ตัวอย่าง ของ เศรษฐยาธิปไตย

ตัวอย่างของเศรษฐยาธิปไตยในอดีตรวมทั้งจักรวรรดิโรมัน, นครรัฐบางรัฐในกรีซโบราณ, อารยธรรมคาร์เธจ, นครรัฐ/สาธารณรัฐวาณิชต่าง ๆ ในอิตาลีรวมทั้ง สาธารณรัฐเวนิส สาธารณรัฐฟลอเรนซ์ (โดยตระกูลเมดีชี) กับสาธารณรัฐเจนัว, และจักรวรรดิญี่ปุ่นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (โดยกลุ่มไซบัตสึ)ตามนักปฏิบัติการทางการเมืองโนม ชอมสกี และอดีตประธานาธิบดีสหรัฐ จิมมี คาร์เตอร์ สหรัฐอเมริกาในปัจจุบันมีการปกครองคล้ายกับเศรษฐยาธิปไตย แม้จะมีรูปแบบของประชาธิปไตย[14][15]

ตัวอย่างปัจจุบันที่ชัดเจนตามผู้วิพากษ์วิจารณ์บางท่านก็คือนครลอนดอน[16]คือ นครลอนดอน (ซึ่งไม่ใช่กรุงลอนดอนทั้งหมด แต่เป็นเขตนครโบราณ ใหญ่ประมาณ 2.5 ตาราง กม. ซึ่งปัจจุบันเป็นเขตการเงิน) มีระบบการเลือกตั้งพิเศษเพื่อบริหารจัดการท้องที่ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงกว่า 2 ใน 3 ไม่ใช่เป็นผู้อยู่อาศัยในพระนคร แต่เป็นผู้แทนธุรกิจและองค์กรอื่น ๆ ที่อยู่ในนคร โดยมีคะแนนเสียงตามจำนวนลูกจ้างที่มีเหตุผลหลักก็คือ ธุรกิจเป็นผู้ใช้บริการของนครโดยมากคือ มีบุคคลที่เข้ามาทำงานในเมืองประมาณ 450,000 คน มากกว่าผู้อาศัยอยู่ในเมืองเพียงแค่ 7,000 คน[17]

ประเทศไทย

บล็อกประชาไทอ้างว่า ประเทศไทยก็มีรูปแบบบางอย่างของธนาธิปไตย รวมทั้งการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีของนครเชียงใหม่ล่าสุดก่อนบล็อก ที่อาศัยเงิน และคนชนะได้มาจากตระกูลเดียวที่มั่งคั่งของจังหวัดเชียงใหม่[2]

จีนก่อนคอมมิวนิสต์

ในประเทศจีนก่อนการปฏิวัติโดยพรรคคอมมิวนิสต์ในปี พ.ศ. 2492 กล่าวกันว่าอำนาจการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ อยู่ใต้อำนาจของชนสี่ตระกูล ได้แก่ ตระกูลเจียง (Jiang) ตระกูลซ่ง (Song) ตระกูลคุง (Kung) และตระกูลเชน (Chen) ทั้งนี้สามตระกูลแรกจะเกี่ยวดองกันโดยการแต่งงานกัน และมีบทบาทอย่างสูงต่อการเมืองจีนในยุคนั้น

สหรัฐอเมริกา

นักประวัติศาสตร์ นักการเมือง และนักเศรษฐศาสตร์ปัจจุบันบางคนอ้างว่า สหรัฐอเมริกาเท่ากับเป็นเศรษฐยาธิปไตยอย่างน้อยก็บางส่วนในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1870 จนถึง 1900 (Gilded Age) และในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1890 ถึง 1920 (Progressive Era) ภายหลังสงครามกลางเมืองอเมริกาจนกระทั่งถึงเริ่มภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่[18][19][20][21][22][23]ประธานาธิบดีธีโอดอร์ โรสเวลต์ กลายมามีชื่อเสียงฐานมือปราบผู้ผูกขาดทางการค้า (หรือที่เรียกว่าทรัสต์) โดยใช้กฎหมายต่อต้านทรัสต์ แตกบริษัทรถไฟ (Northern Securities Company) และบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุด (Standard Oil)[24]ตามนักประวัติศาสตร์คนหนึ่ง "ในเรื่องการเมืองในประเทศ สิ่งที่ธีโอดอร์ โรสเวลต์ เกลียดที่สุดก็คือเศรษฐยาธิปไตย"[25]ในอัตชีวประวัติเรื่องการจัดการบริษัทผูกขาดในฐานะประธานาธิบดี โรสเวลต์เล่าว่า

…เราได้มาถึงเวลาที่เพื่อประโยชน์ประชาชน สิ่งที่จำเป็นก็คือประชาธิปไตยที่แท้จริง และในบรรดารูปแบบทรราชย์ทั้งหลาย ที่น่าพิสมัยน้อยที่สุด ที่สามานย์มากที่สุด ก็คือทรราชย์ที่อาศัยความมั่งคั่ง ระบอบทรราชย์ของเศรษฐยาธิปไตย

