ความประสงค์ของตัวอย่างข้างล่างก็เพื่อแสดงลักษณะสถาปัตยกรรมการก่อสร้างหรือการออกแบบของอาสนวิหารบางแห่งที่มีลักษณะเด่นและน่าสนใจของแต่ละสมัยและของบางประเทศ มิใช่เป็นการบรรยายรายละเอียดของอาสนวิหารทุกแห่งและทุกประเทศ อาสนวิหารแต่ละแห่งที่บรรยายจะกล่าวถึง แผนผังของสิ่งก่อสร้าง ด้านตะวันตกหรือด้านหน้า ด้านตะวันออกหรือด้านท้ายวัด หอเหนือจุดตัดระหว่างแขนกางเขนกับทางเดินกลาง ทัศนศิลป์ที่ใช้เป็นการสอนเรื่องราวในคริสต์ศาสนา และ ลักษณะที่แตกต่างไปจากอาสนวิหารอื่นเช่นแสง เงา การตกแต่ง และรายละเอียด และสาเหตุที่สิ่งก่อสร้างนั้นแตกต่างจากสิ่งก่อสร้างอื่นในท้องถิ่นเดียวกัน
ข้อควรระวังคือลักษณะของแต่ละอาสนวิหารที่กล่าวถึงมักจะไม่เป็นสถาปัตยกรรมลักษณะใดลักษณะหนึ่งล้วนๆ เพราะอาสนวิหารส่วนใหญ่จะใช้เวลาสร้าง หรือขยายต่อเติมเป็นเวลาหลายร้อยๆ ปี ซึ่งย่อมจะมีการเปลี่ยนแปลงมากบ้างน้อยบ้างไปตามสมัยของสถาปัตยกรรม
หมายเหตุการเปรียบเทียบลักษณะอาสนวิหารที่กล่าวถึงข้างล่างใช้คำบรรยายจาก “ลักษณะสถาปัตยกรรม” ของแบนนิสเตอร์ เฟล็ทเชอร์เป็นหลัก[8]
ประเทศอิตาลี
อาสนวิหารปิซา ที่ประเทศอิตาลี แสดงให้เห็นจากซ้าย
หอศีลจุ่ม กลางตัวอาสนวิหาร และขวา
หอระฆัง ตัวอาสนวิหารเป็นผังกางเขน มีมุขท้ายวัด และตกแต่งซุ้มโค้งรอบวัดภายนอกเป็นแบบแถบหินอ่อนสลับสีทางขวาง ซึ่งกลายมาเป็นแบบที่เรียกว่า “ลักษณะปิซา” และโดมรูปไข่
อาสนวิหารปิซา (ภาษาอังกฤษ: Cathedral of Pisa) เป็นสิ่งก่อสร้างที่ซับซ้อนและเป็นส่วนหนึ่งของ จัตุรัสปาฏิหาริย์ (ภาษาอังกฤษ: Campo dei Miracoli) ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของอาสนวิหารอิตาลีที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมันเนสก์อย่างแท้จริง อาสนวิหารสร้างระหว่างปี ค.ศ. 1063 ถึงปี ค.ศ. 1092 โดยมีการเพิ่มเติมลักษณะกอธิคเข้าไปบ้าง ลักษณะต่างที่ใช้สร้างอาสนวิหารปิซายังคงใช้ในการสร้างสิ่งก่อสร้างในอิตาลีมาจนถึงสมัยบาโรก แบนนิสเตอร์ เฟล็ทเชอร์บรรยายถึงอาสนวิหารนี้ว่าเป็น “อาสนวิหารที่สวยที่สุดในลักษณะโรมันเนสก์” ที่มี “เอกลักษณ์ที่เด่น” และมี “ความสวยและความละเอียดอ่อนของสิ่งตกแต่ง” [8]
สรุปลักษณะสำคัญของอาสนวิหารปิซา [8]
- ผังเป็นแบบกางเขนอย่างชัดเจน
- ทางท้ายวัดเป็นมุขโค้งครึ่งวงกลมแต่ไม่มีจรมุขหรือทางเดินล้อมรอบมุข
- เหนือจุดตัดระหว่างทางเดินกลางและแขนกางเขนเป็นโดมรูปไข่แทนที่จะกลม ซึ่งเป็นลักษณะแปลกและสามารถทำให้ผสมกับศิลปะบาโรกที่มาทีหลังได้อย่างกลมกลืน
