ต้นเหตุของสงคราม ของ สงครามกรุงทรอย

พระประสงค์ของซุส

การตัดสินของปารีส

การตัดสินของปารีส (1904) โดย เอริเก้ ซิโมเน

มหาเทพซุสทรงทราบคำทำนายจากเทพีเธมิส (Themis) หรือ โพรมีเทียสซึ่งได้รับการปลดปล่อยจากการจองจำในเทือกเขาคอเคซัสโดยเฮราคลีส ว่าพระองค์จะถูกโค่นลงโดยโอรสของตนเอง เหมือนอย่างที่พระองค์เคยปราบโครนัสพระบิดาของตนมาแล้ว ยังมีอีกคำทำนายหนึ่งว่านางอัปสรทะเล เธทิส ซึ่งพระองค์ตกหลุมรักเข้า จะให้กำเนิดบุตรที่เก่งกล้ากว่าบิดา[3] ด้วยเหตุนี้เธทิสจึงถูกส่งไปเป็นชายาของกษัตริย์มนุษย์ชื่อ เพเลอัส บุตรแห่งไออาคอสตามคำสั่งของมเหสีเฮราผู้เลี้ยงดูเธทิสมา[4]

เทวดาทุกตนได้รับเชิญไปงานอภิเสกสมรสของ เพเลอัส กับ เธทิส และต่างก็นำของขวัญไปมากมาย[5] เว้นก็แต่ เอริส เทพีแห่งความวิวาทขัดแย้ง ซึ่งไม่ได้ถูกรับเชิญและห้ามเข้ามาในงานตามคำสั่งของซุส[6] เอริสโกรธและรู้สึกเสียหน้า จึงโยนแอปเปิ้ลทองคำ (το μήλον της έριδος) อันเป็นของขวัญที่ตนนำมาเข้าไปในงาน โดยสลักคำว่า καλλίστῃ หรือ "แด่ผู้ที่งามที่สุด"[7] ไว้บนแอปเปิ้ล ฯ สามเทวีแห่งโอลิมปัส ได้แก่ เฮรา, อะธีนา, และ แอโฟรไดที ต่างอ้างกรรมสิทธิ์ในผลแอปเปิ้ล และโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อน แต่ก็ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดยอมออกความเห็นตัดสินว่าเทพีองค์ไหนมีความงามเหนือกว่าคู่แข่ง ในที่สุดมหาเทพซุสจึงมีบัญชาให้เทพเฮอร์มีสนำเทวีสวรรค์ทั้งสามไปหาปารีสเจ้าชายแห่งทรอย ปารีสนั้นไม่ทราบถึงชาติกำเนิดของตน เพราะถูกเลี้ยงมาอย่างเด็กเลี้ยงแกะบนภูเขาไอด้า[8] เนื่องจากมีคำนายว่าเด็กคนนี้จะนำความล่มสลายมาสู่กรุงทรอย[9] วันหนึ่งหลังจากปารีสชำระกายด้วยน้ำพุบนเขาไอด้าเสร็จ เทพธิดาทั้งสามก็ปรากฏตัวให้เขาเห็นด้วยสรีระอันเปลือยเปล่า ถึงกระนั้นปารีสก็ยังไม่สามารถตัดสินผู้ชนะได้ เหล่าเทวีจึงต้องใช้วิธีติดสินบน โดยอะธีนาเสนอจะทำให้ปารีสเป็นผู้มีปัญญาหยั่งรู้ และมีทักษะในการศึกสงครามเหนือกว่าวีรบุรุษนักรบคนใดๆ, เฮราเสนออำนาจทางการเมือง และสิทธิปกครองทั้งเอเชียให้, ส่วนเทพธิดาแอโฟรไดทีเสนอให้ความรักของสตรีที่งามที่สุดในโลก(ซึ่งหมายถึงเฮเลนแห่งสปาร์ตา)แก่ปารีส ปารีสตกลงมอบแอปเปิ้ลทองคำให้แก่แอโฟรไดที หลังจากนั้นปารีสก็ออกผจญภัยจนกลับมาสู่กรุงทรอย

เธทิสมอบอาวุธที่ตีขึ้นโดยเทพช่างเหล็กฮิฟีสตัสแก่อคิลลีสบุตรชายของตน (เครื่องดินเผารูปเขียนสีดำ ไฮเดรีย, 575–550 ก่อนคริสต์ศักราช)

เพเลอัสกับเธทิสให้กำเนิดบุตรชาย และตั้งชื่อให้ว่าอคิลลีส มีคำทำนายว่าหากอคิลลีสไม่ตายในวัยชราโดยไม่มีใครรู้จัก ก็จะตายแต่หนุ่มแน่นในสนามรบแต่กวีจะร้องขับขานวีรกรรมของเขาให้มีเกียรติก้องขจรไกลไปชั่วนิรันด์[10] ต่อมาเมื่ออคิลลีสอายุได้เก้าขวบ แคลคัสโหรเอกของอากาเมมนอน พยากรณ์ว่าจะตีเอากรุงทรอยได้จำเป็นต้องอาศัยกำลังของอะคิลีส[11] มีตำนานจากหลายๆต้นเรื่องระบุว่า เธทิสผู้แม่พยายามทำให้อะคิลีสคงกระพันในขณะที่ยังเป็นทารก บางตำนานเล่าว่าหล่อนถือลูกชายไว้เหนือกองไฟทุกคืน เพื่อเผาส่วนที่เป็นมนุษย์ปุถุชนของเขาให้สิ้นไป และถูเขาด้วยอมฤตภาพ หรือภัตตาหารเทพแอมโบรเซีย (กรีก: ἀμβροσία) ในเวลากลางวัน การกระทำดังกล่าวเท่ากับเป็นการฆ่าลูกชายในเวลากลางคืน และชุบให้ฟื้นขึ้นในเวลากลางวัน เมื่อเพเลอัสพบเห็นเข้าจึงสั่งให้หยุดเสีย[12] อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่าเธทิสนำอคิลลีสไปอาบน้ำในแม่น้ำสติกซ์ที่ไหลผ่านปรโลก เพื่อให้อยู่ยงคงกระพัน แต่เพราะหล่อนจับข้อเท้าของบุตรไว้ร่างกายส่วนนี้จึงไม่ถูกน้ำ ไม่ได้รับอมตะภาพและไม่ทนต่อการโจมตี ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "ส้นเท้าของอคิลลีส" หมายถึงจุดอ่อน ฯ อคิลลีสเติบโตขึ้นมากลายเป็นนักรบผู้แกล้วกล้าที่สุดในหมู่มนุษย์ ธีทิสผู้แม่กลัวคำทำนายของแคลคัสจึงนำลูกชายไปซ่อนเสียที่เกาะสกีรอส (กรีก: Σκύρος) ณ ราชฐานของกษัตริย์ไลโคมีดีส (กรีก: Λυκομήδης) โดยให้แต่งตัวเหมือนเด็กผู้หญิง[13] แต่โอดิสเซียสใช้ปัญญาล่อให้อคิลลีสเผยตัวออกมา

ปารีสและเฮเลนหนีตามกัน

ใกล้เคียง

สงครามโลกครั้งที่สอง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สงครามเวียดนาม สงครามกลางเมืองอเมริกา สงครามแปซิฟิก สงครามเกาหลี สงครามอ่าว สงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง สงครามครูเสด สงครามกัมพูชา–เวียดนาม