วิธีการ ของ จิตวิทยาเชิงบวก

จิตวิทยาเชิงบวกสนใจในประเด็น 3 อย่างคือ อารมณ์เชิงบวก (positive emotion) ลักษณะเชิงบวกของแต่ละบุคคล (positive individual trait) และสถาบันที่โปรโหมตหลักจิตวิทยาเชิงบวก (positive institution)อารมณ์เชิงบวกก็เช่นความพึงพอใจในอดีต การมีความสุขในปัจจุบัน และการมีความหวังในอนาคตลักษณะเชิงบวกก็คือความสามารถพิเศษหรือความเข้มแข็ง (strength) และคุณธรรมของแต่ละบุคคลและสถาบันเชิงบวก เป็นสถาบันที่ใช้หลักความเข้มแข็งในการพัฒนาชุมชน[14]ส่วนความสุข (Happiness) หมายถึงปรากฏการณ์ทางอารมณ์และทางจิตต่าง ๆวิธีการวัดความสุขที่ใช้อย่างหนึ่งก็คือชุดคำถามที่เรียกว่า Satisfaction with Life Scaleตามผู้สร้าง ผลที่ได้จากผู้ตอบชุดคำถามนี้เข้ากับความรู้สึกจากเพื่อนและครอบครัว และสัมพันธ์กับความซึมเศร้าที่น้อยลง[28][โปรดขยายความ]

"ตนที่จำ" (Remembering self) อาจจะไม่ใช่แหล่งข้อมูลดีที่สุดเพื่อทำให้ "ตนที่ประสบ/รู้สึก" (Experiencing self) มีความสุข

แทนที่จะใช้การประเมินแบบระยะยาวแบบทั่วไป วิธีการวัดบางอย่างพยายามกำหนดอารมณ์ความรู้สึกที่ดีโดยแบ่งเป็นกิจกรรม ๆคือ นักวิทยาศาสตร์ใช้วิทยุติดตามตัวเพื่อเตือนอาสาสมัครให้บันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ของตนเมื่อส่งสัญญาณเตือนหรืออีกวิธีหนึ่งก็คือ อาสาสมัครจะบันทึกรายละเอียดของชีวิตเมื่อวานในอนุทินในแต่ละเช้า[28]

ความไม่สอดคล้องกันที่น่าสนใจเกิดขึ้นเมื่อนักวิจัยเปรียบเทียบผลที่ได้จากวิธีการวัดประสบการณ์แต่ละขณะ ๆ เช่นนี้ กับการประเมินแบบระยะยาวคือ การประเมินแบบหลังอาจจะไม่เที่ยงตรงบุคคลอาจจะไม่รู้ว่าอะไรทำให้ชีวิตน่าพอใจจากขณะหนึ่งไปสู่อีกขณะหนึ่งยกตัวอย่างเช่น การประเมินของพ่อแม่มักจะบอกว่าลูกของตนเป็นแหล่งความสุข ในขณะที่การประเมินเป็นขณะ ๆ แสดงว่า พ่อแม่ไม่ได้ชอบดูแลลูก ๆ ของตนเทียบกับกิจกรรมอื่น ๆ[28][29]

