เมนูนำทาง
จิตวิทยาเชิงบวก ทฤษฎีมีนักวิจัยทางจิตวิทยาเชิงบวกที่กล่าวถึงประเด็นการศึกษาใหญ่ ๆ 3 ประเด็นที่คาบเกี่ยวกัน[19]:275 คือ
แต่ว่า หมวดหมู่เหล่านี้ไม่มีทั้งการคัดค้านหรือการยอมรับอย่างกว้างขวางโดยนักวิจัยในช่วง 12 ปี ที่สาขาวิชาการนี้ได้เกิดขึ้นและแม้ว่า ศ. เซลิกแมนจะได้เสนอหมวดหมู่ทั้ง 3 นี้ แต่ว่าตั้งแต่นั้นเขาได้แนะนำว่า หมวดหมู่สุดท้ายคือ "ชีวิตที่มีความหมาย" ควรแบ่งออกเป็นอีก 3 หมวดหมู่ดังนั้นตัวย่อที่กำหนดทฤษฎีความอยู่เป็นสุขของ ศ. เซลิกแมนก็คือ PERMA ซึ่งมาจากคำว่า "Positive Emotions (อารมณ์เชิงบวก)" "Engagement (การอยู่ไม่ว่าง)" "Relationships (ความสัมพันธ์กับผู้อื่น)" "Meaning and purpose (ความหมายและเป้าหมาย)" และ "Accomplishments (ความสำเร็จ)"[136]
อารมณ์เชิงบวก (Positive emotions) เป็นความรู้สึกหลายอย่างไม่ใช่เพียงความสุขและความเพลิดเพลิน (joy)[137]ยังรวมอารมณ์อื่น ๆ อีกเช่น ความตื่นเต้น ความพอใจ ความภูมิใจ และความอัศจรรย์ใจ ซึ่งมองว่าเป็นอารมณ์ที่มีผลดี เช่น ให้มีอายุยืนและมีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดี[138]
การมีชีวิตที่ไม่ว่าง (Engagement) หมายถึงการร่วมกิจกรรมที่ดึงดูดและเสริมสร้างความสนใจของตนนักจิตวิทยาผู้หนึ่งอธิบายการมีชีวิตที่ไม่ว่างว่าเป็น flow เป็นความรู้สึกที่แรงกล้าที่นำไปสู่ความปิติยินดีและความกระจ่าง[139]สิ่งที่กำลังจะทำต้องใช้ทักษะความสามารถที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป ยากและเป็นความท้าทาย แต่ว่า ยังเป็นสิ่งที่เป็นไปได้การมีชีวิตที่ไม่ว่างหมายเอาความชอบใจและสมาธิที่มีในงานที่กำลังจะทำ และระดับจะวัดโดยให้ผู้ทำรายงานเองว่า มีสมาธิในงานที่ทำ จนกระทั่งไร้ความรู้สึกเขินตนเอง (self-consciousness) หรือไม่[137]
ความสัมพันธ์กับคนอื่น (Relationships) เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการสร้างอารมณ์เชิงบวกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับอาชีพการงาน ครอบครัว คู่ชีวิต และความสัมพันธ์แบบอื่น ๆ ดังที่บิดาของจิตวิทยาเชิงบวกอีกคนหนึ่ง คือ ศ. ดร. คริสโตเฟอร์ ปีเตอร์สัน ได้กล่าวไว้อย่างง่าย ๆ ว่า "คนอื่นสำคัญ"[140]เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่รับ แชร์ และกระจายความรู้สึกดี ๆ ไปให้คนอื่นผ่านความสัมพันธ์ต่าง ๆซึ่งไม่ใช่ว่าจะสำคัญเมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายในชีวิตเท่านั้น แต่แม้ในช่วงที่สุขก็สำคัญด้วยและจริง ๆ แล้ว ความสัมพันธ์สามารถเพิ่มกำลังเมื่อตอบสนองต่อกันและกันในเชิงบวกมันเป็นเรื่องปกติว่า สิ่งดี ๆ ในชีวิตจะเกิดขึ้นเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่น[141]
"ความหมาย" (Meaning) หรือที่รู้จักกันว่าเป้าหมาย เป็นตัวให้เกิดคำถามว่า "ทำไม" และการค้นหาและค้นพบว่า "ทำไม" ที่ชัดเจน สามารถเป็นโครงสร้างชีวิตตั้งแต่ในเรื่องอาชีพการงาน ความสัมพันธ์กับคนอื่น และด้านอื่น ๆ[142][143]การค้นหาความหมายหมายถึงการเรียนรู้ว่ามีอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าตนและแม้ว่าอาจจะมีอุปสรรคในระหว่าง ๆ การมีความหมายช่วยให้บุคคลพยายามทำตามเป้าหมายให้ได้
