เมนูนำทาง
ภาษาไทดั้งเดิม ระบบเสียงภาษาไทดั้งเดิมมีหน่วยเสียงพยัญชนะที่หลากหลายกว่าภาษาตระกูลไทในปัจจุบัน แต่มีเสียงวรรณยุกต์ที่น้อยกว่าภาษาปัจจุบัน
ตารางด้านล่างนี้แสดงระบบพยัญชนะของภาษาไทดั้งเดิม ตามการสืบสร้างของ หลี่ ฟางกุ้ย ในหนังสือ คู่มือภาษาศาสตร์เชิงเปรียบเทียบตระกูลไท (A Handbook of Comparative Tai). พยัญชนะในฐานเพดานแข็ง ซึ่งระบุในหนังสือดังกล่าวด้วยสัญลักษณ์ [č, čh, ž] ถูกจัดเป็นหยัญชนะกักเสียดแทรก (affricate consonant) ในที่นี้จะใช้สัญลักษณ์ [tɕ, tɕʰ and dʑ] ตามลำดับ เพื่อให้สอดคล้องกับระบบสัทอักษรสากล
ริมฝีปาก (Labial) | ปุ่มเหงือก (Alveolar) | เพดานแข็ง (Palatal) | เพดานอ่อน (Velar) | เส้นเสียง (Glottal) | ||
---|---|---|---|---|---|---|
กัก (Stop) | ไม่ก้อง ไม่พ่นลม (Voiceless unaspirated) | p | t | tɕ | k | |
ไม่ก้อง พ่นลม (Voiceless aspirated) | pʰ | tʰ | tɕʰ | kʰ | ||
ก้อง (Voiced) | b | d | dʑ | ɡ | ||
กักเส้นเสียง (Glottalized) | ʔb | ʔd | ʔj | ʔ | ||
เสียดแทรก (Fricative) | ไม่ก้อง (Voiceless) | f | s | x | h | |
ก้อง (Voiced) | v | z | ɣ | |||
นาสิก (Nasals) | ไม่ก้อง (Voiceless) | hm | hn | hɲ | hŋ | |
ก้อง (Voiced) | m | n | ɲ | ŋ | ||
เสียงไหล (Liquids) และ กึ่งสระ (semivowel) | ไม่ก้อง (Voiceless) | hw | hr, hl | |||
ก้อง (Voiced) | w | r, l | j |
ระบบเสียงดังกล่าวนี้ได้รับการสืบสร้างใหม่โดย พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ ในปี พ.ศ. 2552 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงหลายประการด้วยกัน การเปลี่ยนแปลงบางอย่างเป็นเพียงการตีความที่แตกต่างกันเท่านั้น ได้แก่ พยัญชนะฐานเพดานแข็งถูกจัดใหม่ให้เป็นพยัญชนะกัก (stop) แทนที่จะเป็นพยัญชนะกักเสียดแทรก (affricate) ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับพยัญชนะอื่นๆ ภายในระบบเสียงภาษาไทดั้งเดิม และสามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางสัทศาสตร์ได้โดยใช้หลักเดียวกันกับพยัญชนะกักตัวอื่นๆ (ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเสียงพยัญชนะเหล่านี้ไม่ได้มีลักษณะของการกักเสียดแทรก) การตีความอีกอย่างที่ต่างกันคือ พยัญชนะที่มีเสียงกักเส้นเสียงนำมาก่อน (pre-glottalized consonant) [ʔb, ʔd] ถูกตีความใหม่ให้เป็นเสียงกักเส้นเสียงลมเข้า (implosive consonant) [ɓ, ɗ] แทน อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ได้แก่
ตารางด้านล่างนี้แสดงระบบเสียงหยัญชนะในภาษาไทดั้งเดิม ตามการสืบสร้างของพิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์
