ผลกระทบที่ตามมา ของ การปฏิวัติสยาม_พ.ศ._2231

พระวิสุทธสุนธร (ปาน) อดีตราชทูตสยามผู้เดินทางไปยังประเทศฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2228 ได้เป็นเสนาบดีกำกับกรมพระคลังและกรมท่าภายหลังการปราบดาภิเษกของสมเด็จพระเพทราชา

ฝรั่งเศสไม่สามารถกลับเข้ามาหรือจัดการโต้ตอบสยามได้แต่อย่างใด เนื่องจากขณะนั้นฝรั่งเศสติดพันกับเหตุขัดแย้งครั้งใหญ่ในทวีปยุโรป อันได้แก่สงครามสหพันธ์ออกสบูร์ก (ระหว่างปี ค.ศ. 1688-1697) และต่อเนื่องไปยังสงครามสืบราชสมบัติสเปน (ระหว่างปี ค.ศ. 1701 – 1713/14)[13]

ทางฝ่ายสยามนั้น สมเด็จพระเพทราชาได้ทรงดำเนินการขับไล่ชาวฝรั่งเศสส่วนมากออกไปจากพระราชอาณาจักร แต่สำหรับคณะมิชชันนารีนั้น หลังจากได้มีการลงโทษจำคุกเป็นระยะเวลาสั้น ๆ คณะมิชชันนารีก็ได้รับอนุญาตให้ดำเนินศาสนกิจของตนในกรุงศรีอยุธยาต่อไปแม้ว่าจะต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับบางประการ บาทหลวงหลุยส์ ลาโน (Louis Laneau) บิชอปแห่งอยุธยา ได้พ้นพระราชอาญาจำคุกเมื่อ พ.ศ. 2234 ชาวฝรั่งเศสส่วนจำนวนหนึ่งซึ่งอยู่ในฐานะของข้าราชการในพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา เช่น เรอเน ชาร์บองโน (René Charbonneau) อดีตเจ้าเมืองภูเก็ต ก็ยังคงได้รับอนุญาตให้อยู่ในกรุงศรีอยุธยาต่อไป[13]

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายสยามก็ไม่ได้ตัดขาดการติดต่อกับชาวต่างชาติไปเสียสิ้นเชิง ในวันที่ 14 พฤศจิกายน หลังจากฝรั่งเศสถอนตัวออกไปจากกรุงสยามได้ไม่นาน ก็ได้มีการทบทวนสนธิสัญญาและข้อตกลงทางพันธไมตรีระหว่างสยามกับบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ มีเนื้อหารับรองให้ชาวฮอลันดามีสิทธิผูกขาดการส่งออกหนังกวางแต่เพียงฝ่ายเดียวดังเช่นที่เคยมีข้อตกลงกันมาก่อนในอดีต และอนุญาตให้ชาวฮอลันดาสามารถทำการค้าที่ท่าเรือต่าง ๆ ของสยามได้โดยอิสระ นอกจากนี้ยังให้สิทธิในการผูกขาดการส่งออกแร่ดีบุกจากเมืองนครศรีธรรมราชอีกด้วย (เดิมได้รับพระบรมราชานุมัติจากสมเด็จพระนารายณ์มาก่อนแล้ว ตั้งแค่ พ.ศ. 2217)[14] นอกจากนี้ยังคงมีการส่งหัวหน้าสถานีการค้าของฮอลันดา (Opperhoofden) มาประจำการที่กรุงศรีอยุธยาเช่นกัน เช่น ปีเตอร์ ฟาน เดน ฮูร์น (Pieter van den Hoorn, ระหว่างปี 1688–1691) และโทมัส ฟาน ซัน (Thomas van Son, ระหว่างปี 1692–1697) เป็นต้น[15] แม้กระนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับชาติตะวันตกก็ยังคงมีอยู่เพียงประปราย และจะไม่กลับไปอยู่ในระดับเดียวกับที่เกิดขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์จนกว่าจะถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 25[16]

นอกเหนือจากการติดต่อกับชาติตะวันตกแล้ว การค้าขายกับบรรดาชาติในทวีปเอเชียด้วยกันก็ยังคงเฟื่องฟูอยู่ต่อไปจากการที่สยามยังคงเกี่ยวข้องในการค้าขายระหว่างจีน-สยาม-ญี่ปุ่น ในรัชสมัยของสมเด็จพระเพทราชา ปรากฏบันทึกว่ามีเรือสำเภาจีนเข้ามาค้าขายที่กรุงศรีอยุธยา 50 ลำ และในระยะเดียวกันนั้นก็มีเรือสำเภาถึง 30 ลำ เดินทางจากกรุงศรีอยุธยาไปยังเมืองท่านางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น[17]

ความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างสยามกับบรรดาชาติตะวันตกได้ฟื้นฟูขึ้นอีกครั้งด้วยการสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์กับสหราชอาณาจักร (ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "สนธิสัญญาเบอร์นี") ในปี พ.ศ. 2369 เริ่มมีการแลกเปลี่ยนทางการทูตกับสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2376[18] ส่วนฝรั่งเศสนั้นกว่าจะกลับมาเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการก็ต้องรอจนถึงปี พ.ศ. 2399 เมื่อจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ทรงส่งคณะทูตภายใต้การนำของชาร์ล เดอ มองติญี (Charles de Montigny) มาเจริญพระราชไมตรียังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการลงนามสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2399 เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้า รับรองเสรีภาพทางศาสนา และอนุญาตให้เรือรบฝรั่งเศสเข้ามาจอดที่กรุงเทพมหานครได้ ต่อมาในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2404 สยามจึงได้ส่งคณะทูตซึ่งนำโดยพระยาศรีพิพัฒน์ (แพ บุนนาค) จางวางกรมพระคลังสินค้า โดยสารไปกับเรือรบฝรั่งเศส เพื่อไปเจริญพระราชไมตรียังประเทศฝรั่งเศสเป็นการตอบแทน[19]

ใกล้เคียง