- องค์ประกอบแต่ละส่วนจะแยกจากกันอย่างชัดเจนโดยการใช้วิธียื่นและถอยและเส้นตัด สิ่งตกแต่งใช้เป็นเครื่องแยกองค์ประกอบแต่ละส่วนแทนที่จะพยายามทำให้แต่ละส่วนกลืนเข้าด้วยกัน แนงดิ่งจะถูกแยกโดยใช้แนวขวาง คูหาภายในแยกจากหน้าต่างชั้นบนโดยใช้บัวคอร์นิช
- การใช้สอยต่างๆ ภายในวัดจะแยกจากกันโดยการแยกสิ่งก่อสร้างหลัก เช่นหอระฆังที่สร้างอิสระออกมาจากตัวอาสนวิหาร หอศีลจุ่มก็สร้างเป็นสิ่งก่อสร้างอิสระใหญ่โตจากตัวอาสนวิหาร ทั้งนี้เป็นเพราะดินในประเทศอิตาลีจะไม่แน่นหรือเป็นดินทรายและบางครั้งก็อาจจะทรุดได้ หรือบางครั้งก็มีภัยจากแผ่นดินไหวมากกว่าประเทศอื่นในยุโรป ถ้ารวมสิ่งก่อสร้างเข้าด้วยกันเมื่อมีเหตุการณ์ร้ายอย่างน้อยก็อาจจะมีอะไรเหลืออยู่บ้าง
- ซุ้มโค้งเป็นสิ่งตกแต่งที่เด่นมาก เป็นแถบสองสีแนวนอนตัดกันรอบอาสนวิหาร หอระฆัง และหอศีลจุ่ม โดยเฉพาะหอระฆังที่ใช้แถบแยกชั้นเป็นแปดชั้นจากกัน การตกแต่งลายขวางสลับสีกลายมาเป็นแบบที่เรียกว่า “ลักษณะปิซา” ซึ่งเป็นลักษณะที่เห็นในการก่อสร้างวัดหลายวัดในบริเวณทัสเคนีทางตอนกลางของประเทศอิตาลี
- ลักษณะสถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะโรมันซึ่งประกอบด้วยเสาโครินเธียน
- การตกแต่งด้วยสีสันที่เป็นแถบตัดกันระหว่างหินอ่อนสีเขียวเข้ม เทา และ แดงทำให้สิ่งก่อสร้างดูสวยงามและเด่นขึ้น
- ทัศนศิลป์ที่ใช้ก็สื่อเรื่องราวทางคริสต์ศาสนาก็มีโมเสกเหนือมุข รูปปั้นในแผ่นกรอบสี่เหลี่ยม เช่นรูปปั้นรอบแท่นเทศน์แปดเหลี่ยม หรือภาพบนช่องแผ่นบนบานประตูสัมฤทธิ์หล่อ
หมายเหตุ: เนื้อหาส่วนนี้ย่อมาจาก: แบนนิสเตอร์ เฟล็ทเชอร์[8] และ ลารูส[11]
ตัวอย่างอาสนวิหารอื่นๆ ในประเทศอิตาลี:
อาสนวิหารมิลาน (Cathedral of Milan) ด้านหน้าแบบกอธิคมีประตูหน้าห้าประตู
อาสนวิหารฟลอเรนซ์ (Florence Cathedral) ยอดกลางเป็นโดมโดยบรูเนลเลสกี
ระเบียงแกะสลักภายในอาสนวิหารโมดีนา (Duomo di Modena)
ด้านหน้าอาสนวิหารเซียนนา (Duomo di Siena) - กอธิคแบบอิตาลี
อาสนวิหารอเรสโซ (Arezzo Cathedral) - กอธิคแบบอิตาลีสมัยต้น มี
หน้าต่างกุหลาบ และลายลอมบาร์ดรอบเชิงชาย
ประเทศฝรั่งเศส
อาสนวิหารอาเมียง (ภาษาอังกฤษ: Amiens Cathedral) เป็นอาสนวิหารแบบกอธิคที่สร้างระหว่างปี ค.ศ. 1220 และปี ค.ศ. 1288 เป็นอาสนวิหารที่เป็นตัวอย่างของลักษณะโดยทั่วไปของอาสนวิหารทางภาคเหนือของฝรั่งเศส วิม สวอนกล่าวว่า “ที่ทางเดินกลางของอาเมียง, โครงสร้างกอธิคและการใช้ศิลปะคลาสสิก, (ที่ใช้) ยกพื้นสามชั้นที่ทำที่อาสนวิหารชาร์ทร, ทำให้ (สิ่งก่อสร้างมีลักษณะ) สมบูรณ์แบบ” [3]