ความสำเร็จ (Accomplishments) เป็นการสร้างความสำเร็จและความเชี่ยวชาญ[137]แต่โดยไม่เหมือนส่วนอื่น ๆ ของ PERMA การสืบหาควรจะทำแม้ว่าจะไม่มีผลเป็นอารมณ์ ความหมาย หรือความสัมพันธ์เชิงบวกอื่น ๆแต่ว่าเป็นส่วนที่สามารถช่วยทำส่วนอื่น ๆ ของ PERMA เช่น ความภูมิใจ ให้สำเร็จผล[144]ความสำเร็จอาจจะเป็นส่วนบุคคล เป็นส่วนของชุมชน เป็นกิจยามว่าง หรือเป็นเรื่องการงานอาชีพ
ปัจจัย 5 อย่างของ PERMA มีเกณฑ์คัดเลือกดังต่อไปนี้ คือ
PERMA ไม่ใช่แค่สามารถมีบทบาทในชีวิตของแต่ละบุคคล แต่สามารถใช้รายงานข่าวที่ดัง ๆโดยใช้แนวคิดนี้ นักข่าวสามารถให้ความสนใจกับข่าวในเชิงบวก เช่น โดยยกประเด็นว่า ความขัดแย้งหรือแม้แต่เหตุการณ์ร้าย ๆ สามารถดึงชุมชนให้สามัคคีกันได้อย่างไร คนที่ประสบเหตุการณ์ร้ายสามารถเรียนรู้และกลายเป็นบุคคลที่เจริญขึ้นได้อย่างไรข่าวสามารถเปลี่ยนมุมมองจากการหาเหยื่อมาเป็นการยกระดับจิตใจPERMA สามารถช่วยนักข่าวให้หาโจทย์ที่ช่วยเสริมสร้าง โดยเปลี่ยนจุดสนใจไปในสิ่งที่ร้ายมาเป็นสิ่งที่ดี ๆ และทางออกต่อปัญหา[145]
ทฤษฎี broaden-and-build (ขยายและสร้างความตระหนักรู้) ในจิตวิทยาเชิงบวกเสนอว่า อารมณ์เชิงบวก (เช่น ความสุข ความสนใจ หรือความคาดหวัง) สามารถขยายความตระหนักรู้ และช่วยส่งเสริมความคิดและพฤติกรรมใหม่ ๆ ที่แตกต่าง ที่เป็นแบบสืบเสาะ[146]ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นเป็นระยะเวลายาวนาน จะเป็นการสั่งสมพฤติกรรมใหม่ ๆ และสร้างทักษะและทรัพยากร (ทางกายและใจ)ยกตัวอย่างเช่น ความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับภูมิประเทศสามารถกลายเป็นความรู้เกี่ยวกับหนทางที่มีค่าการปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนแปลกหน้าสามารถสร้างมิตรที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันการละเล่นที่ไม่มีความหมายสามารถกลายเป็นกระบวนการออกกำลังกายและร่างกายที่แข็งแรงในทฤษฎีนี้ อารมณ์เชิงบวกยกมาเปรียบเทียบกับอารมณ์เชิงลบ ซึ่งยังพฤติกรรมแบบเอาตัวรอดที่คับแคบให้เกิดขึ้นยกตัวอย่างเช่น อารมณ์เชิงลบเช่นความวิตกกังวลอาจนำไปสู่ปฏิกิริยาแบบสู้หรือหนี (fight-or-flight response) ที่เป็นไปเพื่อความอยู่รอดในเรื่องที่กำลังเผชิญหน้า[146]
จิตรกรรมรำลึกถึงการใช้ชีวิตแบบครอบครัวศ.ดร.ฟิลิป ซิมบาร์โด ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการทดลองเรือนจำสแตนฟอร์ด เสนอว่าเราสามารถวิเคราะห์ความสุขโดยมุมมองทางเวลา (Time Perspective)คือเสนอว่า ให้เราจัดความสนใจในชีวิตของบุคคลโดยขั้ว (ว่าเป็นแบบบวกหรือลบ) และตามกาลเวลา (ว่ามุ่งอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต)การทำอย่างนี้อาจแสดงความขัดแย้งในบุคคล แต่ไม่ใช่ในเรื่องว่าเพลิดเพลินกับกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งหรือไม่ แต่ในเรื่องว่าบุคคลชอบใจในการผ่อนผันการหาความสุขในปัจจุบันเพื่อความสุขในอนาคตหรือไม่ดร. ซิมบาร์โดเชื่อว่า งานวิจัยได้แสดงจุดสมดุลที่ดีที่สุดเกี่ยวกับกาลเวลาเพื่อจะมีชีวิตที่มีความสุขคือ ความสนใจในการประสบเหตุการณ์เชิงบวกในอดีตอีกควรจะอยู่ในระดับสูง ตามด้วยความรู้สึกว่าจะได้ประสบการณ์ที่ดีในอนาคต และควรจะใช้เวลาพอสมควร (แต่ไม่มากเกินไป) เพื่อที่จะเพลิดเพลินยินดีในเหตุการณ์ปัจจุบัน[147]
แม้ว่าหมวดหมู่ที่เสนอของ ศ. เซลิกแมน จะยังคลุมเครือ งานวิจัยที่จะพูดถึงต่อไปจัดตามหมวดหมู่นั้นโดยคร่าว ๆ (คือ ชีวิตที่สบายใจ ที่ดี และที่มีความหมาย)แต่ว่า งานวิจัยที่จัดอยู่ในหมวดหมู่หนึ่งอาจจะเข้าประเด็นกับหมวดหมู่อื่น ๆ ด้วย
