เตโตรโดท็อกซิน (
อังกฤษ: tetrodotoxin,
ตัวย่อ: TTX) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า
เตโตรด็อก (tetrodox) มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น Anhydrotetrodotoxin, 4-epitetrodoxin, Tetraodonic acid เป็นชื่อเรียก
พิษที่อยู่ในตัว
ปลาปักเป้าเตโตรโดท็อกซินมี
สูตรเคมีว่า C11 H17 N3 O8 มี
น้ำหนักโมเลกุล 319.268 โดยสกัดครั้งแรกได้จาก
นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นชื่อ ดร.โยชิซูมิ ทาฮาระ ในปี
ค.ศ. 1909 เตโตรโดท็อกซิน เป็นสารพิษชนิดที่ออกฤทธิ์ทำลาย
ระบบประสาท โดยจะเข้าไปจับกับ
fast sodium channel ของ
ผนังหุ้มเซลล์ประสาทก่อให้เกิดการ
action potential ทำให้ไม่สามารถส่งสัญญาณประสาทได้ ซึ่งส่งผลต่อเซลล์ประสาททั่วร่างกายยกเว้นเซลล์ประสาทที่
หัวใจ เมื่อพิษดังกล่าวส่งผลทำลายประสาทจะทำให้เซลล์ประสาทของ
กล้ามเนื้อไม่สามารถส่งสัญญาณให้กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวทำงานได้ กล้ามเนื้อจึงเป็น
อัมพาต และเมื่อกล้ามเนื้อเป็นอัมพาตก็ส่งผลต่อกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับ
ระบบหายใจเป็นอัมพาตตามด้วย ทำให้ผู้ได้รับพิษหายใจไม่ออกและเสียชีวิตจากการหายใจไม่ออก
[1]อาการกว่าพิษจะกำเริบใช้เวลาประมาณ 20 นาทีถึง 3 ชั่วโมง ในบางกรณีอาจแสดงอาการเพียงแค่ 4 นาที เท่านั้นจากการรับประทานปลาปักเป้าเข้าไป โดยจะมีอาการชาที่
ปากและ
ลิ้น มีอาการชาและ
ชักกระตุกบริเวณ
ใบหน้าและ
แขนขา ปวดศีรษะ ปวดท้อง มีอาการคลื่นไส้
อาเจียน และอาจมีอาการ
ท้องเสีย กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต ชัก
หมดสติ การเต้นของหัวใจช้าลง
ความดันโลหิตต่ำ และเสียชีวิตได้ ส่วนอาการที่รุนแรงที่สุดคือ เกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อช่วยหายใจ ทำให้ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตในเวลา 4-6 ชั่วโมง แต่ก็มีรายงานการเสียชีวิตเร็วที่สุดหลังจากได้รับพิษไปเพียง 20 นาทีเท่านั้นแท้จริงแล้วการสร้างพิษในปลาปักเป้ามิได้เกิดจาก
เซลล์ของตัวปลาเอง นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าเกิดจากการที่ปลาปักเป้าไปกิน
แพลงก์ตอนบางชนิดในกลุ่ม
ไดโนแฟลกเจลเลตที่มีพิษ หรือกินหอยหรือหนอนที่กินแพลงก์ตอนดังกล่าวเข้าไป ทำให้เกิดสารพิษสะสม หรืออาจเกิดจาก
แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของปลา
[2]เตโตรโดท็อกซิน มีความรุนแรงกว่า
ไซยาไนด์ถึง 1,200 เท่า และทน
ความร้อนได้สูงถึง 200
องศาเซลเซียส ดังนั้นจึงไม่สามารถทำลายพิษได้ด้วยการใช้ความร้อนปกติในการปรุงอาหาร และไม่มี
ยาแก้พิษใด ๆ ต่อต้านได้ ซึ่งเตโตรโดท็อกซินนั้นอยู่ใน
อวัยวะทุกส่วนของปลาปักเป้า โดยที่มีปริมาณการสะสมของพิษไม่เท่ากัน ส่วนที่สะสมพิษมาก ได้แก่
รังไข่,
อัณฑะ,
ตับ,
ผิวหนัง และ
ลำไส้ พบน้อยในกล้ามเนื้อ แต่แม้การรับประทานเนื้อปลาไปเพียงแค่ 1
มิลลิกรัม ก็ทำให้เสียชีวิตได้ ยิ่งโดยเฉพาะผู้มีอาการแพ้อย่างรุนแรงมีโอกาสเสียชีวิตได้สูงถึงร้อยละ 50 หากได้รับพิษเข้าไป การที่ปลาปักเป้ามีพิษที่ร้ายแรงเช่นนี้ในร่างกายก็เพื่อป้องตัวกันจากการถูกกินจาก
สัตว์อื่นนั่นเอง ซึ่งพิษของปลาปักเป้านั้นไม่ได้แปรเปลี่ยนไปตามสภาพสิ่งแวดล้อมหรือฤดูกาลเช่นเดียวกับ
แมงดาทะเลนอกจากนี้แล้ว ในตัวปลาปักเป้าเองยังมีพิษอีกชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายเตโตรโดท็อกซิน นั่นคือ
ซาซิท็อกซิน (Saxitoxin, STX) ซึ่งมักพบในปลาปักเป้าที่อยู่ในน้ำจืดซึ่งการปรุงปลาปักเป้าเพื่อการรับประทาน นิยมกันมากในแบบ
อาหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะการทำเป็น
ซาซิมิหรือปลาดิบ ใน
ประเทศญี่ปุ่น พ่อครัวที่จะแล่เนื้อปลาและปรุง ต้องขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตจากทางการเสียก่อน ซึ่งจากการศึกษาวิจัยในประเทศญี่ปุ่น พบว่าผู้ที่ได้รับพิษจากปลาปักเป้าร้อยละ 50 เกิดจากการกินตับของปลา ร้อยละ 43 เกิดจากการกินไข่ และร้อยละ 7 เกิดจากการกินหนัง
[3]โดยปลาปักเป้าชนิดที่มีสารพิษในตัวน้อยที่สุดหรือแทบไม่มีเลย คือ
Takifugu oblongus ที่พบในน่านน้ำของแถบ
อินโด-แปซิฟิก แต่กระนั้นก็ยังสามารถทำให้ผู้ที่รับประทานเข้าไปเสียชีวิตอยู่ดี
[4]