การตกแต่งด้านหน้าด้วยรูปสลักหินละเอียดจนเหมือนลูกไม้ เริ่มด้วยประตูทางเข้าสามประตู เหนือประตูรายด้วยรูปปั้น ตรงกลางเป็นหน้าต่างกุหลาบ กระหนาบด้วยหอสองหอ
ประตูด้านหน้าสามประตู หน้าบันเหนือประตูกลางสลักเป็นรูปการตัดสินครั้งสุดท้าย
ด้านหลังรายด้วยกำแพง
ค้ำยันแบบปีกรอบจรมุขที่ยื่นออกมาทางตะวันออก เหนือจุดตัดเป็นมณฑปปรุที่เรียกว่า “fleche”
ภายในเส้นดิ่งไล่จากพื้นไปจนถึงเพดานบนสุดทำให้ดูสูงกว่าเป็นจริง
ทัศนศิลปประวัติของนักบุญจอห์น แบ็พทิสต์บนผนังด้านนอกของบริเวณสงฆ์
สรุปลักษณะสำคัญของอาสนวิหารอาเมียง [8]
- ผังแบบกางเขนแต่แขนขวางไม่ยาวไปกว่าตัววัดทำให้มีลักษณะตัน
- ด้านหลังมีมุขโค้งล้อมรอบด้วยคูหาสวดมนต์กระจายออกมาจากมุขที่เรียกว่า “chevet”
- เน้นความสูง มีกำแพงค้ำยันแบบปีก ด้านข้างและด้านหลังรอบ chevet ที่รับน้ำหนักกำแพงและเพดานโค้งแบบกอธิค
- เหนือจุดตัดระหว่างทางเดินกลางและแขนกางเขนเป็นมณฑปแบบเปิดที่เรียกว่า “fleche”
- ส่วนต่างๆ ของสิ่งก่อสร้างกลมกลืนต่อเนื่องกันโดยใช้องค์ประกอบของสถาปัตยกรรมเป็นตัวเชื่อม เส้นที่ใช้จะแล่นส่งต่อกันไปเช่นเสาที่เริ่มจากพื้นต่อตรงขึ้นไปถึงซุ้มโค้ง หน้าต่างชั้นบน และเรื่อยเลยขึ้นไปถึงสันภายใต้เพดานโค้ง
- ด้านหน้ามีประตูขนาดใหญ่สามประตูที่ตกแต่งด้วยกลุ่มรูปปั้นขนาบข้างและล้อมรอบ มีหอใหญ่สองหอเหนือประตูซ้ายและขวา และหน้าต่างกุหลาบตรงกลาง
- ด้านหน้าแบ่งตามนอนและตามขวางเป็นช่องๆทำให้เกิดเงาที่สาดลงไปทั้งดิ่งและขวางพร้อมกัน
- การตกแต่งที่เด่นก็ได้แก่การแกะสลักหินละเอียดจนเหมือนลูกไม้ด้านหน้า และ บนกำแพงค้ำยันแบบปีกที่ล้อมรอบอาสนวิหาร
- ทัศนศิลป์ที่ใช้ก็สื่อเรื่องราวก็มี หน้าต่างประดับกระจกสี รูปปั้นบนและรอบประตูหน้าวัด รูปปั้นบนด้านหน้าของวัด และรูปปั้นนูนภายในวัดเป็นฉากๆ รอบและใกล้บริเวณคริสต์ศาสนพิธีที่เป็นประวัติของนักบุญ เช่นเรื่องของจอห์น แบ็พทิสต์
หมายเหตุ: เนื้อหาส่วนนี้ย่อมาจาก: แบนนิสเตอร์ เฟล็ทเชอร์[8] ลารูส[11] และ สวอน [3]
ตัวอย่างอาสนวิหารอื่นๆ ในประเทศฝรั่งเศส:
ประเทศอังกฤษ
