ภาษาเขมรสมัยกลาง หรือ
ภาษาเขมรสมัยหลังพระนคร เป็นชื่อที่ใช้เรียก
ภาษาเขมรในช่วงเวลาระหว่างศตวรรษที่ 14 ถึงศตวรรษที่ 18
[1] ซึ่งเอาไว้แบ่งคั่นช่วงเวลาระหว่างยุคของ
ภาษาเขมรเก่าและภาษาเขมรสมัยใหม่ พัฒนาการและการสื่อสารของภาษาเขมรสมัยกลางเกิดขึ้นพร้อมกับการล่มสลายของ
อาณาจักรพระนคร ร่วมสมัยพร้อมกับการขยายอิทธิพลของ
อาณาจักรอยุธยา โดยยุคดังกล่าวถูกเรียกว่า
ยุคหลังพระนคร ภาษาเขมรสมัยกลางเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้าน
สัทวิทยา (phonology)
[2]ของตัวภาษาไปจากเดิมอย่างมาก ซึ่งก็ได้วิวัฒนาการไปเป็นภาษาเขมรสมัยใหม่ในช่วงปี ค.ศ. 1777 เป็นต้นมา ซึ่งอยู่ในรัชสมัยของ
นักองค์เอง พระราชบิดาของ
นักองด้วงภาษาเขมรได้หยิบยืมระบบการเขียนมาจากระบบการเขียนของ
ตระกูลอักษรอินเดีย นับตั้งแต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 6–7
[3] ทั้งรูปแบบของภาษาเขมรเก่าและการเปลี่ยนแปลงของภาษาเขมรสมัยกลางต่างก็ได้ทิ้งร่องรอยที่เป็นลายลักษณ์อักษรเหลือไว้เป็นจำนวนมาก ทําให้ภาษาเขมรสมัยกลางได้รับการสืบสร้างและถูกนำมาศึกษาใหม่อีกครั้ง ในยุคดังกล่าวตัวภาษาเองก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงหน่วยเสียงต่างๆ ใน
กลุ่มฐานเสียงพยัญชนะระเบิด (plosive consonant) ซึ่งมีความแตกต่างไปจากภาษาเขมรเก่า ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบสระเพื่อชดเชยความแตกต่างในวิธีการออกเสียงตามมา โดย
สระที่ตามหลังกลุ่มฐานเสียงพยัญชนะระเบิด โฆษะ โดยส่วนใหญ่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของหน่วยเสียงสระไปจากเดิมมากนัก ขณะที่สระชุดเดียวกันซึ่งตามหลังด้วยกลุ่มฐานเสียงพยัญชนะระเบิด อโฆษะ ก็ได้เกิดกระบวนการเลื่อนสระไปเป็นหน่วยเสียงที่แตกต่างกันไปอย่างเป็นระบบ แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวครอบคลุมทั้งสระเดี่ยวและสระประสม นอกจากนี้การสูญเสียหน่วยเสียง /r/ ในตัวสะกด "រ" และการควบรวมหน่วยเสียง /s/ ไปเป็น /h/ ในตัวสะกด "ស" ดังที่ปรากฎภาษาเขมรสมัยใหม่ ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นในยุคของภาษาสมัยเขมรกลางทั้งสิ้นภาษาเขมรสมัยกลางมีหลักฐานชั้นต้นปรากฏอยู่ในรูปแบบของเอกสารหรือจารึกอยู่เป็นจำนวนมาก ในปัจจุบันภาษาเขมรสมัยกลางได้พัฒนาไปเป็นภาษาสมัยใหม่ถึงสามภาษา ได้แก่
ภาษาเขมรเหนือ ภาษาเขมรตะวันตก สำเนียงถิ่นต่างๆ ในภาษาเขมรกลาง รวมถึงภาษาเขมรสำเนียงมาตรฐานและภาษาเขมรกรอม