อิทธิพลของวง ของ ราโมนส์

จอห์นนี ราโมนในคอนเสิร์ต ปี ค.ศ. 1977

ราโมนส์ได้สร้างอิทธิพลต่อวงการดนตรีป็อปไปทั่วโลก จอน ซาเวจ (Jon Savage) นักประวัติศาสตร์ดนตรี ได้กล่าวถึงอัลบั้มเปิดตัวของเขาว่า "มันเป็นการบันทึกเสียงน้อยครั้งมาก ๆ ที่สามารถเปลี่ยนวงการป็อปไปได้ตลอดกาล"[111] อ้างจากคำบรรยายของสตีเฟน โทมัส เออลีวิน จากนิตยสารออลมิวสิก "สี่อัลบั้มแรกของวงเป็นการจัดทำโครงร่างแห่งวงการพังก์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกันพังก์และฮาร์ดคอร์ ในอีก 2 ทศวรรษถัดมา"[112] รอบบินส์และไอสเลอร์ แห่งนิตยสาร ทรูเซอร์เพรส ก็เขียนถึงราโมนส์คล้ายๆกันว่า "ไม่เพียงแต่จะเป็นผู้นำแห่งการเคลื่อนไหวแนวพังก์/นิวเวฟ รุ่นดั้งเดิมแล้ว ยังเป็นผู้ร่างพิมพ์เขียววงฮาร์ดคอร์พังก์อีกในเวลาต่อมา"[103] ฟิล สตรองแมน (Phil Strongman) นักข่าวสายพังก์ ได้กล่าวว่า "ในความหมายบริสุทธิ์ของ ดนตรี เดอะราโมนส์ ได้พยายามที่จะสร้างความตื่นเต้นในแบบพรี-ดอลบี ร็อก (pre-Dolby rock) ขึ้นมาใหม่ ซึ่งได้แผ่เงาออกไปอย่างมาก พวกเขาได้หลอมพิมพ์เขียวอินดีในอนาคตข้างหน้าไว้อย่างมาก"[23] อ้างจากดักลาส โวล์ก (Douglas Wolk) แห่งนิตยสาร สเลต ในปี ค.ศ. 2001 ได้กล่าวถึงราโมนส์ว่า "เป็นวงที่มีอิทธิพลไปอีก 30 ปีได้อย่างง่ายๆ"[113]

อัลบั้มเปิดตัวของเดอะราโมนส์ นั้นได้สร้างผลลัพธ์เกินคาดสัมพันธ์กับยอดจำหน่ายกลางๆ อ้างจาก โทนี เจมส์ (Tony James) มือเบสจากเจเนอเรชันเอ็กซ์ (Generation X) "ทุกๆคนปรับเกียร์ขึ้นสามจังหวะในวันที่อัลบั้ม ราโมนส์ พังก์ร็อกที่เป็นสุดของความเร็วของพระรามและลามะ ได้ใส่มันทั้งหมดเข้ามายังราโมนส์ วงที่กำลังเพิ่งเล่นในสุสานของMC5 ในเวลาต่อมา"[114] การแสดงสดของเดอะราโมนส์ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1976 เช่นเดียวกันกับอัลบั้มของพวกเขา ได้รับการยกย่องให้เป็นสิ่งที่มีผลกระทบต่อกระแสแนวพังก์บนเกาะอังกฤษมากมาย หนึ่งในผู้สังเกตการณ์ได้กล่าวว่า "วงต่างๆ พยายามเร่งเกิดขึ้นทันที"[115] ในการแสดงสดครั้งแรกของเดอะราโมนส์ในเกาะอังกฤษ ที่เราด์เฮาส์คอนเสิร์ตฮอล กรุงลอนดอน ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1976[116] ได้มีวงเซ็กซ์พิสทอลส์ กำลังแสดงสดที่เชฟฟิลด์ ในเย็นวันนั้นเอง โดยมีเดอะแคลช ร่วมบรรเลงครั้งนี้ด้วย ซึ่งนับเป็นการเปิดตัวสู่สาธารณะครั้งแรก ในคืนต่อมา สมาชิกของทั้งสองวงได้เข้าร่วมกับเดอะราโมนส์ที่คลับดิงวอลล์คลับ (Dingwall's club) แดนนี ฟิลดส์ ผู้จัดการวง ได้จัดการสนทนากันขึ้นระหว่างจอห์นนี ราโมนและพอล ไซมอน มือเบสจากเดอะแคลช (ซึ่งเขาหลงทางในเราด์เฮาส์) "จอห์นนีถามเขา 'คุณทำอะไรอยู่?' 'คุณอยู่ในวงใช่ไหม?' พอล ตอบไปว่า 'ใช่ พวกเราเพิ่งจะซ้อม พวกเราเรียกตัวเองว่าเดอะแคลช แต่ว่าพวกเราคงไม่ดีเท่าไหร่หรอก' จอห์นนีก็ตอบกลับไปว่า 'จงดูพวกเราก่อน—พวกเรานั้นเต็มไปด้วยกลิ่นตัว และหมัดเหา พวกเราคงไม่สามารถเล่นมันได้หรอก ดังนั้นจงออกไปเล่นและทำมันดีกว่า'"[117] สมาชิกวงอีกคนจากวงเดอะแดมเนด ก็ได้มารับการแสดงของราโมนส์ครั้งนี้ ซึ่งต่อมาพวกเขาก็ได้เล่นการแสดงครั้งแรกในอีก 2 วันต่อมา นิตยสารที่ถือเป็นศูนย์กลางของพังก์บนเกาะอังกฤษในขณะนั้นอย่าง สนิฟฟินกลู (Sniffin' Glue) ก็เอาชื่อมาจากซิงเกิล "Now I Wanna Sniff Some Glue" ที่มาจากอัลบั้มแรกของวงราโมนส์[118]