ริมฝีปาก | ปุ่มเหงือก | เพดานแข็ง | เพดานอ่อน | ลิ้นไก่ | เส้นเสียง | ||
---|---|---|---|---|---|---|---|
กัก | ไม่ก้อง | p | t | c | k | q | |
ก้อง | b | d | ɟ | ɡ | ɢ | ||
กักเส้นเสียง | ɓ | ɗ | ʔj | ʔ | |||
เสียดแทรก | ไม่ก้อง | s | (ɕ) | x | χ | h | |
ก้อง | z | (ʑ) | ɣ | ||||
นาสิก | ไม่ก้อง | hm | hn | hɲ | (hŋ) | ||
ก้อง | m | n | ɲ | ŋ | |||
เสียงไหลและกึ่งสระ | ไม่ก้อง | hw | hr, hl | ||||
ก้อง | w | r, l | j |
ภาษาตระกูลไทในปัจจุบันมีเสียงพยัญชนะท้าย (ตัวสะกด) เพียงไม่กี่เสียงเมื่อเทียบกับเสียงพยัญชนะต้น โดยมีลักษณะการเกิดเสียง (manner of articulation) ที่เป็นไปได้เพียง 3 แบบได้แก่ เสียงกัก, เสียงนาสิก และเสียงเปิดเท่านั้น และไม่มีการแยกระหว่างก้องหรือไม่ก้อง ทำให้หลี่ ฟางกุ้ย ได้สืบสร้างระบบเสียงพยัญชนะท้าย ซึ่งเหมือนกันกับในภาษาไทยปัจจุบัน
ริมฝีปาก | ปุ่มเหงือก | เพดานแข็ง | เพดานอ่อน | เส้นเสียง | |
---|---|---|---|---|---|
กัก | -p | -t | -k | -ʔ | |
นาสิก | -m | -n | -ŋ | ||
เสียงไหลและกึ่งสระ | -w | -j |
ในเวลาต่อมามีการศึกษาภาษาแสกเพิ่มขึ้น พบว่ามีคำที่มีเสียงพยัญชนะท้าย /-l/ อยู่ในภาษาดังกล่าว ซึ่งคำเหล่านี้ไม่ได้เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาอื่น พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ จึงสันนิษฐานว่าภาษาไทดั้งเดิมควรจะมีเสียงพยัญชนะท้าย *-l อยู่ในระบบเสียง และยังพบว่ามีการแปรเสียงพยัญชนะท้ายที่แตกต่างกันระกหว่างภาษาแสกกับภาษาไทอื่นๆ ได้แก่ คำที่ลงท้ายด้วย /-k/ บางคำในภาษาแสก กลับลงท้ายด้วย /-t/ ในภาษาไทอื่น คำเหล่านี้เดิมเคยถูกสืบสร้างให้ลงท้ายด้วย *-t ซึ่งไม่พบว่ามีเงื่อนไขใดสามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงจาก *-t ไปเป็น *-k ได้ จึงได้สืบสร้างเสียงใหม่สำหรับการแปรเสียงดังกล่าวเป็น *-c แทน
นอกจากนี้หน่วยเสียงพยัญชนะท้ายอีกตัวที่อาจเป็นไปได้คือ /*-ɲ/ ซึ่งยังมีหลักฐานไม่มาก แต่สังเกตได้จากการที่คำว่า กิน /kinA1/ ในภาษาไทย เทียบได้กับภาษาในสาขาไทเหนือว่า /kɯnA1/ ซึ่งเป็นไปได้ว่าแท้จริงแล้วเสียงพยัญชนะท้ายของคำนี้ในภาษาไทดั้งเดิมควรจะเป็น *-ɲ (ซึ่งสืบสร้างคำนี้ได้เป็น *kɯɲA) ซึ่งต่อมาเกิดการเลื่อนฐานกรณ์ไปข้างหน้า (fronting) ของทั้งสระและพยัญชนะ กลายเป็น /kinA1/ ในภาษาไทย แต่เป็น /kɯnA1/ ในภาษากลุ่มไทเหนือ
ริมฝีปาก | ปุ่มเหงือก | เพดานแข็ง | เพดานอ่อน | |
---|---|---|---|---|
กัก | -p | -t | -c | -k |
นาสิก | -m | -n | (-ɲ) | -ŋ |
เสียงไหลและกึ่งสระ | -w | -l | -j |