ศ.ดร. อับราฮัม มาสโลว์ ได้เสนอทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ขั้นแรก บุคคลจำเป็นต้องได้ปัจจัยพื้นฐาน (เช่น ความปลอดภัยทางกายและใจ) ก่อนที่จะได้ปัจจัยทางสังคมอื่น ๆ (เช่น การมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับผู้อื่น)ต่อมา จึงจะสามารถแสวงหาปัจจัยที่เป็นนามธรรมอื่น ๆ (เช่น ศีลธรรมและการถึงศักยภาพของตน [self-actualization])
หลักฐานแสดงว่า อารมณ์เชิงลบสามารถก่อความเสียหายได้ในงานวิจัยปี 2000 นักจิตวิทยาผู้หนึ่งตั้งสมมติฐานว่า อารมณ์เชิงบวกสามารถแก้ปัญหาทางหลอดเลือดหัวใจของอารมณ์เชิงลบได้คือ เมื่อเครียด อัตราการเต้นหัวใจจะสูงขึ้น ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้น ภูมิคุ้มกันจะต่ำ และมีการปรับตัวอื่น ๆ ที่ช่วยส่งเสริมให้ทำอะไรได้อย่างทันทีทันควันแต่ว่าถ้าไม่ควบคุมให้ดี การมีสภาพตื่นตัวทางกายเช่นนี้สามารถนำไปสู่โรค เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและอัตราการเสียชีวิตที่สูงขึ้นทั้งผลงานวิจัยที่ทำในแล็บและงานสำรวจให้หลักฐานว่า อารมณ์เชิงบวกช่วยคนเครียดให้กลับคืนมีสุขภาพทางกายที่ดีกว่าดังที่เคยมีมาก่อน[149]ส่วนงานวิจัยอื่น ๆ พบว่า พื้นอารมณ์ที่ดีเป็นประโยชน์อย่างหนึ่งของการออกกำลังกาย[148]
ไอเดียเกี่ยวกับความอยู่เป็นสุขโดยเป็นส่วนของชีวิตที่ดีมาจากแนวคิดของอาริสโตเติลในเรื่อง eudaimoniaส่วนแนวคิดที่เกี่ยวข้องกันรวมทั้ง ความเชื่อมั่นในสมรรถภาพตน (self-efficacy), ประสิทธิผลในตัว (personal effectiveness), flow, และการมีสติ (mindfulness)
ความเชื่อมั่นในสมรรถภาพตน เป็นความเชื่อมั่นว่า ความสามารถในการทำงานให้สำเร็จขึ้นอยู่กับความพยายามการมีความเชื่อเช่นนี้ในระดับต่ำ สัมพันธ์กับความซึมเศร้าโดยเปรียบเทียบกันแล้ว ความเชื่อมั่นในระดับสูงสัมพันธ์กับความเปลี่ยนแปลงที่ดี เช่น การเลิกสิ่งเสพติด การแก้ปัญหาโรคเกี่ยวกับการรับประทาน และการดำเนินชีวิตที่ถูกสุขภาพการมีความเชื่อมั่นสูงยังมีผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยบริหารความเครียด และช่วยลดความเจ็บปวด[150]ส่วนแนวคิดคล้าย ๆ กัน คือประสิทธิผลส่วนตัว (Personal effectiveness) โดยหลักเป็นเรื่องเกี่ยวกับการวางแผนและการดำเนินงานโดยวิธีการที่ทำให้สำเร็จ
flow หมายถึงการเกิดสมาธิ (absorption) เมื่อความสามารถของตนทัดเทียมกับสิ่งที่ต้องทำเฉพาะหน้าflow กำหนดโดยลักษณะต่าง ๆ รวมทั้งสมาธิที่มีกำลัง ความไร้ความเขินเกี่ยวกับตน (self-awareness) และความรู้สึกว่าเรื่องที่ทำเป็นเรื่องท้าทาย (คือไม่ใช่เบื่อและไม่ใช่เป็นเรื่องยากเกินไป) และความรู้สึกว่า เวลากำลังล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว flow เป็นอะไรที่ดีโดยตัวของมันเองนอกจากนั้น ยังสามารถช่วยให้ถึงเป้าหมาย (เช่น ชนะการละเล่นหรือการกีฬา) หรือช่วยเพิ่มทักษะ (เช่น เป็นคนเล่นหมากรุกได้เก่งขึ้น)[151]
ทุกคนสามารถมีประสบการณ์เกี่ยวกับ flow ในเรื่องต่าง ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นการละเล่น ความคิดสร้างสรรค์ หรืออาชีพการงานโดยสามารถเกิดได้เมื่อมีเหตุการณ์ที่ท้าท้ายทัดเทียมกับความสามารถของตนแต่ว่า ถ้าไม่มีความสมดุลเช่นมีทักษะน้อยเกินไป จะทำให้เกิดความวิตกกังวลแต่ถ้าเป็นเรื่องท้าทายน้อยเกินไป ก็จะทำให้เกิดความเบื่อหน่าย[151]
