ที่มาของสิ่งก่อสร้าง ของ สถาปัตยกรรมอาสนวิหารในยุโรปตะวันตก

อาสนวิหารนักบุญยอห์น ลาเตรัน แสดงให้เห็นระเบียงฉันนบถและซุ้มคอร์ทยาร์ด (courtyard) ที่ตกแต่งโดยตระกูลคอสมาติ (Cosmati family)อาสนวิหารนักบุญยอห์น ลาเตรัน กรุงโรม ผังของบาซิลิกามาหยุดที่คูหาโค้งบริเวณที่ทำพิธี ฟรานเซสโก บอโรมินิ มาเปลี่ยนทางเดินสู่แท่นบูชาเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 17thที่บรรจุศพที่วัดซานตาคอสแตนซา (Mausoleum of Santa Costanza) ที่โรมมีชาเปลกลมสร้างโดยพระเจ้าคอนแสตนตินเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 4ผังของอาสนวิหารเซนต์ปีเตอร์

โครงสร้างของอาสนวิหารวิวัฒนาการมาจากสิ่งก่อสร้างโรมันโบราณซึ่งประกอบด้วย

  • โบสถ์ในบ้าน (house church)
  • เอเทรียม (atrium)
  • บาซิลิกา (basilica)
  • ยกพื้น (bema)
  • ที่เก็บศพ (mausoleum)
  • ผังที่เป็นกากบาท (Greek cross) หรือ กางเขน (Latin cross)

โบสถ์ในบ้าน

การสร้างโบสถ์ใหญ่ ๆ ทางคริสต์ศาสนาเริ่มสร้างกันที่กรุงโรมเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 4 เมื่อจักรพรรดิคอนแสตนตินที่ 1 ประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมายของจักรวรรดิโรมัน โบสถ์ใหญ่ ๆ ที่สร้างสมัยนั้นก็ได้แก่ “อาสนวิหารซันตามาเรียมัจโจเร” “อาสนวิหารนักบุญเปโตร ” และ “อาสนวิหารนักบุญยอห์น ลาเตรัน” ทั้งสามอาสนวิหารล้วนแต่มีรากฐานมาจากคริสต์ศตวรรษที่ 4 แต่ที่สำคัญที่สุดคืออาสนวิหารนักบุญยอห์น ลาเตรัน ซึ่งถือว่าเป็นอาสนวิหารแห่งกรุงโรม โครงสร้างจากศตวรรษที่ 4 ของโบสถ์นี้เหลืออยู่เพียงฐาน[9]

เอเทรียม

ชุมชนคริสต์ศาสนิกชนและชาวโรมันจะทำการสักการบูชาภายในที่อยู่อาศัยของตนเอง ในสมัยต่อมาก็มีการสร้างวัดขึ้นจากบ้านที่เดิมเคยใช้เป็นสถานที่สักการะ บ้านเหล่านี้ก็ยังเห็นกันอยู่บ้างในปัจจุบัน โครงสร้างเดิมไม่เหลือนอกจากส่วนที่เป็นเอเทรียม หรือ ลานที่มีซุ้มรอบ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือที่บาซิลิกาซานเคลเมนท์เท (Basilica of San Clemente) ที่โรม เอเทรียมกลายมาเป็นโครงสร้างที่นิยมใช้กันต่อมาที่มาเรียกกันว่าระเบียงฉันนบถโดยเฉพาะอาราม ระเบียงคดที่ว่านี้มักจะสร้างติดกับตัวอาสนวิหารทางด้านใต้เป็นซุ้มรอบลานสี่เหลี่ยม ระเบียงฉันนบถที่ยังหลงเหลือในปัจจุบันส่วนใหญ่จะสร้างมาตั้งแต่สมัยโรมาเนสก์ แต่ที่เป็นแบบกอธิคก็มีบ้างเช่นที่ อาสนวิหารซอลสบรี หรือ อาสนวิหารกลอสเตอร์ ที่อังกฤษ