การบันทึกเสียงและแสดงสดของราโมนส์นั้น ได้ส่งอิทธิพลอย่างมากต่อนักดนตรีในการพัฒนาวงการพังก์ในแคลิฟอร์เนีย เช่น เกร็ก กินน์ (Greg Ginn) แห่งวงแบล็กแฟลก[119] เจลโล เบียฟรา (Jello Biafra) จากเดดเคนเนดีส์[120] อัล เจอร์เกนเซน (Al Jourgensen) จากวงมินิสทรี[121] ไมค์ เนสส์ (Mike Ness) จากวงโซเชียลดิสทอร์ชัน[122] เบรตต์ เกียววิตซ์ (Brett Gurewitz) จากแบดรีลิจเจิน[123] และสมาชิกวงดิเซนเดนต์[124] การเคลื่อนไหวกระแสพังก์ครั้งแรกในแคนาดา ทั้งในเมืองโทรอนโต แวนคูเวอร์ และวิกตอเรีย, รัฐบริติชโคลัมเบีย[43][125] ล้วนได้รับอิทธิพลอย่างมากจากราโมนส์ ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 หลายวงได้นำรูปแบบราโมนส์มาใช้อย่างมาก ทั้ง วงเลิร์คเคอร์จากอังกฤษ[126] วงเดอะอันเดอร์โทน จากไอร์แลนด์[127] วงทีนเอจเฮดจากแคนาดา[128] วงเดอะซีโรส์[129] และวงเดอะดิกคีส์ จากเซาท์เทิร์นแคลิฟอร์เนีย[130] นอกจากนี้วงแบดเบรน ซึ่งเป็นวงแนวฮาร์ดคอร์ ก็เอาชื่อมาจากเพลงของราโมนส์[131] วงริวเอร์เดลส์ ทำดนตรีเหมือนกับราโมนส์ตลอดช่วงเวลาของวง[132] บิลลี โจ อาร์มสตรอง นักร้องนำวงกรีนเดย์ ก็ตั้งชื่อลูกว่า "โจอี" ตามโจอี ราโมน และเทร คูล มือกลอง ก็ตั้งชื่อลูกสาวตัวเองว่า "ราโมนา"[133]

มิสฟิตส์ วงฮาร์ดคอร์พังก์/ฮอร์เรอร์พังก์ จากนิวเจอร์ซีย์ ก็รับอิทธิพลจากจังหวะรวดเร็วตามเพลง "Blitzkrieg" ของราโมนส์ มาปรับใช้ให้มีจังหวะกลางค่อนไปทางเร็ว เป็นสไตล์ อาร์แอนด์บีของพังก์ร็อก