แต่ว่า เพราะสถานการณ์เป็นเรื่องท้าท้าย บ่อยครั้งจะมีทั้งความตื่นเต้นและความเครียด แต่นี่พิจารณาว่า เป็นความเครียดที่ดีโดยเชื่อว่า เป็นความเครียดที่มีผลลบน้อยกว่าความเครียดแบบเรื้อรัง แม้ว่า วิถีทางกายภาพเกี่ยวกับความเครียดทั้งสองแบบจะเป็นระบบเดียวกันและทั้งสองล้วนสามารถทำให้เกิดความเหนื่อยอ่อน แต่ว่า ความแตกต่างทางกายภาพ และประโยชน์ที่ได้ทางใจของความเครียดที่ดี อาจจะทำให้เกิดผลดีโดยรวมมากกว่าความเหนื่อยอ่อนที่เกินขึ้น
ศ. ชีกเซ็นมิฮาลี (ผู้สร้างแนวคิดเกี่ยวกับ flow) ระบุตัวบ่ง flow ไว้ 9 อย่างว่า
งานศึกษาของเขายังพบอีกด้วยว่า flow อยู่ในระดับสูงกว่าเมื่อทำงาน และความสุขจะสูงกว่าเมื่อทำกิจกรรมเวลาว่าง[43]:200
ความเจริญรุ่งเรืองในจิตวิทยาเชิงบวกหมายถึงการทำกิจในระดับดีสุดของมนุษย์โดยมีปัจจัย 4 อย่างคือ ความดีงาม (goodness) การก่อกำเนิด (generativity) ความเจริญ (growth) และความฟื้นคืนได้ (resilience)[153]ตามนักจิตวิทยาท่านหนึ่ง ความดีงามรวมทั้ง ความสุข ความพอใจ และการกระทำที่สำเร็จผลการก่อกำเนิดหมายถึงการทำให้ชีวิตคนรุ่นต่อ ๆ ไปดีขึ้น และนิยามว่าเป็น "คลังความคิด การกระทำ และความยืดหยุ่นได้ทางพฤติกรรม"ความเจริญเป็นการใช้ทรัพยากรส่วนบุคคลและทางสังคมที่มีและความฟื้นคืนได้สะท้อนให้เห็นถึงความอยู่รอดและความเจริญก้าวหน้าหลังจากที่ประสบความยากลำบาก[153]:685
ชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองได้มาจากความเชี่ยวชาญในปัจจัยทั้ง 4 อย่างนั้นโดยเปรียบเทียบกับแนวคิดตรงกันข้ามเช่น ความหดหู่ไม่ไยดี (languishing) และโรคจิต (psychopathology)ในมิติของสุขภาพจิต แนวคิดตรงกันข้ามเหล่านี้เป็นภาวะก่อนจะถึงโรคจิต สะท้อนให้เห็นว่าบุคคลใช้ชีวิตที่ยังไม่เต็มหรืออาจเป็นชีวิตที่ไม่มีความหมายบุคคลที่ประสบความหดหู่ไม่ไยดีเจ็บปวดทางอารมณ์มากกว่า บกพร่องทางจิต-สังคม ทำกิจกรรมทั่วไปบางอย่างไม่ได้ และขาดงานมากกว่า[153]
มีงานศึกษาหนึ่งในปี 2002 ที่สำรวจตัวอย่างบุคคล 3,032 คนในประเทศสหรัฐอเมริกาในวัยระหว่าง 25-74 ปีและพบว่า 17.2% ของผู้ใหญ่ทั้งหมดรู้สึกเจริญรุ่งเรือง โดยมีผู้ใหญ่อีก 56.6% ที่มีสุขภาพจิตดีพอประมาณเท่านั้นปัจจัยสามัญของการมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองรวมทั้ง การมีการศึกษา ความสูงวัย การมีคู่ชีวิต และฐานะที่ดีงานศึกษาจึงแสดงว่า มีโอกาสที่จะปรับปรุงชีวิตของคนอเมริกันเพราะว่าเพียง 20% เท่านั้นที่รู้สึกว่าตนมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง[154]
ประโยชน์ของการมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองพบได้ในงานวิจัยเกี่ยวกับผลของการประสบความรู้สึกเชิงบวกเทียบกับเชิงลบประโยชน์ที่พบของการมีอารมณ์เชิงบวกรวมทั้งการตอบสนองที่ดี การมีพฤติกรรมที่หลายหลากกว่า การมีสัญชาติญาณที่ดีกว่า และการรับรู้และจินตนาการที่ดีกว่า[153]:678นอกจากนั้นแล้ว ความรู้สึกดี ๆ ที่สัมพันธ์กับการมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองมีผลเป็นระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น การฟื้นตัวจากโรคหลอดเลือดหัวใจ การได้ผลลบจากอารมณ์เชิงลบน้อยลง