นักจิตวิทยา ศ.ดร. แดเนียล คาฮ์นะมัน อธิบายความไม่สอดคล้องกันโดยแบ่งแยกความสุขตาม "ตนที่รู้สึก" เทียบกับ "ตนที่จำ" คือ เมื่อให้ระลึกถึงประสบการณ์ความรู้สึกในอดีต ความเอนเอียงทางความจำ (memory bias) เช่น Peak-End effect (ที่เรามักจะจำประสบการณ์ที่ระทึกใจน่าตื่นเต้น และประสบการณ์สุดท้ายมากที่สุด) มีบทบาทที่สำคัญมีผลงานวิจัยเกี่ยวกับคนไข้ colonoscopy (การส่องกล้องผ่านทวารหนักเพื่อดูช่วงท้ายของลำไส้ใหญ่) ที่น่าทึ่งอย่างหนึ่งคือ ดร. คาฮ์นะมันพบว่า ถ้าเพิ่มเวลาการส่องกล้องขึ้น 60 วินาที คนไข้กล่าวว่าการส่องกล้อง (ที่ปกติเป็นการตรวจสอบที่ไม่สบาย) รู้สึกสบายกว่าเพียงแต่ต้องไม่ขยับกล้องในช่วงท้าย 60 วินาที เพราะว่า การขยับกล้องเป็นเหตุก่อความรู้สึกไม่สบายมากที่สุดดร. คาฮ์นะมันให้เหตุผลว่า "ตนที่จำ" มักจะพุ่งความสนใจเป็นที่ช่วงท้ายของประสบการณ์ผลงานวิจัยเยี่ยงนี้ช่วยอธิบายความผิดพลาดของมนุษย์ในการพยากรณ์อารมณ์ความรู้สึกของตนเองในอนาคต[29]

นักจิตวิทยาได้พัฒนาชุดคำถาม Oxford Happiness Questionnaire โดยหมายเป็นตัววัดความเป็นสุขทางจิตใจแบบกว้าง ๆ[30][31]แต่ว่าแบบคำถามถูกวิจารณ์ว่า ไม่มีรากฐานอยู่กับแบบจำลองทางทฤษฎีเกี่ยวกับความสุข และเหลื่อมกับแนวคิดอื่น ๆ เช่น ความเคารพตน (self-esteem) ความรู้สึกว่ามีความหมาย (sense of purpose) ความสนใจทางสังคม ความเมตตา ความมีมุกตลก (sense of humor) และความรู้คุณค่าของสิ่งสวยงาม (aesthetic appreciation)[32]

ทางประสาทวิทยาศาสตร์

ประสาทวิทยาศาสตร์และการสร้างภาพสมอง (brain imaging) เพิ่มสมรรถภาพขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อช่วยให้เข้าใจเรื่องความสุขและความเศร้าถึงแม้ว่าอาจจะเป็นไปไม่ได้ที่จะวัดความสุขที่เป็นปรวิสัย (objective) อย่างสมบูรณ์ แต่ว่า ก็ยังสามารถวัดลักษณะต่าง ๆ ทางกายภาพที่สัมพันธ์กับความสุขเช่นหนังสือ วิทยาศาสตร์แห่งความสุข (The Science of Happiness) ได้เชื่อมลักษณะพลวัตของระบบประสาทชีววิทยา (เช่น ระบบประสาทที่มากไปด้วยโดพามีน) กับแนวคิดและผลการศึกษาของจิตวิทยาเชิงบวกและจิตวิทยาสังคม[33]หรือว่าผู้ได้รับรางวัลโนเบล ศ. อีริก แคนเดิลและผู้ร่วมงานได้วินิจฉัยภาวะซึมเศร้าได้โดยเพียงแค่ดูภาพสมองที่ทำโดย fMRI เพียงเท่านั้น[34]

โดยกำหนดสัมพันธภาพทางประสาท (neural correlate) กับอารมณ์ นักวิทยาศาสตร์อาจสามารถใช้เทคนิคเช่น การสร้างภาพสมองโดยใช้ fMRI เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับความสุขแบบต่าง ๆเช่น นักจิตวิทยาผู้หนึ่งทำงานวิจัยเพื่อกำหนดส่วนของสมองที่มีส่วนร่วมกับอารมณ์เชิงบวกแล้วพบว่า prefrontal cortex ด้านซ้าย ทำงานมากกว่าเมื่อเกิดความสุข และสัมพันธ์กับความสามารถในการฟื้นตัวจากอารมณ์เชิงลบ และความสามารถที่เพิ่มขึ้นในการระงับอารมณ์เชิงลบและที่น่าสนใจก็คือ เขาพบว่า บุคคลสามารถฝึกตัวเองให้สมองส่วนนี้ทำงานเพิ่มขึ้น[35]