อาสนวิหารลิงคอล์น (ภาษาอังกฤษ: Lincoln Cathedral) เริ่มสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1074 และมาเสร็จราวปี ค.ศ. 1540 เป็นอาสนวิหารแบบอังกฤษทั้งรูปแบบและความหลากหลายของสถาปัตยกรรม อเลค คลิฟตัน-เทย์เลอร์บรรยายว่า “เมื่อพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว (อาสนวิหารลิงคอล์น) ก็เป็นอาสนวิหารที่เลิศมากที่สุดในอังกฤษ”[19]
ด้านหน้าที่ดูไม่กลมกลืนกัน แสดงให้เห็นประตูแบบ
นอร์มัน ฉากกอธิค และหอและจั่วที่สร้างคนละสมัย
สันนูนแล่นตลอดแนวบนเพดานทำให้ดึงสายตาตามแนวเพดานไปยังบริเวณ
คริสต์ศาสนพิธี
สรุปลักษณะสำคัญของอาสนวิหารลิงคอล์น[8]
- ผังเป็นกางเขนสองชั้น (double cross) แขนกางเขนแรกกางยื่นออกไป แขนกางเขนสองใกล้บริเวณพิธีมีมุขชาเปล ระเบียงคดสร้างอิสระจากตัววัด และหอประชุมสงฆ์เป็นสิบเหลี่ยมหนุนด้วยค้ำยันแบบปีกขนาดใหญ่
- ด้านหลังวัดเป็นสี่เหลี่ยมตกแต่งด้วยหน้าต่างประดับกระจกสีขนาดใหญ่เป็นลวดลายเรขาคณิต
- ภายในเน้นความยาวและแนวนอน เส้นดิ่งของคูหาโค้ง ระเบียงแนบเหนือทางเดินกลาง และหน้าต่างชั้นบนทำให้เด่นด้วยเส้นขวางตลอดแนว บนเพดานโค้งแหลมมีสันนูนแล่นตลอดแนวทำให้ดึงสายตาตามแนวเพดานไป
- เหนือจุดตัดระหว่างทางเดินกลางและแขนกางเขนเป็นหอใหญ่สูง 270 ฟุตซึ่งรองรับมณฑปมาร่วมสามร้อยปีแล้ว
- ด้านหน้าให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่แต่ไม่ดูไม่สอดคล้องกัน จั่วและหอสูงสองหอที่พุ่งขึ้นมาเป็นการก่อสร้างคนละสมัย -- นอร์มัน และกอธิค -- อยู่หลังฉากกอธิคมหึมาที่เต็มไปด้วยรูปปั้นที่ประกบด้วยหอแหลมสองหอทางตอนปลายที่มีขนาดใหญ่พอที่จะทำเป็นหอหลักได้ ตรงกลางเป็นโค้งใหญ่สามโค้งรอบหน้าต่าง และมีประตูแบบนอร์มัน
- หอเน้นความสูงมีกำแพงค้ำยันหลายเหลี่ยมค้ำทำให้เกิดเงาดิ่งเวลาพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก ซุ้มโค้งที่เว้าลึกเข้าไปก็ทำให้เกิดเงาเช่นเดียวกันขณะที่ความใหญ่ของฉากรูปปั้นด้านหน้าทำให้ลดความรู้สึกว่าสูงลง
- การตกแต่งที่เด่นภายในคือความตัดกันของบัวหินอ่อนสีมืดและสันตัดกับหินสีอ่อนของตัววัด การย้ำการใช้ซุ้มโค้งไม่เฉพาะแต่ซุ้มโค้งสองข้างทางเดินกลางแต่คูหาโค้งเล็กตลอดแนวผนังสองข้างด้วย และ การใช้เพดานโค้งแหลมแบบสัน (rib vault) ซ้อนกัน การย้ำรูปทรงง่ายๆ นี้จะเห็นได้จากการตกแต่งฉากหน้าวัดและการจัดหน้าต่างด้วย
- ทัศนศิลป์ที่ใช้ก็สื่อเรื่องราวก็มี หน้าต่างประดับกระจกสี และรูปแกะสลัก แต่ส่วนใหญ่ถูกทำลายไปมากระหว่างสมัยยุบอาราม ในรัชสมัยของพระเจ้าเฮนรีที่ 8
หมายเหตุ: เนื้อหาส่วนนี้ย่อมาจาก: แบนนิสเตอร์ เฟล็ทเชอร์[8] ลารูส[11] และ คลิฟตัน-เทย์เลอร์ [19]
