ยุคเริ่มแรก ของ ประวัติศาสตร์สเปน

เพดานถ้ำอัลตามีรา

ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ในคาบสมุทรไอบีเรียย้อนไปได้ถึงประมาณ 8 แสนปีมาแล้ว[2] หลังจากการค้นพบซากของมนุษย์โฮโมแอนเทเซสเซอร์ (Homo antecessor) ในแหล่งโบราณคดีที่กรันโดลีนา ("หลุมยุบขนาดใหญ่") ในภูเขาอาตาปวยร์กา จังหวัดบูร์โกส แคว้นกัสติยาและเลออน[2][3][4]

ในช่วงยุคหินเก่าตอนกลาง (3 แสนปี-3 หมื่นปีมาแล้ว) ได้เกิดยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายขึ้นพร้อมกับวัฒนธรรมของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัล (Homo neanderthalensis) มีการค้นพบกะโหลกมนุษย์กลุ่มนี้อายุประมาณ 6 หมื่นปีมาแล้วที่ยิบรอลตาร์[2] รวมทั้งมีการค้นภาพเขียนบนผนังในถ้ำลาร์เบรดาซึ่งเขียนขึ้นในยุคนี้ที่แคว้นกาตาลุญญา และเมื่อประมาณ 16,000 ปีมาแล้ว (ซึ่งอยู่ในช่วงยุคหินเก่าตอนปลาย) วัฒนธรรมแมกดาเลเนียน (Magdalenian; Magdaleniense) ก็ได้กำเนิดขึ้นในแถบแคว้นอัสตูเรียส แคว้นกันตาเบรีย[2] และแคว้นประเทศบาสก์ปัจจุบัน สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในบริเวณดังกล่าวคือ ภาพวาดที่มีชื่อเสียงในถ้ำอัลตามีรา ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีของศิลปะถ้ำ[5]

มนุษย์โฮโมเซเปียนส์ (Homo sapiens) รุ่นแรก (เช่น โคร-มาญง) ปรากฏขึ้นตั้งแต่ 15,000 ปีมาแล้ว ส่วนมนุษย์สองพวกแรกที่เกิดขึ้นก่อนนั้นก็เริ่มสูญพันธุ์ไป จนเมื่อ 3,700 ปีมาแล้ว คาบสมุทรไอบีเรียก็เริ่มเข้าสู่ยุคหินกลาง มนุษย์สมัยนี้รู้จักการทำเกษตรกรรมมากขึ้น ส่วนวิถีชีวิตที่เร่ร่อนของชนเผ่าค่อย ๆ ลดลงเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปถึงประมาณ 3,000 ปี-2,500 ปีมาแล้ว จึงปรากฏชุมชนที่มีวัฒนธรรมแบบยุคโลหะ ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เองที่วัฒนธรรมแก้วทรงระฆัง (Bell-Beaker culture; Cultura del Vaso Campaniforme) ได้เกิดขึ้นและเจริญต่อมาในช่วงปลายยุคทองแดงต่อต้นยุคสำริด[6]

แก้วเซรามิกทรงระฆัง พบที่เมืองซิเอมโปซูเอโลส แคว้นมาดริด

ความก้าวหน้าของมนุษย์ในยุคสำริดตอนกลางที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในวัฒนธรรมอาร์การิก (Argaric culture; Cultura argárica) ในแถบจังหวัดอัลเมริอาปัจจุบัน[7] มีการฝังศพในหม้อขนาดใหญ่[6] และฝังศพเป็นกลุ่ม ตามชุมชนอื่น ๆ ในไอบีเรียก็มีการพัฒนาเทคโนโลยีการใช้สำริดในเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่นกัน เช่น ขวาน ดาบ กำไล ซึ่งบางครั้งอาจใส่ไปกับศพด้วย ส่วนทางแถบลามันชามีการสร้างเนินเขาเล็ก ๆ ซึ่งบนสุดจะเป็นชุมชนที่มีป้อมปราการล้อมรอบอยู่ ลักษณะนี้เรียกว่าโมติยัส (Motillas) ชุมชนกลุ่มนี้มีความสัมพันธ์อย่างชัดเจนกับชุมชนยุคสำริดแถบชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทร (หรือเรียกว่า "ลิแวนต์") เนื่องจากมีวัฒนธรรมการใช้โลหะเหมือนกัน[6] วัฒนธรรมโมตียัสดำรงอยู่ประมาณ 200-300 ปีจนกระทั่งถูกละทิ้งไปเมื่อ 1,300 ปีก่อนคริสตกาล[7] ซึ่งร่วมสมัยเดียวกับการสิ้นสุดของวัฒนธรรมอาร์การิก จากนั้นเมื่อประมาณ 1,000 ปี หรือ 700 ปีก่อนคริสต์ศักราชซึ่งอยู่ในยุคสำริดตอนปลาย อารยธรรมตาร์เตสโซสในหุบเขากวาดัลกีบีร์ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทรก็เกิดขึ้น