หลี่ ฟางกุ้ย (1977) ได้สืบสร้างพยัญชนะต้นควบต่อไปนี้
Labial | Alveolar | Velar | |
---|---|---|---|
Unvoiced Stop | pr-, pl- | tr-, tl- | kr-, kl-, kw- |
Aspirated unvoiced stop | pʰr-, pʰl- | tʰr-, tʰl- | kʰr-, kʰl-, kʰw- |
Voiced Stop | br-, bl- | dr-, dl- | ɡr-, ɡl-, ɡw- |
Implosive | ʔbr-, ʔbl- | ʔdr-, ʔdl- | |
Voiceless Fricative | fr- | xr-, xw- | |
Voiced Fricative | vr-, vl- | ||
Nasal | mr-, ml- | nr-, nl- | ŋr-, ŋl-, ŋw- |
Liquid |
การสืบสร้างภาษาไทดั้งเดิมของหลี่ ฟางกุ้ย ยังมีปัญหาที่อธิบายไม่ได้หลายประการ หนึ่งในนั้นคือความไม่สอดคล้องกันระหว่างการแปรเสียงพยัญชนะต้น เช่น คำว่า (มีด)พร้า /phra:C2/ ซึ่งร่วมเชื้อสายกับคำว่า /tha:C2/ ในภาษาแสกซึ่งหลี่ ฟางกุ้ย เคยสืบสร้างให้ขึ้นต้นด้วย *vr- นอกจากนี้ยังมีคำอื่นๆ พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ (2009) เห็นว่าการแปรเสียงดังกล่าวไม่สามารถอธิบายได้จากการสืบสร้างเดิม แต่จะอธิบายได้ถ้าให้ภาษาไทดั้งเดิมมีพยางค์ย่อย (sesquisyllable หรือ minor syllable) ที่นอกเหนือจากพยางหลักด้วย จากนั้นจึงอธิบายการแปรเสียงดังกล่าวได้ว่าเป็นการกร่อนของพยัญชนะควบทั้งพยางค์หลักและย่อยที่คนละตำแหน่งกัน ดังนั้นจึงแบ่งพยัญชนะควบออกได้เป็น
พยัญชนะควบกล้ำพยางค์ครึ่งเป็นลักษณะที่พบได้ในภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติกส่วนใหญ่ เช่นภาษาเขมร แต่ในภาษาตระกูลไทในปัจจุบันไม่พบว่ามีพยัญชนะควบกล้ำพยางค์ครึ่งหลงเหลืออยู่เลย ได้สันนิษฐานว่าภาษาไทดั้งเดิมเพิ่งเข้าสู่ระยะ "ควบกล้ำพยางค์ครึ่ง" (sesquisyllabic stage) เท่านั้น (ซึ่งกร่อนมาจาก ภาษาขร้าไทดั้งเดิม ที่สันนิษฐานว่ามีสองพยางค์เป็นอย่างต่ำ) ซึ่งกำลังจะเข้าสู่ระยะ "พยางค์เดียว" (monosyllabic stage) ต่อไป ดังที่พบในภาษาตระกูลไททุกภาษา
ตารางด้านล่างนี้แสดงพยัญชนะควบกล้ำพยางค์เดี่ยว ซึ่งสืบสร้างโดย พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ (2009)
Labial | Alveolar | Palatal | Velar | Uvular | |
---|---|---|---|---|---|
Unvoiced Stop | pr-, pl-, pw- | tr-, tw- | cr- | kr-, kl-, kw- | qr-, qw- |
Implosive | br-, bl-, bw- | ɡr-, (ɡl-) | ɢw- | ||
Fricative | sw- | xw-, ɣw- | |||
Nasal | ʰmw- | nw- | ɲw- | ŋw- | |
Liquid | ʰrw-, rw- |
ด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างของกลุ่มพยัญชนะควบพยางค์ครึ่ง
พยัญชนะควบอื่นๆ ได้แก่ *r.t-, *t.h-, *q.s-, *m.p-, *s.c-, *z.ɟ-, *g.r-, *m.n-; *gm̩.r-, *ɟm̩ .r-, *c.pl-, *g.lw-; etc.