ตัวอย่างอาสนวิหารอื่นๆ ในประเทศอังกฤษ:
ดูเพิ่ม: อาสนวิหารในสหราชอาณาจักร
อาสนวิหารกลอสเตอร์ - คูหาสวดมนต์ Lady chapel ด้านตะวันออกที่ล้อมรอบด้วยหน้าต่างจนเหมือนห้องกระจก
ประเทศเยอรมนี
อาสนวิหารเวิมส์ (ภาษาอังกฤษ: Worms Cathedral) เป็นอาสนวิหารแบบโรมาเนสก์ที่สร้างระหว่างปี ค.ศ. 1110 ถึงปี ค.ศ. 1181 อาสนวิหารเวิมส์ อาสนวิหารสเปเยอร์ และ อาสนวิหารไมนทซ์ ถือกันว่าเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของเยอรมนีและมีเอกลักษณ์พิเศษที่แบนนิสเตอร์ เฟล็ทเชอร์บรรยายว่าเป็น “ลักษณะที่สวยเหมือนรูป” ลักษณะนี้ต่อมาสถาปัตยกรรมแบบบาโรกนำเอาไปเป็นแบบอย่างในการสร้างวัดแบบบาโรก[8]
สรุปลักษณะสำคัญของอาสนวิหารเวิมส์[8]
- ผังเป็นกางเขนแปลง แขนกางเขนยื่นออกไปเล็กน้อย ทางเข้าแทนที่จะอยู่ด้านตะวันตกไปอยู่ทางใต้
- ด้านตะวันออกมีมุขโค้งแต่ไม่มีจรมุข และทางตะวันตกมีมุขเตี้ยซึ่งเป็นลักษณะโดยเฉพาะของโรมาเนสก์แบบเยอรมนี ซึ่งอาจจะมีอิทธิพลมาจากการสร้างหอศีลจุ่มที่เป็นอิสระจากตัววัด
- เหนือจุดตัดระหว่างทางเดินกลางและแขนกางเขนเป็นหอเตี้ยแปดเหลี่ยม ตัววัดมีหอใหญ่สองหอด้านหน้าและอีกสองหอด้านหลัง แต่ละหอก็มีมณฑปเป็นโคนและแปดเหลี่ยม
- ส่วนประกอบต่างๆ ของอาสนวิหารจะใหญ่หนักแต่ละส่วนจะชัดเจนแต่เมื่อมองรวมกันจะคล้องจองกัน การจัดกลุ่มจะเน้นทรงเรขาคณิตและความเป็นสามมิติ
- ทางเข้าเป็นแบบกอธิคที่ตกแต่งอย่างสวยงามประกบสองข้างด้วยคูหาสวดมนต์ซึ่งเป็นการเน้นความสำคัญของสิ่งก่อสร้าง เพราะวัดไม่มีด้านหน้าจึงไม่มีการตกแต่งด้านหน้าอย่างวัดอื่น เป็นการเน้นการมองสิ่งก่อสร้างทั้งชิ้นรวมอย่างกันอย่างอ็อบเจกต์สามมิติ
- แสงอาทิตย์สามารถส่องลงมาบนกำแพงวัดโดยไม่มีสิ่งตกแต่งกีดขวางเป็นการเน้นตัวสิ่งก่อสร้างมากกว่าเครื่องตกแต่ง
- ภายนอกตกแต่งอย่างง่ายๆ ด้วยเสาอิง และซุ้มบอด (blind arcading) เช่นเดียวกับการตกแต่งของอาสนวิหารปิซาที่ประเทศอิตาลี
- การตกแต่งภายในเน้นช่องว่างและความโปร่งมากกว่าจะใช้สิ่งตกแต่งที่รุงรัง ยกเว้นแท่นบูชา
- ทัศนศิลป์ที่ใช้ก็สื่อเรื่องราวก็แท่นบูชาแบบบาโรกซึ่ง “ระเบิด” ออกมาจากมุขด้านตะวันออกเต็มไปด้วยรูปปั้นและยุวเทพ
หมายเหตุ: เนื้อหาส่วนนี้ย่อมาจาก: แบนนิสเตอร์ เฟล็ทเชอร์[8] ลารูส[11] และ โทมาน (Toman) [15]
ตัวอย่างอาสนวิหารอื่นๆ ในประเทศเยอรมนี:
ประเทศสเปน
