สาธารณรัฐอิสลามอิหร่านการประท้วงกรณีแมฮ์ซอ แอมีนี (
เปอร์เซีย: مهسا امینی) เป็นชุดการประท้วงและ
การก่อความไม่สงบที่กำลังดำเนินอยู่ใน
ประเทศอิหร่านตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2022 หลัง
การเสียชีวิตของแมฮ์ซอ แอมีนี ระหว่างที่เธอถูกตำรวจคุมขัง กล่าวกันว่าเธอถูก
สายตรวจศีลธรรมของอิหร่านทุบตีหลังจากถูกกล่าวหาว่าละเมิดรูปแบบการสวม
ฮิญาบมาตรฐานตามกฎหมายในที่สาธารณะ
[5] การประท้วงเริ่มต้นในเมืองใหญ่อย่าง
แซกเกซ,
แซแนนแดจ,
ดีวอนแดร์เร,
บอเน และ
บีจอร์ใน
จังหวัดเคอร์ดิสถาน ต่อมาจึงได้กระจายไปตามเมืองใหญ่อื่น ๆ ในประเทศอิหร่าน รวมทั้งมีการชุมนุมชาวอิหร่านในอาศัยในต่างประเทศเช่น
ทวีปยุโรป แคนาดา สหรัฐฯ ตุรกี รวมถึงในประเทศกรุง
เตหะราน[6][7]ข้อมูลเมื่อ 22 กันยายน ค.ศ. 2022 (2022 -09-22)
[update] มีผู้ประท้วงอย่างน้อย 31 รายที่เสียชีวิตจากการปราบปรามผู้ชุมนุม ถือเป็นการประท้วงที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดนับตั้งแต่
การประท้วงในปี 2019–2020 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 1,500 ราย
[1]นอกจากจะพยายามสลายการชุมนุมแล้ว
รัฐบาลอิหร่านยังจำกัดการเข้าถึงแอปพลิเคชันอย่าง
อินสตาแกรมและ
วอตแซปส์ ไปจนถึงการจำกัดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต เพื่อให้การจัดการประท้วงเป็นไปอย่างยากลำบาก ถือเป็นการจำกัดอินเทอร์เน็ตครั้งที่หนักที่สุดนับตั้งแต่
การประท้วงในปี 2019 ที่ตัดขาดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยสมบูรณ์
[8]การโจมตีผู้ชุมนุมได้นำไปสู่การที่ผู้ชุมนุมบุกทำลายสถานที่ราชการ, ฐานทัพของรัฐบาล, ศูนย์ศาสนา, เผารถตำรวจ ยังมีการฉีกทำลายป้ายโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านอเมริกา, โปสเตอร์และรูปปั้นของผู้นำสูงสุด
แอลี ฆอเมเนอี และอดีตผู้นำสูงสุด
รูฮุลลอฮ์ โคมัยนี โดยการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษา
มหาวิทยาลัยเตหะรานและมีการชุมนุมนักศึกษาในสถานศึกษาทั่วในประเทศเพื่อต้องการความยุติธรรม ต่อมาตำรวจควบุมฝูงชนได้เอาแก๊สน้ำตา รถควบคุมฝูงชน หนังสติ๊กยิง ทำให้กลุ่มผู้ชุนนุมได้รับบาดเจ็บกลุ่มสิทธิมนุษยชน
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยโดยอ้างเอกสารของทางการอิหร่านที่หลุดออกมาว่า อิหร่านมีคำสั่งให้กองกำลัง
“จัดการอย่างรุนแรง” กับผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่ออกมาประท้วงการเสียชีวิตของ มาห์ซา อะมินี ในระหว่างการถูกควบคุมตัวโดยตำรวจศีลธรรม