และความอสมมาตรระว่างสมองด้านหน้า[153]ส่วนประโยชน์ที่ได้สำหรับบุคคลที่มีสุขภาพจิตหรือความเจริญรุ่งเรืองพอประมาณรวมทั้ง สมรรถภาพทางใจและทางสังคมที่ดีกว่า การฟื้นตัวได้ดีกว่า การมีสุขภาพหลอดเลือดหัวใจที่ดีกว่า และการมีสไตล์ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าโดยทั่วไป[155]ดังนั้น ประโยชน์ของการมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองจึงแสดงนิยามอย่างหนึ่งคือ "บุคคลที่เจริญรุ่งเรืองย่อมประสบกับความอยู่เป็นสุขทางอารมณ์ ทางใจ และทางสังคม เนื่องจากความกระฉับกระเฉงและกำลังวังชา แรงจูงใจภายใน (self-determination) การเจริญเติบโตส่วนบุคคลที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด และชีวิตที่มีความหมายและมีเป้าหมาย"[156]
การมีสติหมายถึงการพุ่งความสนใจอย่างจงใจไปที่ประสบการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นการตระหนักรู้อย่างมีสมาธิ (Focused awareness) คือใส่ใจโดยขณะถึงปัจจัยต่าง ๆ ของประสบการณ์ปัจจุบัน รวมทั้ง ความคิด อารมณ์ ความรู้สึกทางกาย และสิ่งแวดล้อมจุดมุ่งหมายของการมีสติก็เพื่อที่จะให้อยู่กับขณะปัจจุบันและศึกษาเพื่อจะสังเกตการเกิดขึ้นและการผ่านไปของประสบการณ์ต่าง ๆโดยที่ไม่ต้องตัดสินให้ความสำคัญต่อประสบการณ์และความคิด ไม่ต้องพยายามเพื่อจะหาเหตุผลและสรุปเหตุการณ์ หรือเปลี่ยนแปลงอะไร ๆ สิ่งที่ทำอย่างเดียวในระหว่างการเจริญสติก็เพียงแค่สังเกต[159][160]ประโยชน์ของการเจริญสติรวมทั้งการลดความเครียด ความวิตกกังวล ความเศร้าซึม และความเจ็บปวดเรื้อรัง[161]
ศ. จิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอ้างว่า คนมักจะเข้าไปสู่ภาวะความไร้สติ (mindlessness) โดยมีพฤติกรรมที่ซ้ำซาก ทำสิ่งที่คุ้นเคย ทำเป็นกระบวนการ โดยไม่ได้ใส่ใจ เหมือนกับเป็นหุ่นยนต์[162]ผู้ที่สนับสนุนการใส่ใจในปัจจุบันยังอ้างงานวิจัยของนักจิตวิทยาที่เขียนหนังสือ สะดุดเจอความสุข (Stumbling on Happiness) ที่กล่าวว่า การฝันกลางวันแทนที่จะใส่ใจในปัจจุบันอาจเป็นเหตุขวางกั้นความสุข[157][163]
นักวิจัยท่านหนึ่งพบหลักฐานสนับสนุนผลลบของการฝันกลางวันคือ เขามีอาสาสมัคร 15,000 ทั่วโลกที่ให้รายงานกว่า 650,000 รายงานโดยใช้ออนไลน์แอปพลิเคชันบนโทรศัพท์ที่เตือนขอข้อมูลโดยสุ่ม ๆและพบว่า คนที่ฝันกลางวันต่อมาไม่ช้าก็จะรายงานความสุขที่ลดลงแต่เป็นเรื่องที่ปกติมาก ๆ[158]
ส่วน ดร. ซิมบาร์โดให้ความสำคัญต่อการใส่ใจในปัจจุบัน แต่แนะนำให้ระลึกถึงเหตุการณ์เชิงบวกในอดีตเป็นบางครั้งบางคราวเพราะว่า การพิจารณาถึงประสบการณ์ที่ดีในอดีตสามารถมีผลต่อพื้นอารมณ์ปัจจุบัน และช่วยในการสร้างความหวังที่ดีในอนาคต
มีงานวิจัยที่แสดงว่า สิ่งที่บุคคลสนใจมีผลต่อระดับความสุข และการคิดถึงความสุขมากเกินไปมีผลที่ไม่ดีแทนที่จะถามตนว่า "ฉันมีความสุขหรือเปล่า" ซึ่งเมื่อถามเพียงแค่ 4 ครั้งต่อวัน ก็จะเริ่มลดความสุข ดังนั้น จึงอาจจะดีกว่าที่จะคิดถึงค่านิยมของตน (เช่น ฉันสามารถมีหวังในเรื่องนี้ได้หรือเปล่า)[164]
การตั้งคำถามต่าง ๆ อาจช่วยเปลี่ยนความคิด และบางทีอาจนำไปสู่การกระทำที่เราควรใส่ใจมากกว่าการตอบคำถามโดยเป็นตัวของเราเองอาจนำไปสู่การกระทำเชิงบวก และสู่ความหวัง ซึ่งเป็นความรู้สึกที่มีกำลังและเป็นความรู้สึกเชิงบวกความหวังมักจะก่อความสุข โดยที่ความสิ้นหวังมักจะตัดทอน