บาซิลิกา

โบสถ์ในสมัยแรกมิได้เริ่มจากโบสถ์โรมันเพราะโบสถ์โรมันมิใช่เป็นสถานที่สำหรับการพบปะกันของคนกลุ่มใหญ่ ส่วนใหญ่ภายในโบสถ์โรมันจะไม่มีที่ว่างมากสำหรับผู้มาชุมนุมกัน สิ่งก่อสร้างที่ชาวโรมันใช้ในการประชุมหรือพบปะสำหรับคนกลุ่มใหญ่ หรือที่ใช้เป็นตลาด หรือศาลคือสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่า “บาซิลิกา” (basilica) ซึ่งนำเอามาเป็นแบบอย่างในการสร้างโบสถ์คริสต์ใหญ่ ๆ และบางแห่งก็ยังคงเรียกกันว่าบาซิลิกา ทั้งบาซิลิกาและสถานที่อาบน้ำสาธารณะของโรมันจะสร้างภายใต้หลังคาโค้งสูงมีคูหารอบ ลักษณะสำคัญอีกอย่างหนึ่งของสถาปัตยกรรมบาซิลิกาโรมันคือด้านหน้าและด้านหลังจะเป็นมุขโค้งที่ยื่นเป็นครึ่งวงกลมออกมา (exedra หรือ apse) ซึ่งจะใช้เป็นที่นั่งศาล ลักษณะมุขโค้งนี้ก็เอามาใช้ในสถาปัตยกรรมการสร้างอาสนวิหาร[9] โดยเฉพาะทางด้านตะวันออกหรือด้านหลังของวัด ซึ่งเป็นบริเวณที่สำคัญที่สุดของวัด ทางด้านหน้าส่วนใหญ่จะปาดเรียบ

โบสถ์ใหญ่แห่งแรกที่สร้างคืออาสนวิหารนักบุญยอห์น ลาเตรันที่กรุงโรม ด้านหนึ่งเป็นมุขยื่นออกมาและอีกด้านหนึ่งเป็นซุ้มรอบโถงกลาง เมื่อคริสต์ศาสนพิธีวิวัฒนาการขี้น กระบวนแห่ของนักบวช นักร้องเพลงสวด หรือสิ่งประกอบพิธีเข้ามาในวัดก็เป็นส่วนหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมา จึงเกิดการทำประตูสำหรับให้ขบวนเดินเข้ามาในโบสถ์ ประตูนี้มักจะอยู่มุมใดมุมหนึ่งของวัด ในขณะที่ประตูสำหรับคริสต์ศาสนิกชนผู้เข้าร่วมทำพิธีจะอยู่กลางด้านใดด้านหนึ่งของสิ่งก่อสร้างตามกฎของการสร้างบาซิลิกา ซึ่งสถาปัตยกรรมการก่อสร้างอาสนวิหารใช้เป็นหลักต่อมา[10]

ยกพื้น

เมื่อมีนักบวชเพิ่มขึ้นความต้องการเนี้อที่ในการทำพิธีภายในก็มากขึ้น มุขโค้งท้ายโบสถ์ซึ่งเป็นที่ตั้งแท่นบูชาหรือแท่นซึ่งเป็นที่วางเครื่องสำหรับทำพิธีโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์ เช่น ขนมปังและเหล้าองุ่นก็ใหญ่ไม่พอที่จะรับนักบวชที่เข้ามาร่วมทำพิธี จึงจำเป็นต้องมีการขยายบริเวณนั้นโดยการยกบริเวณพิธีให้สูงขึ้นจากระดับพื้นของวัดอย่างที่สถาปัตยกรรมแบบโรมันเรียกว่า “bema” ยกพื้นจึงกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของบริเวณพิธี เช่นที่อาสนวิหารนักบุญเปโตรที่ยกพื้นยื่นเลยออกไปจนถึงทางขวางจนทำให้เหมือนรูปตัว “T” และมีมุขโค้งยื่นออกไปด้านหลัง รูปทรงของโบสถ์จึงเริ่มกลายมาเป็นทรงกางเขนแบบละติน (Latin cross) ซึ่งเป็นผังที่นิยมกันในการสร้างอาสนวิหารส่วนใหญ่ทางยุโรปตะวันตก โดยที่แนวดิ่งของกางเขน หรือแนวตะวันตกตะวันออก หรือส่วนที่ยาวกว่าของกางเขนเรียกว่า “ทางเดินกลาง” (Nave) กระหนาบด้วย “ทางเดินข้าง” (Aisle) ส่วนที่เป็นแขนกางเขนที่ตัดกับทางเดินกลางเรียกว่า “แขนกางเขน” หรือ “ปีกซ้ายขวา” (Transept) [10]