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล รายงานว่า กองกำลังของอิหร่านได้ใช้กำลังจนทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 52 คน ตั้งแต่เกิดการชุมนุมประท้วงเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยการยิงกระสุนจริงเข้าใส่ฝูงชนและการทุบตีผู้ชุมนุมด้วยกระบองกองกำลังอิหร่านยังได้ทุบตีและถึงเนื้อถึงตัวผู้ชุมนุมที่เป็น
ผู้หญิง ที่ออกมาประท้วงโดยการถอดผ้าคลุม
ฮิญาบเพื่อประท้วงการปฏิบัติต่อ
สตรีของระบบการปกครองเทวาธิปไตยการเสียชีวิตของมาห์ซา อะมินี หลังจากที่เธอถูกควบคุมตัวด้วยข้อหาว่าเธอสวมใส่
ฮิญาบที่หลวมเกินไปนั้น ได้ทำให้ชาวอิหร่านออกมาแสดงความโกรธแค้นอย่างมากต่อกลุ่มผู้นำทางศาสนาซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ ครอบครัวของอะมินีเปิดเผยว่า พวกเขาได้รับแจ้งว่าอะมินีถูกทำร้ายจนเสียชีวิตในระหว่างการถูกควบคุมตัว แต่ตำรวจกล่าวว่าอะมินีในวัย 22 ปีเสียชีวิตเพราะอาการหัวใจวาย และปฏิเสธว่าไม่มีการทำร้ายร่างกายของเธอ ในขณะที่เจ้าหน้าที่อิหร่านกล่าวว่ากำลังสืบสวนสาเหตุการเสียชีวิตของหญิงสาวผู้นี้
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่าได้รับสำเนาเอกสารของรัฐบาลที่มีการเผยแพร่ออกมาแผยแพร่อย่างลับ ๆ โดยกล่าวว่า สำนักงานใหญ่ของกองกำลังอิหร่านได้ออกคำสั่งในวันที่ 21 กันยายน ให้ผู้บังคับบัญชา
“จัดการอย่างรุนแรงกับพวกที่สร้างปัญหาและผู้ที่ต่อต้านการปฏิวัติอิหร่าน” กลุ่มสิทธิมนุษยชนดังกล่าวยังระบุว่า เอกสารดังกล่าวทำให้มีการใช้กำลังจนถึงขั้นทำให้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นในเย็นวันนั้น และทำให้มีผู้เสียชีวิตในคืนนั้นเพียงคืนเดียวอย่างน้อย 34 คน
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยังกล่าวด้วยว่า เอกสารทางการที่หลุดออกมาอีกฉบับหนึ่งยังแสดงให้เห็นว่า เพียง 2 วันถัดมาผู้บังคับบัญชาในเมือง มาซานดราน ยังได้สั่งให้กองกำลัง
“จัดการกับผู้ชุมนุมอย่างไม่ต้องปราณี และสามารถเอาให้ถึงตาย โดยเฉพาะกับผู้ที่ก่อการจลาจลและผู้ที่ต่อต้านการปฏิวัติอิหร่าน” ซึ่งหมายถึงชาวอิหร่านที่ต่อต้าน
การปฏิวัติอิสลามใน ค.ศ. 1979 ที่ทำให้กลุ่มผู้นำศาสนาก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ นายแอกเนส คาลลามาร์ด เลขาธิการของ
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า
“ทางการอิหร่านตัดสินใจทำร้ายและฆ่าประชาชนที่ออกมาแสดงความโกรธเกรี้ยวจากการถูกกดขี่ข่มเหง และหมดความทนอยู่ภายใต้ความอยุติธรรมมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ” ก่อนหน้านี้ ผู้นำของอิหร่านกล่าวหาว่ามีหน่วยงานหรือองค์กรของต่างชาติที่มุ่งร้ายต่ออิหร่าน ที่ฉวยโอกาสนี้เพื่อสร้างความปั่นป่วนภายในประเทศ และกล่าวว่าผู้ที่ออกมาชุมนุมนั้นเป็นพวกก่อการจลาจล โดยกล่าวว่ากองกำลังของอิหร่านก็เสียชีวิตเช่นกัน