ธีโอดอร์ โรสเวลต์ (พ.ศ. 2456)[26]

เมื่อกฎหมายต่อต้านทรัสต์เชอร์แมนได้ผ่านเป็นกฎหมายในปี 2433 อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้ถึงระดับการผูกขาดหรือใกล้การผูกขาดในเรื่องการผลิตและเงินทุน โดยรวบรวมบริษัทเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมทั้งคนมั่งคั่งมากผู้เป็นประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่กี่คน ก็เริ่มมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เหนืออุตสาหกรรม มติมหาชน และการเมืองหลังสงครามการเมืองตามนักปฏิบัติการหัวก้าวหน้าและนักข่าวคนหนึ่งในเวลานั้น

เงินเป็น 'ปูนของตึกใหญ่นี้' โดยความแตกต่างทางคตินิยมระหว่างนักการเมืองก็กำลังเลือนไป และวงการเมืองก็กำลังกลายเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของธุรกิจที่ใหญ่กว่า ที่ผสมผสานกันดีกว่า โดยผ่านพรรคการเมืองที่ขายผลประโยชน์ให้กับบริษัทยักษ์อย่างเป็นรูปธรรม รัฐก็กลายเป็นเพียงแค่แผนกหนึ่งของบริษัท

– Walter Weyl - นักปฏิบัติการหัวก้าวหน้าและนักข่าว[27]

ในหัวข้อเรื่อง การเมืองแห่งเศรษฐยาธิปไตย (The Politics of Plutocracy) นักเศรษฐศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ พอล ครุ๊กแมน กล่าวว่า[28] เศรษฐยาธิปไตยในสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นได้ในเวลานั้นอาศัยปัจจัยสามอย่าง คือ

  • ในเวลานั้น ผู้อาศัยอยู่ในอเมริกา 1/4 ที่ยากจนที่สุด (รวมทั้ง ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา และผู้ย้ายถิ่นที่ยังไม่แปลงสัญชาติ) ไม่มีสิทธิลงคะแนนเสียง
  • เศรษฐีให้เงินทุนการหาเสียงแก่นักการเมืองที่ตนชอบ
  • และการซื้อเสียงเป็นเรื่องที่ "ทำได้ ง่าย และแพร่หลาย" ซึ่งก็เป็นจริงแม้ในการฉ้อฉลการเลือกตั้งอื่น ๆ เช่น การลงคะแนนเกินครั้งเดียว และการข่มขู่ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง

แม้สหรัฐจะได้เริ่มเก็บภาษีอัตราก้าวหน้าตั้งแต่ปี 2456 แล้ว แต่ตามนักสังคมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียคนหนึ่ง เริ่มตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 อภิสิทธิชนได้ใช้อำนาจทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อลดภาษีของตน และปัจจุบันได้ใช้ "อุตสาหกรรมป้องกันรายได้" เพื่อลดภาษีของตนได้อย่างมหาศาล[29]

ในปี 2541 นักข่าวคนหนึ่งของหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ เรียกเศรษฐีทรงอำนาจ (plutocrat) ชาวอเมริกันว่า "คนชั้นบริจาค"[30][31]และนิยามคนชั้นนี้เป็นครั้งแรกว่าเป็น[32]

คนกลุ่มเล็กมาก เพียง 1 ใน 4 ของคนเปอร์เซ็นต์เดียว (คือ 0.25%) และเป็นกลุ่มประชากรที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของคนทั้งชาติที่เหลือ แต่เงินของพวกเขาสามารถซื้อการเข้าถึงผู้แทนได้อย่างสบาย

– Bob Herbert - นักข่าวของหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์[30]

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ในยุคปัจจุบัน คำนี้บางครั้งใช้ในทางลบโดยหมายถึงสังคมที่มีรากในทุนนิยมที่รัฐร่วมมือกับธุรกิจ หรือสังคมที่ให้ความสำคัญกับการสั่งสมความมั่งคั่งมากกว่าประโยชน์อื่น ๆ[33][34][35][36][37][38][39][40][41]ตามนักเขียนที่เป็นกุนซือทางการเมืองของริชาร์ด นิกสัน สหรัฐเป็นเศรษฐยาธิปไตยที่เป็น "การหลอมรวมของเงินและรัฐบาล"[42]

ส่วนนักเขียนและรัฐมนตรีของแคนาดา Chrystia Freeland[43]กล่าวว่า แนวโน้มไปสู่เศรษฐยาธิปไตยในปัจจุบันเกิดขึ้นเพราะเศรษฐีรู้สึกว่าผลประโยชน์ของตนก็เป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย[44][45]คือ