อาสนวิหารเบอร์โกส (ภาษาอังกฤษ: Burgos Cathedral) เริ่มสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1221 เป็นสถาปัตยกรรมหลายแบบตามที่แบนนิสเตอร์ เฟล็ทเชอร์บรรยายว่าเป็น “อาสนวิหารของสเปนที่มีอรรถรสที่สุด” (“the most poetic of Spanish cathedrals”) [8]
สรุปลักษณะสำคัญของอาสนวิหารเบอร์โกส[8]
- ผังเป็นกางเขนที่มีทางเดินกลางค่อนข้างกว้าง ผังภายในจะสลับซับซ้อนด้วยคูหาสวดมนต์ที่ผนวกกับตัววัดไปทั่วทุกมุมแต่ไม่เห็นชัดจากภายนอกเพราะมีวังของบาทหลวงที่สร้างติดด้านใต้ของวัดพรางไว้
- ด้านหลังมีมุขโค้งล้อมรอบด้วยคูหาสวดมนต์กระจายออกมาจากมุขที่เรียกว่า “chevet” แบบฝรั่งเศส คูหาสวดมนต์ใหญ่ในบริเวณนี้ที่ควรจะกล่าวถึงคือ Capilla del Condestable
- ภายในที่น่าสนใจที่สุดคือทางเดินที่กว้างและโครงสร้างมีลักษณะโปร่ง
- การจัดแต่งภายในเป็นลักษณะของอาสนวิหารสเปนที่จะเอาคริสต์พิธีมณฑลไว้ทางด้านตะวันตกของแขนกางเขนแทนที่จะเป็นทางตะวันออกเช่นประเทศอื่น
- เหนือจุดตัดระหว่างทางเดินกลางและแขนกางเขนเป็น “หอโคมไฟ” (lantern tower)
- ภายนอกไม่สามารถมองสิ่งก่อสร้างทั้งหมดพร้อมกันทีเดียวได้ นอกจากจะมองจากไกลๆ ซึ่งจะเห็นหอมหึมาสองหอและมณฑปโคมไฟของ Capilla del Condestable ซึ่งเป็นโครงร่างที่น่าดู
- ด้านหน้าเป็นลักษณะแบบทางเหนือของฝรั่งเศสแต่ยังมีพื้นที่ที่มิได้มีการตกแต่งทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างบริเวณที่มีการตกแต่งกับบริเวณที่เรียบของพื้นผิวของสิ่งก่อสร้าง
- หอใหญ่โตสองหอมีมณฑปตกแต่งด้วยลายฉลุแบบเยอรมนี
- นอกจาก facade ด้านหน้าวัดแล้วก็ยังมีอีกสอง facade ที่ปลายสองข้างของแขนกางเขน แต่ละ facade ก็มีประตูที่แกะสลักอย่างวิจิตร
- การตกแต่งเป็นการผสมศิลปะจากหลายยุค รวมทั้งกอธิคแบบเยอรมนีและฝรั่งเศส พร้อมด้วยโค้งครึ่งวงกลมจากโรมาเนสก์ ลวดลายแบบมัวร์ และที่ประตูกลางเป็นมีจั่วแบบเรอเนสซองซ์ สิ่งที่น่าสนใจคือฉากใหญ่สองฉากที่ดูคล้ายหน้าต่างฉลุ
- ทัศนศิลป์ที่ใช้ก็สื่อเรื่องราวก็มี รูปปั้น หน้าต่างประดับกระจกสี และภาพเขียน
หมายเหตุ: เนื้อหาส่วนนี้ย่อมาจาก: แบนนิสเตอร์ เฟล็ทเชอร์[8]และ ลารูส[11]
ตัวอย่างอาสนวิหารอื่นๆ ในประเทศสเปน:
อาสนวิหารโทลีโด
(Cathedral of Toledo)
อาสนวิหารซานติเอโกเดอคอมโพสเตลลาสร้างบนฐานโรมาเนสก์
อาสนวิหาร Ceuta มีหน้าต่างกลมเป็นแนวใต้เชิงชาย
อาสนวิหารบาร์เซโลนา หอกลางเป็นหินปรุ
บาซิลิกาซากราดาแฟมมิเลีย (Sagrada Família) ที่
บาร์เซโลนา