การทำลายรูปเคารพระหว่างการปฏิรูปศาสนาในยุโรป ของ ลัทธิทำลายรูปเคารพ

ภาพแสดงให้เห็นการทำลายรูปเคารพโดยกลุ่มคาลวินเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1566รูปภาพจากค.ศ. 1563 ในหนังสือ “หนังสือว่าด้วยเหล่ามรณสักขีของฟ็อกซ์” ที่แสดงให้เห็น “วิหารที่ถูกล้าง” “การทำลายรูปเคารพ” และ “พวกนิยมสันตะปาปาเก็บของหนี”

นักปฏิรูปศาสนาโปรเตสแตนต์โดยเฉพาะอันเดรียส คาร์ลชตัท (Andreas Karlstadt), ฮุลดริช ซวิงลี และฌ็อง กาลแว็งสนับสนุนการทำลายรูปเคารพโดยอ้างว่าบัญญัติ 10 ประการ บ่งว่าห้ามการมีรูปเคารพและการสร้างรูปพระเจ้า ซึ่งเป็นผลที่ทำให้มีการทำลายรูปเคารพทางศาสนา การโจมตีผู้นิยมรูปเคารพ และการก่อความไม่สงบต่าง ๆ ทั่วไปในยุโรป แต่การทำลายรูปเคารพทางศาสนาทั่ว ๆ ไปเป็นไปอย่างไม่มีการก่อความไม่สงบ

การจลาจลที่เกิดจากการทำลายรูปเคารพเกิดขึ้นที่เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อปี ค.ศ. 1523, ที่เมืองโคเปนเฮเกน เมื่อปี ค.ศ. 1530, เมืองมึนสเตอร์เมื่อปี ค.ศ. 1534, เจนีวา เมื่อปี ค.ศ. 1535, เอาคส์บวร์ค เมื่อปี ค.ศ. 1537 และ และ สกอตแลนด์ เมื่อปี ค.ศ. 1559 สิบเจ็ดมณฑลในประเทศเนเธอแลนด์และเบลเยียม และบางส่วนทางตอนเหนือของฝรั่งเศสได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการโจมตีของผู้นับถือนิกายโปรเตสแตนต์จากผู้สนับสนุนการทำลายรูปเคารพทางศาสนาเมื่อฤดูร้อนปี ค.ศ. 1566 การโจมตีครั้งนี้เรียกว่า “เบลเดนสตรอม” (Beeldenstorm) ซึ่งทำลายรูปปั้นภายในอารามเซนต์ลอเรนซ์ที่สตีนวูรด์ (Steenvoorde) หลังจากการเทศนากลางแปลงโดยเซบาสเตียน แม็ท (Sebastiaan Matte) และการปล้นอารามเซนต์แอนโทนีหลังจากการเทศนาโดยเจคอป เดอ บุยเซีย (Jacob de Buysere) “Beeldenstorm” เป็นจุดเริ่มต้นของ “สงครามแปดสิบปี” เพื่อต่อต้านกองกำลังสเปนและคริสตจักรคาทอลิก

ระหว่างสงครามกลางเมืองอังกฤษ บิชอปโจเซฟ ฮอลแห่งนอริช (Bishop Joseph Hall of Norwich) บรรยายเหตุการณ์เมื่อ ค.ศ. 1643 เมื่อกองทหารและประชาชนที่ถูกยุยงโดยรัฐสภาให้ต่อต้านความเชื่องมงายและรูปเคารพเข้ามาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในโบสถ์ไม่ว่าจะเป็นกระจกหน้าต่าง ผนัง รูปอนุสรณ์ หรือเก้าอี้อิง ทิ้งเหล็กและทองเหลืองออกจากหน้าต่าง ทำลายรูปปั้น, ออร์แกน ห้องแต่งตัวของนักบวช เลื่อยไม้กางเขนจากแท่นเทศน์ เผาหนังสือสวดมนต์ และอื่น ๆ การบันทึกการทำลายเช่นนี้ทำให้เราเห็นภาพพจน์ของความรุนแรงและความเสียหายที่เกิดขึ้นในยุคนี้ได้อย่างชัดเจน

วิลเลียม เดาซิง (William Dowsing) ผู้เป็นนักปฏิรูปศาสนาคนสำคัญถูกจ้างโดยรัฐบาลให้ไปดูงานการทำลายรูปเคารพตามโบสถ์ต่าง

ๆ ในหมู่บ้านและเมืองในบริเวณอีสท์อังเกลีย เดาซิงบันทึกการทำลายไว้ที่ยังคงอยู่คือการทำลายในบริเวณซัพฟิคและเคมบริดเชอร์[12]

ไม่ใช่ชาวโปรเตสแตนต์ทุกคนจะเห็นด้วยกับลัทธิทำลายรูปเคารพของศาสนาหรือการใช้รูปเคารพในการสักการบูชา มาร์ติน ลูเทอร์ผู้เป็นผู้นำในการแยกตัวจากนิกายโรมันคาทอลิกเองกล่าวว่าผู้นับถือศาสนาคริสต์ควรจะมีเสรีภาพในการบูชารูปทางศาสนาใด ๆ ก็ได้ตราบที่ไม่เป็นการบูชารูปแทนพระเป็นเจ้า แต่ฮุลดริช ซวิงลีผู้พยายามอนุรักษ์คำสอนของพระเจ้าเป็นปฏิปักษ์ต่อรูปสัญลักษณ์ทุกชนิด มาร์ติน ลูเทอร์ผู้ต้องการอนุรักษ์คำสอนเช่นกันเห็นว่างานศิลปะทุกอย่างเป็นงานที่ทำเพื่อพระวรสาร มาร์ติน ลูเทอร์นอกจากจะไม่เห็นด้วยกับการทำลายศิลปะเช่นที่ผู้มีความคิดเห็นรุนแรงต้องการจะทำแล้วยังสนับสนุนการสร้างศิลปะเพื่อศาสนาด้วย โดยเฉพาะดนตรีซึ่งลูเทอร์เห็นว่าเป็นที่สร้างขึ้นเพื่อพระเจ้าและประทานให้โดยพระเจ้า ลูเทอร์ยกตัวอย่างจากภาพของพระเจ้า ทูตสวรรค์ มนุษย์ และสัตว์ในคัมภีร์ไบเบิล โดยเฉพาะงานของนักบุญยอห์นผู้นิพนธ์พระวรสาร หรือหนังสือโมเสส และหนังสือโยชูวา และยังเสนอให้มีภาพเขียนเหล่านี้บนผนังโบสถ์เช่นเดียวกับคัมภีร์เพื่อเป็นความเพิ่มความเข้าใจในศาสนามากขึ้น