ในยุคเหล็ก การแบ่งแยกในสังคมเริ่มเห็นได้ชัดขึ้น ปรากฏหลักฐานการมีอยู่ของตำแหน่งผู้นำท้องถิ่นและพวกผู้ดีขี่ม้า เป็นไปได้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นตัวแทนการมาถึงของกระแสวัฒนธรรมจากภายนอก เนื่องจากชาวเคลต์ (Celts; celtas) จากตอนกลางของทวีปยุโรปได้เริ่มอพยพเข้ามาในยุคนี้ ซึ่งปรากฏว่ามีชาวฟินิเชีย (Phoenicians; fenicios) และชาวกรีกเข้ามาติดต่อค้าขายกับผู้คนในดินแดนตามชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนแล้วในช่วงนั้น[8]

การมาถึงของชนกลุ่มต่าง ๆ (1,000 ปีก่อน ค.ศ.)

หลุมศพในหมู่บ้านชาวไอบีเรียน (โบราณ) แห่งหนึ่งใกล้เมืองอาไซย์ลา จังหวัดเตรวยล์ แคว้นอารากอน

ชาวเคลต์มาถึงคาบสมุทรในช่วง 1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช[8] พวกเขาเข้าครอบครองอาณาเขตซึ่งปัจจุบันเป็นแคว้นกาลิเซีย แคว้นอัสตูเรียส แคว้นกันตาเบรีย แคว้นประเทศบาสก์ ตอนเหนือของแคว้นกัสติยา-เลออน และพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศโปรตุเกส ภายหลังก็กลายเป็นชนกลุ่มหลักของคาบสมุทรไอบีเรีย

ทางด้านชายฝั่งลิแวนต์ก็เริ่มมีชาวฟินิเชียเข้ามาครั้งแรกเมื่อ 1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช และเริ่มตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ประมาณ 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช และต่อมาก็ลงไปทางตอนใต้ของคาบสมุทร ตั้งเมืองกาดีร์[8] มาลากา และอับเดรา (เมืองอาดราในจังหวัดอัลเมริอาปัจจุบัน) รวมทั้งยังตั้งนิคมการค้าอีกหลายแห่งขึ้นริมฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน

ส่วนชาวกรีกก็เข้ามาในไอบีเรียเช่นกันดังกล่าวแล้ว แต่จะขึ้นไปตั้งถิ่นฐานตามชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือ ในบริเวณที่เป็นแคว้นกาตาลุญญาปัจจุบัน เช่นที่โรเดส (เมืองโรซัส) และเอมเพอเรียน (เมืองอัมปูเรียส) พวกเขาได้พบกับชาวไอบีเรียน (Iberians; iberos) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองหลักอีกกลุ่มหนึ่งนอกจากชาวเคลต์ โดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของชาวกรีกที่กล่าวถึงชนกลุ่มนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกประมาณ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช[9] อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่อารยธรรมของชาวตาร์เตสโซสทางภาคใต้ซึ่งสันนิษฐานว่าเจริญขึ้นมาตั้งแต่ยุคสำริดตอนปลายก็ได้สูญหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด[10]

จากนั้น บริเวณตอนในของคาบสมุทร (ที่ราบสูงเมเซตา) เช่น ที่เมืองนูแมนเชีย (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดโซเรีย แคว้นกัสติยาและเลออน) เป็นที่ที่ชาวเคลต์จากภาคตะวันตกเฉียงเหนือและชาวไอบีเรียนจากภาคตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาติดต่อและอยู่ร่วมกัน และได้เกิดกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมแบบผสมและเป็นลักษณะเฉพาะตัว คือ ชาวเคลติเบเรียน (Celtiberian; celtíberos)[11]

การพิชิตของชาวคาร์เทจและชาวโรม (300 ปีก่อน ค.ศ.)

