ลำไส้เล็กอักเสบจากเชื้อโรตาไวรัส (
อังกฤษ: rotavirus enteritis) เป็นสาเหตุของภาวะ
ท้องร่วงรุนแรงในทารกและเด็กเล็กที่พบบ่อยที่สุด
[1] เกิดจากการติดเชื้อ
โรตาไวรัส ซึ่งเป็น
จีนัสหนึ่งของ
ไวรัสชนิดอาร์เอ็นเอสายคู่ใน
แฟมิลีรีโอวิริดี เด็กแทบทุกคนบนโลกเมื่ออายุครบ 5 ปีจะเคยติดเชื้อโรตาไวรัสมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
[2] แต่ละครั้งที่ติดเชื้อร่างกายจะสร้าง
ภูมิคุ้มกัน ทำให้การติดเชื้อครั้งถัดๆ ไปมีความรุนแรงลดลง ทำให้โรคนี้พบได้น้อยในผู้ใหญ่
[3] ไวรัสนี้มี
สปีชีส์ย่อยอยู่ 5 สปีชีส์ ได้แก่ เอ บี ซี ดี และอี
[4] ที่พบบ่อยที่สุดคือโรตาไวรัส เอ ซึ่งเป็นสาเหตุของการติดเชื้อโรตาไวรัสในมนุษย์ถึง 90%เชื้อนี้ติดต่อผ่านทาง
การกินอาหารที่ปนเปื้อนอุจจาระ เซลล์เยื่อบุผนังลำไส้เล็กที่ติดเชื้อจะถูกทำลายทำให้เกิด
กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ (บางประเทศนิยมเรียกอาการเช่นนี้ว่า ไข้หวัดใหญ่ลงกระเพาะ (stomach flu) แม้เชื้อนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเชื้อ
ไข้หวัดใหญ่แต่อย่างใดก็ตาม) เชื้อไวรัสนี้ถูกค้นพบตั้งแต่ ค.ศ. 1973
[5] และเป็นสาเหตุเกือบ 50% ของการเกิดท้องร่วงรุนแรงในทารกและเด็กเล็กที่ถึงขั้นต้องรักษาในโรงพยาบาล
[6] อย่างไรก็ดี แม้ในปัจจุบัน ความสำคัญของเชื้อนี้ก็ยังไม่เป็นที่รับทราบแพร่หลายในกลุ่มบุคลากรทาง
สาธารณสุข โดยเฉพาะใน
กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา[7] นอกจากเชื้อนี้จะส่งผลต่อมนุษย์แล้วยังส่งผลต่อสัตว์ด้วย โดยเฉพาะเป็น
เชื้อก่อโรคในปศุสัตว์
[8]โรคติดเชื้อโรตาไวรัสโดยทั่วไปแล้วรักษาได้ไม่ยาก แต่ถึงกระนั้นทั่วโลกก็ยังมีเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อนี้ถึงปีละเกือบ 500,000 คน
[9] และป่วยหนักเกือบสองล้านคน
[7] แม้ในประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนจะมีโครงการให้วัคซีนโรตาไวรัสอย่างแพร่หลาย จำนวนผู้ป่วยกระเพาะและลำไส้อักเสบรุนแรงจากโรตาไวรัสก็ยังสูงถึงปีละ 2.7 ล้านคน ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาล 60,000 และเสียชีวิต 37 คน
[10] ยุทธศาสตร์ทางสาธารณสุขที่สำคัญต่อการรับมือโรคนี้คือ
การบำบัดด้วยการให้สารน้ำชดเชยผ่านการกินในผู้ที่ป่วยแล้ว และ
การให้วัคซีนต่อโรตาไวรัสเพื่อป้องกันโรคในผู้ที่ยังไม่ป่วย
[11] ในประเทศที่มีนโยบายให้วัคซีนต่อโรตาไวรัสเป็นส่วนหนึ่งของวัคซีนมาตรฐานระดับประเทศ ต่างมีอุบัติการณ์และความรุนแรงของการติดเชื้อโรตาไวรัสลงเป็นอย่างมากทั้งสิ้น
[12][13]