นักวิจัยทางจิตวิทยาเชิงบวกคนหนึ่งเตือนว่า ประเด็นที่วิทยาศาสตร์ได้ค้นพบเป็นเบื้องต้นเหล่านี้ ไม่ควรนำไปใช้โดยทั่วไปมากเกินไป หรือไม่ควรนำไปใช้โดยไม่พิจารณาเพราะว่า การดำรงสติเป็นกระบวนการทางสมองที่ใช้ทรัพยากรมากและเขาบอกว่า ไม่ใช่ได้ผลดีตลอดเวลาเพราะว่า มีกิจกรรมบางอย่างที่ทำได้ดีที่สุดโดยไม่ต้องใช้ความคิด ยกตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพทำตามขั้นตอนที่ได้ฝึกมาแล้วเป็นอย่างดี[164]
อย่างไรก็ดี ทักษะที่พัฒนาเช่นนี้สามารถนำไปใช้ได้ในบางโอกาส และสามารถมีผลดีตามเหตุผลที่ได้กล่าวมาแล้วส่วนศาสตราจารย์ทางจิตวิทยาและจิตเวชศาสตร์อีกท่านหนึ่งแนะนำการเจริญสติ (mindfulness meditation) เพื่อใช้ในการระบุและการบริหารอารมณ์ที่แม่นยำ[165][166]
หลังจากที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับอารมณ์คือความขยะแขยง (disgust) มาหลายปี มีนักวิจัยกลุ่มหนึ่งที่ศึกษาอารมณ์ตรงกันข้าม ซึ่งพวกเขาเรียกว่า elevation (จะเรียกว่าการทำบุญต่อไป)การทำบุญเป็นอารมณ์ทางศีลธรรม เกี่ยวข้องกับความต้องการที่จะประพฤติตามศีลธรรมและทำสิ่งที่ดี ๆเป็นอารมณ์ที่มีรากฐานทางชีวภาพ และบางครั้งกำหนดว่า เป็นความรู้สึกการขยายออกของหน้าอก หรือความรู้สึกซาบซ่านที่ผิว[167][168]
การมองในแง่ดีโดยเรียนรู้ (Learned optimism) หมายถึงการพัฒนาศักยภาพให้มีนิสัยมองโลกในแง่ดีและเข้าสังคมได้ซึ่งเป็นความพยายามส่วนตัวและเป็นคุณลักษณะที่เชื่อมกับเป้าหมายส่วนตัวที่บุคคลต้องการกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นความเชื่อว่าตนสามารถมีอิทธิพลต่ออนาคตที่มองเห็นได้และมีความหมายการมองในแง่ดีโดยเรียนรู้ตรงข้ามกับความรู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้แบบเรียนรู้ (learned helplessness) ซึ่งเป็นความเชื่อว่า ตนไม่สามารถควบคุมสิ่งที่เกิดได้ และปัจจัยภายนอกอย่างอื่นเป็นตัวกำหนดผล เช่นความสำเร็จการมองในแง่ดีสามารถเรียนรู้ได้โดยตั้งใจคัดค้านความคิดเชิงลบของตนเองเช่นคัดค้านความคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ไร ๆ ก็ได้ที่มองว่าเป็นความผิดของตนที่มีผลอย่างถาวรต่อทุก ๆ ด้านในชีวิต
การคุยกับตัวเองมีผลต่อความรู้สึกยกตัวอย่างเช่น รายงานเกี่ยวกับความสุขมีสหสัมพันธ์กับความสามารถทั่วไปที่จะ "ให้เหตุผลหรืออธิบาย" ความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมและเศรษฐกิจ[169]ความหวัง (Hope) เป็นความรู้สึกเชิงบวกที่มีกำลัง โดยสัมพันธ์กับความคิดมีเป้าหมายที่เรียนรู้ได้ความหวังจะเกิดขึ้นเมื่อคิดโดยหาทางที่จะถึงเป้าหมาย และหาแรงจูงใจเพื่อจะดำเนินไปตามทางสู่เป้าหมายเหล่านั้น[170]
นักเขียนคนหนึ่งเสนอว่า การเปลี่ยนความคิดสามารถช่วยแก้ความรู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้ (ในสถานะที่โลกมีปัญหามากมาย)แนวคิดนี้มาจากงานวิจัยจากนักสังคมวิทยาคนหนึ่งที่อธิบายว่า เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ บุคคลมักจะเรียนรู้ว่าทำอะไรไม่ได้มากกว่าที่จะเปลี่ยนความคิดวิธีการที่สามารถใช้ได้ (ซึ่งนักเขียนเรียกว่า Vertical Agitation) ก็คือ ให้ใส่ใจเพียงส่วนหนึ่ง ๆ ของปัญหาไปทีละอย่าง ๆ โดยให้ถือว่าตนมีหน้าที่แก้ส่วนปัญหานั้น ๆ ซึ่งใช้ได้กับปัญหาทุกระดับจนกระทั่งระดับสูงสุดในรัฐบาล ในธุรกิจ หรือในกลุ่มสังคม (เช่น ให้โปรโหมตอะไรอย่างหนึ่งอย่างเข้มแข็ง เช่น หลอดประหยัดไฟ)ซึ่งช่วยให้แต่คนแต่ละคนในสังคมมีส่วนคนละเล็กน้อยทำให้มีการเปลี่ยนแปลง โดยไม่รู้สึกกังวลว่า มีงานมากแค่ไหนทั้งหมดที่จะต้องทำนอกจากนั้นแล้ว การใช้วิธีการทำคนละหน่อยจะช่วยไม่ให้รู้สึกว่า ตนดีกว่าคนอื่น (เช่น เที่ยวพูดให้เพื่อนและครอบครัวฟังว่าควรจะทำตนอย่างไร) และเมื่อมีคนทำเช่นนี้เป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ก็จะสามารถปรับปรุงได้โดยระดับหนึ่ง[171]
นักจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดผู้หนึ่งได้ทำงานศึกษาอย่างกว้างขวางว่า การทำงานให้ดีมีผลอะไรหรือไม่เขาเสนอว่า บุคคลรุ่นหลัง ๆ (โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา) ถูกสอนให้พุ่งความสนใจไปในการหาเงินทอง แม้ว่าการมีเงินจะไม่ได้ช่วยให้เกิดความสุขอย่างแน่นอนวิธีการแก้ที่นักจิตวิทยาเสนอคล้ายกับหลักการชีวิตที่สบายใจ ที่ดี ที่มีความหมายดังที่กล่าวมาก่อนแล้วเขาเชื่อว่า ควรจะฝึกให้เยาวชนทำงานให้ดีที่สุดในวิชาการสาขาของตน และมีชีวิตที่อยู่ไม่ว่าง ตามความเชื่อทางศีลธรรมของตน[172]
ตามงานศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกางานหนึ่ง พ่อแม่ 48% ให้รางวัลลูกของตนถ้าได้เกรดดีเป็นเงินสดหรืออะไรอย่างอื่นที่มีความหมายแต่ว่า เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทุกครอบครัวในสหรัฐเห็นด้วยแม้ว่า ผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยาจะสนับสนุนให้ให้รางวัลเมื่อเด็กมีพฤติกรรมที่ดี แทนที่จะใช้การลงโทษเมื่อมีพฤติกรรมที่ไม่ดี แต่ในบางกรณี บางครอบครัวไม่มีเงินทองพอที่จะให้รางวัลลูกในลักษณะแบบนี้รางวัลที่สามารถให้นอกเหนือจากเงินรวมทั้ง การให้ใช้เวลามากขึ้นเล่นคอมพ์ หรือนอนสายได้มากขึ้นแต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อว่า รางวัลที่ดีที่สุดก็คือคำชมและคำให้กำลังใจ เพราว่ารางวัลที่เป็นรูปธรรมในระยะยาวอาจจะทำให้มีผลเสียต่อเด็ก
มีงานศึกษาเกี่ยวกับรางวัลที่ให้กับเด็กในปี 2514 ที่ยังใช้กันจนถึงทุกวันนี้เป็นงานศึกษาที่ออกข่าวในหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ ที่พุ่งความสนใจไปที่ผลระยะสั้นและระยะยาวของรางวัลต่อพฤติกรรมที่ดีของเด็กผู้ทำงานศึกษาเสนอว่า รางวัลเพื่อพฤติกรรมที่ดีเป็นสิ่งจูงใจที่ได้ผลแต่เพียงระยะสั้นในเบื้องต้น รางวัลจะสนับสนุนให้มีแรงจูงใจพยายามทำให้ได้ตามเป้าหมายของตนแต่ว่า หลังจากที่เลิกให้รางวัล เด็กจะสนใจในเรื่องนั้นน้อยกว่าคนอื่น ๆ ที่ไม่เคยได้รางวัลผู้ศึกษาชี้ว่า ในวัยเยาว์ เด็กมีสัญชาตญาณที่จะดื้อต่อบุคคลที่พยายามควบคุมพฤติกรรมของตน ซึ่งเขาใช้เป็นหลักฐานว่า รางวัลเพื่อพฤติกรรมที่ดีมีผลจำกัด
โดยให้เปรียบเทียบกัน หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ก็ได้เสนอผลงานวิจัยที่สนับสนุนผลดีที่ได้จากการให้รางวัลเด็กเพื่อพฤติกรรมที่ดีนักเศรษฐศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญอ้างว่า เด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรมหรือการศึกษาในโรงเรียนควรจะมีตัวช่วยมาก รวมทั้งรางวัลแม้ว่า เด็กเบื้องต้นอาจจะสนใจเพียงแค่สิ่งที่ได้เป็นรางวัล แต่ว่าก็อาจจะเกิดความรักเรียนขึ้นแม้ว่าจะมีเรื่องที่ไม่ยุติในการให้รางวัล ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่า วิธีที่ดีที่สุดที่จะจูงใจเด็กก็คือเสนอให้รางวัลเมื่อต้นปีการศึกษา แต่ถ้าไม่ได้ผล แนะนำให้ทั้งครูและผู้ปกครองหยุดใช้ระบบการให้รางวัลแต่เพราะเด็กต่างกัน วิธีใดวิธีหนึ่งก็จะไม่ได้ผลกับทุกคนเด็กบางคนตอบสนองดีต่อการให้รางวัลเพื่อพฤติกรรมดี บางคนตอบสนองในเชิงลบผลที่ได้ขึ้นอยู่กับคน[ต้องการอ้างอิง]
