โรคชิคุนกุนย่า[5][6] (
อังกฤษ: Chikungunya) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจาก
ไวรัสชิคุนกุนย่า[3] (
อังกฤษ: Chikungunya virus, CHIKV) ผู้ป่วยจะมีอาการ
ไข้และ
ปวดข้อ[2] โดยมักเริ่มมีอาการ 2-12 วันหลังได้รับเชื้อ
[3] อาการอื่นที่อาจพบร่วมด้วยได้แก่
ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ข้อบวม และมี
ผื่น เป็นต้น
[2] อาการเหล่านี้มักดีขึ้นเองภายในหนึ่งสัปดาห์ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดข้อได้อีกหลายเดือนหรือหลายปี
[2][7] อัตราเสียชีวิตอยู่ที่ประมาณ 1 ต่อ 1,000
[4] โดยผู้ที่มีความเสี่ยงจะเกิดโรครุนแรงได้แก่ผู้ป่วยอายุน้อย อายุมาก และผู้ที่มีโรคประจำตัวอื่นๆ
[2]โรคนี้มียุงเป็นพาหะที่สำคัญ 2 ชนิด ได้แก่
ยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) และ
ยุงลายสวน (Aedes albopictus)
[3] ซึ่งมักออกดูดเลือดในเวลากลางวัน
[8] สัตว์ที่เป็น
แหล่งรังโรคตามธรรมชาติของเชื้อนี้มีหลายชนิดรวมไปถึงนกและหนูด้วย
[3] การวินิจฉัยทำได้โดยการตรวจเลือดหาสารพันธุกรรมหรือแอนติบอดีต่อไวรัส
[3] อาการของโรคนี้คล้ายกันกับ
โรคไข้เลือดออกเดงกีและ
ไข้ซิกา[3] ปัจจุบันเชื่อกันว่าผู้ที่เคยเป็นโรคนี้แล้วจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ
[2]วิธีป้องกันโรคที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการควบคุมยุงลายและการป้องกันไม่ให้ยุงกัด
[4] อาจทำได้โดยกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย (ได้แก่ บริเวณที่มีน้ำขัง) ใช้ยาฆ่าแมลง และใช้มุ้ง
[3] ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนและยารักษาจำเพาะ
[3] การรักษาทำโดยการรักษาตามอาการ ได้แก่ ให้พักผ่อน ให้สารน้ำ และยาแก้ปวดลดไข้
[3][2]โรคนี้ส่วนใหญ่พบในแอฟริกาและเอเชีย แต่ตั้งแต่ ค.ศ. 2000 เป็นต้นมาก็พบระบาดปะทุเป็นครั้งๆ ในยุโรปและอเมริกาอยู่บ้าง
[3] ใน ค.ศ. 2014 ทั่วโลกมีผู้ป่วยต้องสงสัยว่าเป็นโรคนี้มากกว่า 1 ล้านคน
[3] ในสหรัฐเคยมีโรคนี้ระบาดในฟลอริดาและสหรัฐแผ่นดินใหญ่เมื่อ ค.ศ. 2014 แต่หลังจาก ค.ศ. 2016 เป็นต้นมาก็ไม่พบระบาดแล้ว
[9][10] ต้นกำเนิดของไวรัสชิคุนกุนยามาจาก
ทวีปแอฟริกา โดยพบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2495 บริเวณตอนใต้ของ
ประเทศแทนซาเนีย[3] ตั้งชื่อตาม
ภาษามากอนดี ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นของแอฟริกา แปลว่าทำตัวงอหรือโค้ง ตามอาการของผู้ป่วยที่อาจปวดข้อมากจนตัวงอ
[3] ในประเทศไทยโรคชิคุนกุนยาถูกพบครั้งแรกในปี พ.ศ. 2501 โดยนายแพทย์ Prof.W McD Hamnon ได้ทำการแยกเชื้อจากผู้ป่วยในโรงพยาบาลเด็ก กรุงเทพฯ และมีการระบาดขึ้นอีกในปี พ.ศ. 2519 ที่ จ.ปราจีนบุรี, ปี พ.ศ. 2531 ที่ จ.สุรินทร์, ปี พ.ศ. 2534 ที่ จ.ขอนแก่น , ปี พ.ศ. 2536 ที่ จ.เลย และพะเยา, ปี พ.ศ. 2538 ที่ จ.นครศรีธรรมราช และหนองคาย
[11]