เชื่อกันว่า สมองของบุคคลสามารถเปลี่ยนไปได้ตลอดอาศัยประสบการณ์ชีวิตซึ่งเป็นสภาพที่เรียกว่า neuroplasticity (สภาพพลาสติกของระบบประสาท)แต่ว่าก็มีนักจิตวิทยาคู่หนึ่งที่ศึกษาว่า อารมณ์อะไรสามารถสืบทอดทางกรรมพันธุ์แล้วพบว่า ความรู้สึกว่าเป็นอยู่ดีโดยระยะยาวขึ้นอยู่กับพันธุกรรมถึง 80%ซึ่งหมายความว่า ครอบครัวของเราสำคัญต่อชีวิตทางอารมณ์ของเราเมื่อเป็นผู้ใหญ่ เพราะว่า เราได้สืบทอดพันธุกรรมที่เป็นตัวกำหนดการตอบสนองทางอารมณ์ขั้นพื้นฐานต่อโลกภายนอกดังนั้น กรรมพันธุ์จึงสำคัญต่อคุณภาพชีวิตทางอารมณ์ระยะยาวของเรา มากกว่าพฤติกรรมที่เรียนรู้หรือคุณภาพของสิ่งแวดล้อมในวัยเด็กต้น ๆ อย่างน้อยก็โดยตามแบบจำลองทางสังคม-เศรษฐกิจที่ใช้ในปัจจุบัน[36]แต่ว่า 20% ที่เหลือ ก็ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้โดยใช้ความคิดและพฤติกรรมที่เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรประมาท

ทางทฤษฎีวิวัฒนาการ

แนวคิดทางทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นอีกวิธีหนึ่งเพื่อให้เข้าใจเรื่องความสุขและคุณภาพชีวิตคำถามแนะแนวทางที่เป็นกุญแจสำคัญก็คือคุณลักษณะอะไรในสมองที่ช่วยให้มนุษย์แยกแยะระหว่างสภาวะเชิงบวกและเชิงลบในจิตได้และคุณลักษณะเช่นนี้ช่วยเพิ่มความสามารถในการอยู่รอดและสืบพันธุ์ได้อย่างไรผู้ที่โปรโหมตมุมมองทางวิวัฒนาการอ้างว่า คำตอบต่อคำถามเหล่านี้สามารถช่วยให้เข้าใจได้ว่า ความสุขคืออะไร และเข้าใจถึงวิธีที่ดีที่สุดในการฉวยประโยชน์จากสมรรถภาพทางสมองของมนุษย์ที่มีเป็นมุมมองที่แสดงอย่างละเอียดอย่างเป็นรูปนัยในหนังสือ ความสุขแบบดาร์วิน (Darwinian Happiness)[37]

ใกล้เคียง

จิตวิทยา จิตวิทยาเชิงบวก จิตวิทยาคลินิก จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ จิตวิทยาชุมชน จิตวิทยาเกสทัลท์ จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ จิตวิเคราะห์ จิตวิทยาสังคม จิตวิทยาการเรียนรู้

แหล่งที่มา

WikiPedia: จิตวิทยาเชิงบวก http://www.cbc.ca/ideas/episodes/2011/06/20/say-no... http://awesomeculture.com/2011/09/13/the-science-o... http://doubtreligion.blogspot.com/2010/06/rd-extra... http://www.bmj.com/cgi/pmidlookup?view=long&pmid=1... http://www.cape-coral-daily-breeze.com/page/conten... http://www.chicagotribune.com/suburbs/northbrook/c... http://www.economist.com/node/17722557 http://www.economist.com/node/17722567 http://www.economist.com/world/na/PrinterFriendly.... http://www.forbes.com/2010/07/14/world-happiest-co...