[9]การประท้วงซึ่งแพร่กระจายไปยังหลายเมืองส่วนใหญ่ใน 31 จังหวัดของอิหร่าน สะท้อนถึงท่าทีผู้ชุมนุมที่ไม่หวาดกลัวคำเตือนจากทางการ โดยก่อนหน้านี้
อิบราฮิม ไรซี ประธานาธิบดี
อิหร่าน ประกาศจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดต่อกลุ่มผู้ประท้วง ในขณะที่โกลัมฮอสเซน โมเซนี เอเจอี หัวหน้าฝ่ายตุลาการ ประกาศย้ำถึงความจำเป็นในการดำเนินการอย่างเด็ดขาดโดยไม่ผ่อนปรนกับผู้ยุยงให้เกิดการจลาจล ด้านสหภาพครูอิหร่านออกแถลงการณ์ผ่านโซเชียลมีเดีย เรียกร้องให้ครูและนักเรียนนักศึกษาทั่วประเทศหยุดการเรียนการสอนเพื่อประท้วง โดยเริ่มตั้งแต่วันนี้ (26 กันยายน) ไปถึงวันพุธ (28 กันยายน) พร้อมเรียกร้องประชาชน สหภาพการค้า นักกีฬา ทหาร ทหารผ่านศึก ตำรวจ และเหล่าศิลปิน ร่วมการประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรมทั้งนี้ รัฐบาลเตหะรานยังแสดงความไม่พอใจต่อท่าทีของชาติตะวันตกและองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่แทรกแซงและสนับสนุนการประท้วงในอิหร่าน ฮอสเซน อามีร์อับดุลลาฮีอาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศอิหร่าน วิจารณ์
สหรัฐฯ ว่าให้การสนับสนุนผู้ก่อจลาจล และพยายามบั่นทอนเสถียรภาพของอิหร่าน ซึ่งถือเป็นจุดยืนที่ขัดแย้งกับท่าทีของสหรัฐฯ ที่พยายามเรียกร้องเสถียรภาพในภูมิภาค และฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศอิหร่านได้เรียกเอกอัครราชทูต
อังกฤษเข้าพบ เพื่อประท้วงการรายงานข่าวในลักษณะที่ไม่เป็นมิตรของสื่อภาษาเปอร์เซียใน
ลอนดอน ซึ่งทางกระทรวงการต่าง
ประเทศอังกฤษยืนยันว่าพวกเขาปกป้องเสรีภาพสื่อ และประณาม ‘การปราบปรามผู้ประท้วง นักศึกษา นักข่าว และเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ตของอิหร่าน’ เช่นเดียวกับเอกอัครราชทูตนอร์เวย์ที่ถูกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านเรียกพบ เพื่อขอคำอธิบายต่อท่าทีในการแทรกแซงสถานการณ์ของ มาซูด การัคนี ประธาน
รัฐสภานอร์เวย์ ที่มีเชื้อสายอิหร่านและเกิดใน
เตหะราน หลังจากที่เขาออกมาแสดงความเห็นและสนับสนุนกลุ่มผู้ประท้วงผ่านทางทวิตเตอร์
[10][11]ส่วนกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยและสถานศึกษาทั่วประเทศในอิหร่านมีการนัดหยุดเรียนประท้วง เช่น ผ้า คลุมผมออกมาโบกไปมา พร้อมกับที่มีเสียงตะโกนว่า
“อย่ากลัว เราอยู่เคียงข้างกัน” “ผู้หญิง ชีวิต เสรีภาพ” และมีการปรบมือ มีกลุ่มนักศึกษาผู้หญิงการชูนิ้วกลางใส่รูปผู้นำสูงสุด ปลดรูปภาพและมีการฉีกรูปภาพผู้นำสูงสุด
แอลี ฆอเมเนอี และอดีตผู้นำสูงสุด
รูฮุลลอฮ์ โคมัยนี[12]