หลี่ ฟางกุ้ย (1977) ได้สืบสร้างสระเดี่ยว จำนวน 9 เสียง โดยมีลักษณะสมมาตรทั้งสระส่วนหน้าและสระส่วนหลัง โดยสระส่วนหลังมีการแยกระหว่างปากห่อ (rounded) กับปากเหยียด (unrounded) ด้วย ซึ่งคล้ายคลึงกับระบบสระของภาษาตระกูลไทในปัจจุบัน แต่กลับไม่มีการแยกระหว่างความสั้น-ยาว ดังตารางด้านล่าง
Front | Back | ||
---|---|---|---|
unrounded | unrounded | rounded | |
Close | i | ɯ | u |
Mid | e | ɤ | o |
Open | ɛ | a | ɔ |
พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ (2009) ได้ปรับปรุงแก้ไขระบบเสียงสระใหม่ โดยตัดสระ /ɛ/ และ /ɔ/ ออก และเพิ่มความแตกต่างระหว่างความสั้น-ยาว ของสระ ดังตารางด้านล่าง
Front | Back | |||||
---|---|---|---|---|---|---|
unrounded | unrounded | rounded | ||||
short | long | short | long | short | long | |
Close | /i/ | /iː/ | /ɯ/ | /ɯː/ | /u/ | /uː/ |
Mid | /e/ | /eː/ | /ɤ/ | /ɤː/ | /o/ | /oː/ |
Open | /a/ | /aː/ |
สระประสม (diphthong) โดย พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ (2009) ได้แก่:
ภาษาไทดั้งเดิมมีเสียงวรรณยุกต์สามเสียงในพยางค์ที่ลงท้ายด้วยพยัญชนะเสียงกังวาน (พยางค์เป็น, อังกฤษ: unchecked syllable หรือ "live syllable") และไม่มีการแยกเสียงวรรณยุกต์ในพยางค์ที่ลงท้ายด้วยพยัญชนะปิดกั้น (พยางค์ตาย, อังกฤษ: checked syllable หรือ "dead syllable") ระบบเสียงดังกล่าวมีความคล้ายคลึงอย่างมากกับภาษาจีนยุคกลาง และพบได้ทั่วไปในภาษาแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เสียงวรรณยุกต์สามเสียงในพยางค์เป็นโดยทั่วไปจะใช้สัญลักษณ์เป็น *A, *B และ *C ตามลำดับ และใช้สัญลักษณ์ *D สำหรับเสียงวรรณยุกต์ของพยางค์ตาย
หลี่ ฟางกุ้ย (1977) ยังไม่มีข้อมูลว่าลักษณะของเสียงวรรณยุกต์ทั้งสาม (*A, *B และ *C) มีลักษณะทางสัทศาสตร์เป็นอย่างไร และวรรณยุกต์ *D นั้นแท้จริงแล้วมีลักษณะแบบเดียวกับวรรณยุกต์เสียงใดในทั้ง 3 เสียงนั้น ต่อมา พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ (2009) ได้อธิบายลักษณะของเสียงวรรณยุกต์ทั้งสี่ โดยอาศัยระเบียบวิธีเปรียบเทียบลักษณะของเสียงวรรณยุกต์ในภาษาตระกูลไทปัจจุบัน แล้วสืบสร้างกลับไป ได้ดังนี้
ระบบวรรณยุกต์ในภาษาไทดั้งเดิม แท้จริงแล้วไม่ได้ต่างกันเพียงแค่ระดับเสียง (pitch) แต่ยังต่างกันที่คุณภาพของเสียง (ปกติ, ต่ำลึก, กักเส้นเสียง) และระยะเวลาของเสียงสระด้วย ลักษณะเช่นนี้ยังคงพบในภาษาตระกูลไทในปัจจุบันหลายๆ ภาษา อักขรวิธีของภาษาไทยปัจจุบันยังคงแสดงวรรณยุกต์เหล่านี้ไว้ โดยที่ ไม้เอก ใช้สำหรับแทนเสียง *B ในภาษาไทยโบราณ และไม้โท ใช้แทนเสียง *C ในภาษาไทยโบราณ จากตารางจะพบว่า วรรณยุกต์ *D มีลักษณะทางสัทศาสตร์เหมือนกับวรรณยุกต์ *B ซึ่งสอดคล้องกับการบังคับเอกโทในฉันทลักษณ์ของโคลงสี่สุภาพ ที่กำหนดให้ทั้งคำเอก (คำที่กำกับโดยไม้เอก) และคำตายอยู่ในตำแหน่งเดียวกันได้ แสดงให้เห็นว่าในอดีต เสียงวรรณยุกต์ *B และ *D มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน
ระบบวรรณยุกต์ในภาษาไทดั้งเดิมมีความสอดคล้องกันกับระบบของภาษาจีนยุคกลาง ดังตารางต่อไปนี้[3][4]