หนังสือ Character Strengths and Virtues (ตัวย่อ CSV) เป็นความพยายามแรก ๆ ของนักวิชาการที่จะจำแนกและแยกแยะลักษณะทางจิตวิทยาเชิงบวกของมนุษย์โดยคล้ายกับคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต (DSM) ของสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน ที่ช่วยสร้างความเข้าใจในเรื่องจิตวิทยาทั่วไป หนังสือ CSV มีจุดประสงค์เพื่อสร้างขอบเขตเชิงทฤษฎีเพื่อช่วยส่งเสริมความเข้าใจในเรื่องความเข้มแข็งและคุณธรรม และเพื่อประยุกต์ใช้จิตวิทยาเชิงบวกคู่มือกำหนดหมวดหมู่คุณธรรม 6 อย่างหลัก ๆ ซึ่งเป็นฐานของความเข้มแข็ง 24 อย่างที่วัดได้[173]
หนังสือเสนอว่า คุณธรรม 6 อย่างเหล่านี้มีอยู่ในประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมต่าง ๆ โดยมากนอกจากนั้นแล้ว คุณธรรมและความเข้มแข็งเหล่านี้ทำให้เกิดความสุขมากขึ้นเมื่อได้พัฒนาความเข้าใจเช่นนี้ชี้ความจริง 3 อย่างโดยยังไม่กล่าวถึงคำเตือนและข้อยกเว้นต่าง ๆ ที่อาจจะมี[173]:51
การจัดหมวดหมู่ของคุณธรรม 6 อย่างและความเข็มแข็ง 24 อย่างก็คือ
แต่ว่างานวิจัยในปี 2010 คัดค้านการจัดกลุ่มคุณธรรมเป็น 6 กลุ่ม คือ นักวิจัยเสนอว่า ความเข้มแข็ง 24 อย่างสามารถจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ 3-4 หมวดได้อย่างเหมาะสมกว่า คือ ความเข้มแข็งทางเชาวน์ปัญญา (Intellectual) ความเข้มแข็งในเรื่องระหว่างบุคคล (Interpersonal) และความเข้มแข็งในการยับยั้งชั่งใจ (Temperance)[174]หรืออีกแบบหนึ่งคือ ความเข้มแข็งระหว่างบุคคล ความแข็งแกร่ง กำลังวังชา และความระมัดระวัง[175]
ความเข็มแข็งและวิธีการจัดหมวดหมู่เช่นนี้ ได้พบในวรรณกรรมอื่น ๆ ที่ต่างหากจากเรื่องนี้ เช่นในงานศึกษาที่กล่าวถึงนิสัยของบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์สูง[176]และก็มีงานวิจัยอื่นที่แสดงว่า การอยู่เป็นสุขที่ปรากฏว่าเป็นผลของความเชื่อทางจิตวิญญาณ ความจริงเป็นสิ่งที่เกิดจากคุณธรรม[107]
เมนูนำทาง
จิตวิทยาเชิงบวก ทฤษฎีใกล้เคียง
จิตวิทยา จิตวิทยาเชิงบวก จิตวิทยาคลินิก จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ จิตวิทยาชุมชน จิตวิทยาเกสทัลท์ จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ จิตวิเคราะห์ จิตวิทยาสังคม จิตวิทยาการเรียนรู้แหล่งที่มา
WikiPedia: จิตวิทยาเชิงบวก http://www.cbc.ca/ideas/episodes/2011/06/20/say-no... http://awesomeculture.com/2011/09/13/the-science-o... http://doubtreligion.blogspot.com/2010/06/rd-extra... http://www.bmj.com/cgi/pmidlookup?view=long&pmid=1... http://www.cape-coral-daily-breeze.com/page/conten... http://www.chicagotribune.com/suburbs/northbrook/c... http://www.economist.com/node/17722557 http://www.economist.com/node/17722567 http://www.economist.com/world/na/PrinterFriendly.... http://www.forbes.com/2010/07/14/world-happiest-co...