อาณาเขตของคาร์เทจ (สีม่วง) และโรม (สีชมพู) ในปี 218 ก่อนคริสต์ศักราช (ก่อนเกิดสงครามพิวนิกครั้งที่ 2)

ในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช ชาวคาร์เทจ (Carthaginians; cartagineses) ได้เริ่มเข้ามาในคาบสมุทรไอบีเรียและตั้งเมืองคาร์ทาโกโนวา (ปัจจุบันคือเมืองการ์ตาเคนา) ขึ้นริมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ต่อมาเมืองนี้ได้กลายเป็นฐานที่มั่นทางทะเลที่สำคัญที่สุดของชนกลุ่มนี้[12] ภายในเวลาอันรวดเร็ว ในที่สุดคาร์เทจและโรมก็เกิดความขัดแย้งและสู้รบกันในสงครามพิวนิก (Punic Wars; Guerras Púnicas) ถึงสามครั้ง เหตุผลหลักมาจากทั้งสองฝ่ายต่างต้องการมีอำนาจเหนือดินแดนในแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตกซึ่งอุดมไปด้วยทรัพยากร หลังจากพ่ายแพ้ในสงครามพิวนิกครั้งที่ 1 ซึ่งกินเวลาถึง 23 ปี[13] ชาวคาร์เทจก็หันมาขยายอำนาจทางคาบสมุทรไอบีเรียนี้ เพื่อทดแทนกับการสูญเสียเกาะซิซิลี[14] เกาะซาร์ดิเนีย และเกาะคอร์ซิกาไป

ฮามิลการ์ บาร์กา, ฮันนิบาล และนายพลของคาร์เทจคนอื่น ๆ เข้ามาครอบครองอาณานิคมเดิมของชาวฟินิเชียที่อยู่ตามชายฝั่งของอันดาลูซิอาและลิแวนต์เข้าไว้ในอำนาจ หลังจากนั้นก็ดำเนินการยึดครองและขยายเขตอิทธิพลเหนือชนพื้นเมืองออกไป เมื่อถึงตอนปลายศตวรรษเดียวกัน เมืองและหมู่บ้านส่วนใหญ่ตั้งแต่แม่น้ำเอโบร[15] และแม่น้ำโดรูลงมา รวมไปถึงหมู่เกาะแบลีแอริกต่างตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคาร์เทจทั้งสิ้น ฮันนิบาลได้เป็นผู้นำคาร์เทจในการต่อต้านโรมโดยใช้คาบสมุทรไอบีเรียเป็นฐานปฏิบัติการ รวมทั้งนำชนพื้นเมืองมาเป็นกำลังในกองทัพของเขา

จนกระทั่งในปี 219 ก่อนคริสต์ศักราช ฮันนิบาลนำทัพคาร์เทจเข้าโจมตีเมืองซากุนโตซึ่งเป็นอาณานิคมการค้าของกรีกและเป็นพันธมิตรกับโรม[16] จึงเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามพิวนิกครั้งที่ 2[13][17] ที่กินเวลา 17 ปี[13] ในสงครามครั้งนี้ ทหารคาร์เทจสามารถรุกข้ามเทือกเขาพิเรนีสและเทือกเขาแอลป์เข้าสู่คาบสมุทรอิตาลีได้สำเร็จ (โดยนำม้าและช้างจำนวนมากเข้าช่วยในการรบ[18][19]) แต่สงครามก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้อีกครั้งของคาร์เทจ โดยเหลือเพียงเมืองของตนริมชายฝั่งแอฟริกาเหนือเท่านั้นที่ยังอยู่ในอำนาจ ส่วนคาบสมุทรไอบีเรียถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐโรมัน เริ่มต้นสมัยของฮิสปาเนีย (Hispania) ในดินแดนแห่งนี้

ใกล้เคียง

ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสนาพุทธ ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ประวัติศาสตร์จีน ประวัติศาสตร์โลก ประวัติศาสตร์สหรัฐ ประวัติศาสตร์สเปน ประวัติศาสตร์เยอรมนี ประวัติการบินไทย

แหล่งที่มา

WikiPedia: ประวัติศาสตร์สเปน http://www.ucalgary.ca/applied_history/tutor/eurvo... http://www.bartleby.com/65/ch/Charles5HRE.html http://indoeuro.bizland.com/archive/article8.html http://www.britannica.com/EBchecked/topic/557573/S... http://www.britannica.com/EBchecked/topic/557573/S... http://www.britannica.com/EBchecked/topic/558200/S... http://www.britannica.com/EBchecked/topic/590747/T... http://www.clarin.com/diario/2003/03/29/um/m-53749... http://www.generalisimofranco.com/GC/batallas/006.... http://www.historynet.com/second-punic-war-battle-...