อรรถาธิบาย ของ ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ

ในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาการปกครองสมัยใหม่ที่ใช้กันอยู่ทั่วทุกมุมโลกในปัจจุบัน ทำให้กระบวนการเลือกตั้ง และการตัดสินใจโดยเสียงข้างมากได้กลายเป็นสิ่งที่จำเป็น และสำคัญประการแรกๆ ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ แต่กระบวนการเลือกตั้งก็อาจไม่ใช่ปัจจัยที่เพียงพอเสียแล้วในการสร้างคุณค่าให้แก่ประชาธิปไตยแบบตัวแทน เพราะคุณภาพของประชาธิปไตยสมัยใหม่นั้นอยู่ที่การเคารพทั้งการตัดสินใจของเสียงข้างมาก ในขณะเดียวกันก็จะต้องธำรงไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพของเสียงข้างน้อย ด้วยเหตุนี้ แนวคิดประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือจึงเข้ามาตอบโจทย์จุดอ่อนของประชาธิปไตยเสียงข้างมาก และพยายามช่วยให้เราสามารถบรรลุคุณค่าของประชาธิปไตยทั้งสองมิติไปได้พร้อมๆ กัน

อนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดของระบอบประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือนั้นอยู่ที่กระบวนการ “ปรึกษาหารือ” (deliberation) ของประชาชน นั่นเพราะกระบวนการปรึกษาหารือนี้จะช่วยทำให้ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองที่มากไปกว่าแค่การเข้าคูหาเพื่อเลือกตั้งเท่านั้น หรือที่เรียกกันว่าประชาธิปไตยแบบสี่วินาที (four seconds democracy) เพราะในกระบวนการปรึกษาหารือนี้ ประชาชนทุกๆ คนจะร่วมกันใช้ข้อมูลและเหตุผลเป็นเครื่องมือหลักในการแสดงออกซึ่งจุดยืน ตลอดจนมีโอกาสที่จะโน้มน้าวจิตใจของพลเมืองคนอื่นๆ ให้คล้อยตามเหตุผลของตนได้อย่างเท่าเทียมกันทั้งเสียงข้างมาก และเสียงข้างน้อย เพื่อที่สุดท้ายจะนำไปสู่การตัดสินใจทางการเมืองหนึ่งๆ ร่วมกันอย่างเข้าใจ ดังที่ฮาเบอร์มาส (Habermas, 1975)[2] ได้กล่าวถึงกระบวนการปรึกษาหารือในระบอบประชาธิปไตยว่าไม่ได้เกิดขึ้นจากความต้องการของผู้มีอำนาจที่อยู่เหนือตัวเราขึ้นไป หากแต่เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างเข้าอกเข้าใจของพลเมืองทุกๆ คนที่เข้าร่วมในกระบวนการปรึกษาหารือ

ด้วยเหตุนี้ในระบอบประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ กระบวนการปรึกษาหารือของประชาชน ทุกๆฝ่ายจึงได้ถูกนำมาวางไว้ก่อนหน้าที่จะมีการตัดสินใจสำคัญในทางการเมืองใดๆ เช่น ก่อนหน้าที่จะมีการออกกฎหมายโดยรัฐสภา หรือก่อนการพิพากษาตัดสินคดีความของศาล หรือแม้แต่ก่อนการออกนโยบายสาธารณะใดๆ ของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยเสียงข้างมาก นั่นก็เพราะในบางครั้งเสียงข้างมากที่เลือกตั้งรัฐบาลเข้าไปอาจไม่เห็นพ้องต้องกันกับรัฐบาล หรือ ผู้ที่สนับสนุนนโยบายสาธารณะหนึ่งๆ ของรัฐบาลเสมอไปในทุกๆ กรณี ดังนั้นกระบวนการปรึกษาหารือของประชาชนจะช่วยทำให้การออกกฎหมาย คำตัดสินพิพากษาคดีของศาล (ในกรณีใช้ระบบลูกขุน) หรือ การออกนโยบายสาธารณะใดๆ นั้นเป็นไปตามความเห็นพ้องต้องกันจากประชาชนทุกๆฝ่ายของสังคม และจะช่วยอุดช่องว่างของประชาธิปไตยแบบตัวแทนที่ประชาชนมีโอกาสแสดงเจตจำนงอิสระ หรือ อัตตาณัติของตนเพียงครั้งเดียวคือตอนเข้าคูหาเพื่อไปเลือกตั้งผู้แทน โดยที่ไม่มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็น หรือ ที่มาที่ไปของนโยบายนั้นๆ ร่วมกับพลเมืองคนอื่นๆ ภายในรัฐเลย (ไชยันต์, 2549)

กระบวนการปรึกษาหารือของประชาชนนั้นอาจกระทำได้ในหลายวิธี เช่น การจัดให้มีเวทีเสวนาแบบเปิด (open forum) หรือ ประชาเสวนาหาทางออก (deliberation) เพื่อเปิดกว้างให้สาธารณชนได้มีโอกาสเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันกับองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนในประเด็นสำคัญทางการเมืองต่างๆ หรือ การใช้โพลล์เสวนา (deliberative polling: DP) ในการบ่งบอกว่าอะไรคือสิ่งที่สาธารณชนทั้งหมดคิดเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณะ หรือ เกี่ยวกับผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่ว่าสาธารณชนได้มีโอกาสขบคิดกันอย่างกว้างขวาง (extensive reflection) และได้มีหนทางเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างทั่วถึงเสมอกัน เป็นต้น (ไชยันต์, 2549)[3]