Proto-Tai Tone | Notes (Written Thai orthography) | Middle Chinese Tone | Chinese name | Notes (Middle Chinese) |
---|---|---|---|---|
*A | Unmarked | A | 平 Level (Even) | Unmarked |
*B | Marked by -' (mai ek) | C | 去 Departing | Marked by -h |
*C | Marked by -้ (mai tho) | B | 上 Rising | Marked by -x |
*D | Unmarked | D | 入 Entering | Marked by -p, -t, -k |
วรรณยุกต์ในภาษาตระกูลไทปัจจุบันได้มีพัฒนาการมาจากวรรณยุกต์ทั้งสี่ดังกล่าว โดยเกิดการแยกเสียงวรรณยุกต์แต่ละเสียงออกเป็นอย่างน้อย 2 เสียง ขึ้นอยู่กับลักษณะทางสัทศาสตร์ของพยัญชนะต้น ซึ่งแบ่งได้เป็น 4 แบบ ต่อไปนี้
กระบวนการแปรเสียงวรรณยุกต์ในภาษาตระกูลไท เกิดร่วมไปกับการแปรเสียงพยัญชนะต้น โดยลำดับขั้นตอนได้ดังนี้
อนึ่ง วรรณยุกต์ *D ได้มีการแยกออกไปตามความสั้น-ยาวของสระในพยางค์ด้วย (*DS สำหรับพยางค์ที่มีสระเสียงสั้น และ *DL สำหรับพยางค์ที่มีสระเสียงยาว)
พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ (2009) ได้เสนอว่า การแยกเสียงวรรณยุกต์เหล่านี้เกิดภายหลังจากที่ภาษาไทดั้งเดิมได้แยกออกไปเป็นภาษาต่างๆ แล้ว แตกต่างจากแนวคิดของนักภาษาศาสตร์บางคนก่อนหน้านี้ เช่น เจมส์ อาร์ แชมเบอร์เลน (1975) ที่ได้เสนอว่าการแยกเสียงวรรณยุกต์เกิดก่อนที่จะมีการแยกตัวของภาษาตระกูลไท
วิลเลียม เจ เก็ดนีย์ (1972) ได้เสนอ กล่องวรรณยุกต์ สำหรับใช้ในการวิเคราะห์การแปรเสียงวรรณยุกต์สำหรับภาษาในตระกูลไท[5][6][7][8] ดังตารางด้านล่างนี้
*A | *B | *C | *DS | *DL | |
---|---|---|---|---|---|
Voiceless (friction) | A1 | B1 | C1 | DS1 | DL1 |
Voiceless (unaspirated) | A1 | B1 | C1 | DS1 | DL1 |
Voiceless (glottalized) | A1 | B1 | C1 | DS1 | DL1 |
Voiced | A2 | B2 | C2 | DS2 | DL2 |
และมีคำร่วมเชื้อสายตระกูลไท สำหรับทดสอบเสียงวรรณยุกต์ในภาษาตระกูลไทต่างๆ ต่อไปนี้[9][10][11]
*A | *B | *C | *DS | *DL | |
---|---|---|---|---|---|
1: Voiceless (friction) | huu หู ear, khaa ขา leg, hua หัว head; sɔɔŋ สอง two, maa หมา dog | khay ไข่ egg, phaa ผ่า to split, khaw เข่า knee; may ใหม่ new, sii สี่ four | khaaw ข้าว rice, sɨa เสื้อ shirt, khaa ฆ่า to kill, khay ไข้ fever, haa ห้า five; thuay ถ้วย cup, mɔɔ หม้อ pot, naa หน้า face, to wait | mat หมัด flea, suk สุก cooked/ripe, phak ผัก vegetable; hok หก six, sip สิบ ten | khaat ขาด broken/torn, ŋɨak เหงือก gums, haap หาบ to carry on a shoulder pole; khuat ขวด bottle, phuuk ผูก to tie, sɔɔk ศอก elbow, khɛɛk แขก guest, fruit |
2: Voiceless (unaspirated) | pii ปี year, taa ตา eye, kin กิน to eat; kaa กา teapot, plaa ปลา fish | paa ป่า forest, kay ไก่ chicken, kɛɛ แก่ old; taw เต่า turtle, paw เป่า to blow, pii ปี flute, short (height) | paa ป้า aunt (elder), klaa กล้า rice seedlings, tom ต้ม to boil; kaw เก้า nine, klay ใกล้ near, short (length) | kop กบ frog, tap ตับ liver, cep เจ็บ to hurt; pet เป็ด duck, tok ตก to fall/drop | pɔɔt ปอด lung, piik ปีก wing, tɔɔk ตอก to pound; pɛɛt แปด eight, paak ปาก mouth, taak ตาก to dry in the sun, to embrace |