คุณไม่ทำอย่างนี้โดยหัวเราะอย่างถูกใจ สูบซิการ์ แล้วสมรู้ร่วมคิด คุณทำโดยกล่อมตัวเองว่า สิ่งที่เป็นประโยชน์ของตัวเองก็เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ๆ ดังนั้น คุณย่อมกล่อมตัวเองว่า ในที่สุดแล้ว การบริการของรัฐบาล อะไร ๆ เช่นงบประมาณเพื่อการศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างสมรรถภาพการเปลี่ยนสถานภาพทางสังคมประการแรก ต้องตัดออกเพื่อการขาดดุลจะได้ลดลง เพื่อภาษีของคุณจะได้ไม่เพิ่มขึ้น และสิ่งที่ดิฉันเป็นห่วงมากก็คือ คนระดับสูงสุดมีเงินและมีอำนาจมากจริง ๆ และช่องว่างระหว่างชนเหล่านั้นกับคนอื่น ๆ ใหญ่โตมาก จนกระทั่งเราจะเริ่มเห็น สมรรถภาพการเปลี่ยนสถานภาพทางสังคมถูกบีบจนหายใจไม่ออก แล้วสังคมก็จะเปลี่ยนไป

– Chrystia Freeland - นักเขียนและรัฐมนตรีของแคนาดา

เมื่อนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล โจเซฟ สติกลิตส์ เขียนบทความในนิตยสารปี 2554 ชื่อว่า "ของประชาชน 1% โดยประชาชน 1% และสำหรับประชาชน 1%" (เลียนสุนทรพจน์ที่เกตตีสเบิร์กปี 2406 ของอับราฮัม ลินคอล์นเกี่ยวกับรัฐบาลของประชาชนเป็นต้น) เขาได้ให้ข้อมูลว่า สหรัฐอเมริกากำลังถูกควบคุมโดยคนที่รวยที่สุด 1% เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ[46][47]นักวิจัยบางท่านได้กล่าวว่า สหรัฐอาจจะกำลังระเหเร่ร่อนไปสู่รูปแบบหนึ่งของคณาธิปไตย เพราะประชาชนแต่ละคนมีอิทธิพลน้อยกว่าอภิสิทธิชนทางเศรษฐกิจและกลุ่มผลประโยชน์ในเรื่องนโยบายของรัฐ[48]

งานศึกษาทางรัฐศาสตร์ปี 2557 ที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันและมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น[49]กล่าวว่า "งานวิเคราะห์แสดงว่า ประชาชนอเมริกันส่วนมากความจริงมีอิทธิพลต่อนโยบายที่รัฐออกน้อยมาก" แม้นักวิชาการทั้งสองท่านจะไม่ได้ระบุสหรัฐว่าเป็นระบอบคณาธิปไตย หรือเศรษฐยาธิปไตย โดยตัวเองแต่ก็ยังเรียกสหรัฐว่า คณาธิปไตยแบบศิวิไลซ์ (civil oligarchy) ดังที่นิยามโดยนักรัฐศาสตร์อีกท่านหนึ่งที่มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น[50]

รัสเซีย

รายงานปี 2556 ของธนาคารสวิสที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก (Credit Suisse) กล่าวว่า

รัสเซียมีความไม่เสมอภาคทางทรัพย์สินระดับสูงสุดในโลก นอกเหนือจากประเทศแคริบเบียนเล็ก ๆ ที่มีผู้อยู่อาศัยเป็นอภิมหาเศรษฐี (billionaire) ทั่วโลก จะมีอภิมหาเศรษฐีคนหนึ่งทุก ๆ 170,000 ล้านเหรียญสหรัฐของทรัพย์สินประชาชน (แต่) รัสเซียมีหนึ่งคนทุก ๆ 11,000 ล้านเหรียญ ทั่วโลก อภิมหาเศรษฐีรวมกันมีทรัพย์สิน 1%-2% ของทรัพย์สินประชาชนทั้งหมด (แต่) ในรัสเซียทุกวันนี้ อภิมหาเศรษฐี 110 คนมีทรัพย์สิน 35% ของประชาชนทั้งหมด

– รายงานความมั่งคั่งทั่วโลก ของธนาคาร Credit Suisse [51]

แหล่งที่มา

WikiPedia: เศรษฐยาธิปไตย http://www.bartleby.com/55/12.html http://billmoyers.com/episode/full-show-long-dark-... http://billmoyers.com/episode/full-show-plutocracy... http://www.csmonitor.com/USA/Politics/Politics-Voi... http://www.dhiravegin.com/detail.php?item_id=00096... http://www.merriam-webster.com/dictionary/plutocra... http://prachatai.com/journal/2009/10/26135 http://www.salon.com/2015/10/06/noam_chomsky_ameri... http://www.tandfonline.com/doi/abs/10.1080/0739314... http://ideas.time.com/2012/09/18/the-rich-havent-a...