ที่บรรจุศพ

สิ่งที่มีอิทธิพลต่อการสร้างอาสนวิหารมากที่สุดก็เห็นจะเป็น ที่บรรจุศพ (Mausoleum) ที่บรรจุศพของผู้มีฐานะของโรมันมักจะเป็นสิ่งก่อสร้างทรงสี่เหลี่ยมหรือกลมหลังคาเป็นโดม ที่บรรจุศพใช้เป็นที่เก็บศพในโลงหิน จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงสร้างที่บรรจุศพสำหรับพระราชธิดาคอนสแตนตินาและเฮเลนา ซึ่งเป็นทรงกลมล้อมรอบด้วยซุ้มทางเดิน ต่อมาที่บรรจุศพของนักบุญคอนสแตนตินากลายมาเป็นสถานที่สำหรับสักการะและเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาสิ่งแรกที่เป็นทรงกลมแทนที่จะเป็นทรงกางเขน สิ่งก่อสร้างสำหรับการสักการะอีกสิ่งหนึ่งในกรุงโรมที่เป็นทรงกลมคือตึกแพนธีอัน ซึ่งมีภายในเป็นคูหารายด้วยรูปปั้น ลักษณะการวางจัดรูปปั้นในคูหาแบบนี้กลายมาเป็นลักษณะสำคัญในการสร้างคูหาสวดมนต์ ภายในอาสนวิหาร[5][9] ซึ่งมักจะเป็นมุขโค้งและมีรูปปั้นแสดงอยู่กลางมุข

ทรงกางเขน และ ทรงกากบาท

โบสถ์ยุโรปตะวันตกมักจะนิยมผังแบบกางเขนละติน (Latin cross) ขณะที่ทางตะวันออกหรือทางไบแซนไทน์จะนิยมแบบกากบาท (Greek cross) ล้อมรอบด้วยมุขโค้งและหลังคาโดม สิ่งก่อสร้างที่สำคัญที่สุดในลักษณะนี้คือ Hagia Sophia ที่กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี ซึ่งเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 4 เป็นโบสถ์คริสต์ศาสนาสร้างโดยจักรพรรดิคอนแสตนตินที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมัน หรือโบสถ์เซ็นต์แมรีผู้ศักดิ์สิทธิ ที่เมือง เอเธนส์ ประเทศกรีซ สิ่งก่อสร้างเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่มีอิทธิต่อสถาปัตยกรรมการก่อสร้างอาสนวิหารต่อมาในยุโรปตะวันตก[8][9]

ใกล้เคียง

สถาปัตยกรรมบารอก สถาปัตยกรรมอาสนวิหารในยุโรปตะวันตก สถาปัตยกรรมมหาวิหารสมัยกลางในอังกฤษ สถาปัตยกรรมกอทิกแบบอังกฤษ สถาปัตยกรรมอินเดีย สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ สถาปัตยกรรมไทย สถาปัตยกรรมมาซิโดเนียเหนือ สถาปัตยกรรมกอทิก สถาปัตยกรรมแบบอิตาลี

แหล่งที่มา

WikiPedia: สถาปัตยกรรมอาสนวิหารในยุโรปตะวันตก http://www.stephansdom.at/data http://www.cathedraledeparis.com/ http://www.lincolncathedral.com/ http://www.paradoxplace.com/Photo%20Pages/UK/Brita... http://www.xrysostom.com/askthepastor/columns/0190... http://www.koelner-dom.de/ http://www.mcah.columbia.edu/Amiens.html http://www.stpatrickscathedral.ie/ http://www.basilicasanmarco.it/ http://www.duomofirenze.it/