3: Voiceless (glottalized) | bin บิน to fly, dɛɛŋ แดง red, daaw ดาว star; bay ใบ leaf, nose | baa บ่า shoulder, baaw บ่าว young man, daa ด่า to scold; ʔim อิ่ม full, (water) spring | baan บ้าน village, baa บ้า crazy, ʔaa อ้า to open (mouth); ʔɔy อ้อย sugarcane, daam ด้าม handle, daay ด้าย string | bet เบ็ด fishhook, dip ดิบ raw/unripe, ʔok อก chest; dɨk ดึก late, to extinguish | dɛɛt แดด sunshine, ʔaap อาบ to bathe, dɔɔk ดอก flower; ʔɔɔk ออก exit |
4: Voiced | mɨɨ มือ hand, khwaay ควาย water buffalo, naa นา ricefield; ŋuu งู snake, house | phii พี่ older sibling, phɔɔ พ่อ father, ray ไร่ dry field; naŋ นั่ง to sit, lɨay เลื่อย to saw, ashes, urine, beard | nam น้ำ water, nɔɔŋ น้อง younger sibling, may ไม้ wood, maa ม้า horse; lin ลิ้น tongue, thɔɔŋ ท้อง belly | nok นก bird, mat มัด to tie up, lak ลัก to steal; sak ซัก to wash (clothes), mot มด ant, lep เล็บ nail | miit มีด knife, luuk ลูก (one's) child, lɨat เลือด blood, nɔɔk นอก outside; chɨak เชือก rope, raak ราก root, nasal mucus, to pull |
แต่เดิมมีความเข้าใจว่าภาษาไทดั้งเดิมเป็นภาษาพยางค์เดียวเช่นเดียวกับภาษาตระกูลไทปัจจุบัน ตามการสืบสร้างของ หลี่ ฟางกุ้ย (1977) ต่อมาพิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ (2009) เสนอว่าภาษาไทดั้งเดิมเป็นภาษาพยางค์ครึ่ง ที่อนุญาตให้มีคำทั้งพยางค์เดียว และพยางค์ครึ่งอยู่ภายในภาษา ต่อมาคำพยางค์ครึ่งเหล่านั้นได้กร่อนเป็นคำพยางค์เดียวในภาษาตระกูลไทปัจจุบัน
พยางค์เปิด | พยางค์ปิด | |
---|---|---|
พยางค์เดียว | *C(C)(C)V:T | *C(C)(C)V(:)CT |
พยางค์ครึ่ง | *C(C).C(C)(C)V:T | *C(C).C(C)(C)V(:)CT |
สัญลักษณ์ย่อ:
สระในพยางค์เปิดสามารถเป็นสระเสียงยาวได้อย่างเดียว ไม่สามารถเป็นสระเสียงสั้นได้
ภาษาในตระกูลไทปัจจุบันได้พัฒนาเป็นภาษาพยางค์เดียวโดยสมบูรณ์ โดยผ่านกระบวนการดังนี้
เมนูนำทาง
ภาษาไทดั้งเดิม ระบบเสียงใกล้เคียง
ภาษาไทย ภาษาไทยถิ่นเหนือ ภาษาไทยถิ่นใต้ ภาษาไทใหญ่ ภาษาไทดั้งเดิม ภาษาไพทอน ภาษาไอนุ ภาษาไอริช ภาษาไทลื้อ ภาษาไทยสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามแหล่งที่มา
WikiPedia: ภาษาไทดั้งเดิม http://pacling.anu.edu.au/series/SEALS-PDFs/Somson... http://arrow.latrobe.edu.au:8080/vital/access/mana... http://sealang.net/crcl/proto/ http://sealang.net/sala/archives/pdf8/downer1963ch... http://sealang.net/sala/archives/pdf8/gedney1989ch... http://language.psy.auckland.ac.nz/austronesian/la... http://jseals.org/seals21/pittayaporn11prototaip.p... http://www.sil.org/silesr/abstract.asp?ref=2012-03... http://starling.rinet.ru/cgi-bin/query.cgi?basenam... http://www.lc.mahidol.ac.th/lcjournal/Documents/JL...