแม่น้ำเอเซลอยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์) ชาวแซเลียนแฟรงก์ได้เคลื่อนตัวไปทางใต้และทางตะวันออก ในช่วงปี ค.ศ. 356 ชาวแซเลียนแฟรงก์ได้ยึดครองอาณาบริเวณที่ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำเมิซ, มหาสมุทร และแม่น้ำซอมม์ ในปี ค.ศ. 430 ครึ่งหนึ่งของประชาชนของกอลตอนเหนือเป็นชาวแฟรงก์ ชาวแฟรงก์พูดภาษาเจอร์แมนิกและนับถือลัทธิเพแกน

กฎหมายแซลิก” กล่าวว่าชาวแซเลียนแฟรงก์ไม่ใช่กลุ่มอนารยชน แต่เป็นผู้ได้รับการปลดปล่อยที่มีเสรีภาพ คำว่า แฟรงก์ แปลว่า อิสรภาพ ชาวแซเลียนแฟรงก์มีรูปร่างสูง ผิวขาว มัดผมหางม้า ไว้หนวดแต่ไม่ไว้เครา สวมเสื้อทูนิก รัดเอวด้วยเข็มขัดหนังประดับเหล็กชุบ พกดาบและขวานสงคราม สวมเครื่องประดับทั้งชายและหญิง ได้แก่ แหวน กำไลแขน และสร้อยลูกปัด ชายสุขภาพสมบูรณ์ทุกคนเป็นนักรบที่ได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก มีคุณธรรมสูงสุดคือความกล้าหาญ ชาวแฟรงก์ชนะศึกนับครั้งไม่ถ้วน แผ่ขยายดินแดนจนกว้างไกล รู้จักการทำกสิกรรมและงานหัตถกรรม ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของกอลจึงรุ่งเรืองและเป็นสังคมชนบทที่สันติ

กษัตริย์แห่งชาวแฟรงก์

กษัตริย์แฟรงก์คนแรกที่รู้ชื่อ คือ พระเจ้าโคลดิโอ พระองค์ยึดครองกอลจนถึงแม่น้ำซอมม์และตั้งนครตูร์แนเป็นเมืองหลวง ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระองค์ คือ พระเจ้าเมโรเวก ชื่อของพระองค์เป็นที่มาของชื่อราชวงศ์เมรอแว็งเฌียงที่ปกครองชาวแฟรงก์จนถึงปี ค.ศ. 751 พระเจ้าเมโรเวกมีพระโอรส คือ พระเจ้าชิลเดอริก บาซินา พระมเหสีของกษัตริย์แห่งทูริงเงินทิ้งพระสวามีมาสมรสกับพระเจ้าชิลเดอริก ทั้งคู่มีพระราชบุตรด้วยกัน คือ พระเจ้าโคลวิส

ภาพพิธีศีลล้างบาปของพระเจ้าโคลวิส โดยนายช่างแห่งเซนต์ไจลส์ คริสต์ศตวรรษที่ 15

พระเจ้าโคลวิสขึ้นครองบัลลังก์ในปี ค.ศ. 481 ขณะพระชนมายุ 15 พรรษา ในตอนนั้นราชอาณาจักรของพระองค์เป็นเพียงมุมเล็ก ๆ มุมหนึ่งของกอล ชาวแฟรงก์อีกกลุ่มหนึ่งปกครองไรน์ลันท์ ในกอลตอนใต้มีราชอาณาจักรของชาววิซิกอทและชาวบูร์กอญ กอลตะวันตกเฉียงเหนือยังอยู่ภายใต้การปกครองของชาวโรมันซึ่งอ่อนแอมาก พระเจ้าโคลวิสจึงรุกรานพื้นที่ส่วนนั้นจนได้สมบัติมามากมาย จากนั้นพระองค์นำทัพไปปราบกองทัพโรมันที่นครซวยซงในปี ค.ศ. 486 ตลอดสิบปีต่อมาทรงพิชิตดินแดนอย่างต่อเนื่องจนแผ่ขยายไปถึงแคว้นเบรอตาญและแม่น้ำลัวร์ พระองค์ปล่อยให้ชาวกอลเหล่านั้นปกครองดินแดนของตัวเองและให้ความเคารพนักบวชของศาสนาคริสต์นิกายออร์ธอด็อกซ์ ในปี ค.ศ. 493 พระองค์สมรสกับโคลทิลด์ พระนางเป็นชาวคริสต์และต่อมาได้เปลี่ยนศรัทธาของพระองค์จากลัทธิเพแกนเป็นศาสนคริสต์นิกายไนซีน บิชอปรามีได้ประกอบพิธีศีลล้างบาปให้พระองค์ที่นครแร็งส์ ทหาร 3000 นายได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ตามพระเจ้าโคลวิส การเปลี่ยนศาสนาอาจเป็นกุศโลบายเพื่อยึดครองบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน ประชาชนชาววิซิกอทและชาวบูร์กอญซึ่งนับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์ธอด็อกซ์ไม่ไว้ใจผู้ปกครองที่นับถือลัทธิเอเรียสจึงสานสัมพันธไมตรี ทั้งในทางลับและอย่างเปิดเผย กับกษัตริย์แฟรงก์ซึ่งเป็นชาวคริสต์

พระเจ้าอลาริกที่ 2 เล็งเห็นปัญหาและพยายามหาทางแก้ พระองค์ได้เชิญพระเจ้าโคลวิสมาประชุมร่วมกันที่อ็องบวซเพื่อจับมือเป็นพันธมิตรกัน แต่เมื่อกลับไปนครตูลูซ พระเจ้าอลาริกจับกุมบิชอปออร์ธอด็อกซ์จำนวนหนึ่งด้วยข้อหาสมคบคิดกับชาวแฟรงก์ พระเจ้าโคลวิสจึงเรียกประชุมสภาอัยการศึกและประกาศทำสงครามพิชิตชาวเอเรียส ในปี ค.ศ. 507 พระเจ้าอลาริกที่ 2 ถูกพระเจ้าโคลวิสสังหารและยึดสมบัติมากมายของพระองค์ไปจากนครตูลูซ พระเจ้าโคลวิสพักรบในช่วงฤดูหนาว จากนั้นทรงยกทัพไปปิดล้อมอ็องกูแลมซึ่งเจ้าเมืองยอมทำข้อตกลงกับพระองค์แต่โดยดี ชาวเอเรียสที่ถูกพิชิตถูกเปลี่ยนให้นับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์ธอด็อกซ์ พระเจ้าโคลวิสได้ย้ายเมืองหลวงของพระองค์มาอยู่ที่นครปารีส ทรงสวรรคตในอีกสี่ปีต่อมาด้วยพระชนมายุ 45 พรรษา