ราโมนส์ ก็ยังสร้างอิทธิพลให้แก่ศิลปินอื่นที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบพังก์ย่อย ๆ ทั้งเฮฟวีเมทัล พวกเขาได้เปลี่ยนเมทัลให้กลายเป็น พังก์-เมทัล ซึ่งเป็นรูปแบบผสมจนเป็นชื่อใหม่ที่เรียกว่า "แทรชเมทัล" เคิร์ก แฮมเมตต์ มือกีตาร์หลักวงเมทัลลิกา ได้กล่าวถึงสไตล์การริฟกีตาร์ที่รวดเร็วแบบจอห์นนี เป็นการพัฒนาที่สำคัญต่อการเล่นกีตาร์เขา[134] เล็มมีแห่งวงมอเตอร์เฮด ซึ่งได้เป็นเพื่อนกับสมาชิกราโมนส์นับตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 ได้ร่วมทำเพลง "Go Home Ann" กับราโมนส์ ต่อมาก็ได้แต่งเพลง "R.A.M.O.N.E.S." ในฐานะเป็นวงลูก (Tribute) ให้ ซึ่งเลมมีได้แสดงมันในทัวร์คอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของราโมนส์ในปี ค.ศ. 1996[135] ในวงการอัลเทอร์เนทีฟร็อก อย่างเพลง "53rd and 3rd" ก็ได้อิทธิพลมาใช้ในค่ายเพลงอินดี้ป็อปอังกฤษ โดยสตีเฟน พาสเทลล์ (Stephen Pastel)จากพาสเทลส์ วงสัญชาติสก็อตแลนด์ นอกจากนี้ก็ยังได้สร้างอิทธิพลให้กับศิลปินแนวนี้อื่นอีกทั้ง อีวาน แดดโด (Evan Dando) จากเดอะเลมอนเฮดส์[136] เดฟ โกรล แห่งวงเนอร์วานาและฟูไฟเตอส์[118] ไมค์ พอร์ตนอยจากวงดรีมเธียร์เตอร์ เอ็ดดี เวดเดอร์ จากเพิร์ลแจม[137] (ซึ่งเขาเป็นคนเสนอชื่อให้ได้รับการบรรจุเข้าหอเกียรติยศร็อกแอนด์โรล) วงเดอะสโตรกส์[138] และวงอัลเทอร์เนทีฟอื่นๆ อีกจำนวนมาก รวมไปถึงวงเมทัลต่างๆ ที่ได้ยกย่องราโมนส์ว่าเป็นผู้ให้แรงบรรดาลใจแก่พวกเขา[139]

นอกจากนี้ยังมีการจัดอันดับสมาชิกราโมนส์เป็นรายบุคคล เช่นจอห์นนี ราโมน ได้ติดโผ "10 มือกีตาร์ไฟฟ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล" จากนิตยสาร ไทม์[140] ในปี ค.ศ. 2003 ในปีเดียวกันนั้นเองเขาก็ยังติดอันดับ 16 บนหัวข้อ "100 มือกีตาร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล" จากนิตยสาร โรลลิงสโตน อีกด้วย[141]

จีน ซิมมอนส์ (Gene Simmons) มือเบสและนักร้องนำวงคิส ได้กล่าวว่า "พวกเราคิดว่าราโมนส์นั้นคลาสสิกจริงๆ เป็นวงที่โดดเด่น" "พวกเขาได้ยอดการบันทึกเสียงระดับทองคำเพียงครั้งเดียว ไม่เคยได้เล่นในสนามกีฬาใหญ่ๆ ไม่สามารถขายตั๋วหรือเพลงออกได้เลย มันเป็นวงที่ล้มเหลว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีทางที่จะยิ่งใหญ่ มันคงหมายความว่ายอดจำนวนนั้นไม่มีผลอะไร"[142]

อัลบั้มทริบิวต์

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2009 มาร์ก พรินเดิล (Mark Prindle) นักเขียนจากนิตยสาร สปิน ได้รวบรวมเกี่ยวกับอัลบั้มทริบิวต์ว่า "มีการทำอัลบั้มทริบิวต์ไปแล้วกว่า 48 การบันทึกเต็ม"[143] อัลบั้มทริบิวต์แรกสุดของราโมนส์ ซึ่งเป็นความร่วมมือของหลากศิลปินทั้ง เฟลชอีเตอร์ส, แอล7, โมโจนิซอน และแบดรีลิเจิน อัลบั้มได้วางจำหน่ายเมื่อปี ค.ศ. 1991 ในชื่อ Gabba Gabba Hey: A Tribute to the Ramones[139] ในปี ค.ศ. 2001 ดี ดี ก็ได้รับเชิญให้มาร่วมทำเพลงหนึ่งในอัลบั้มทริบิวต์ Ramones Maniacs ซึ่งเป็นอัลบั้มทริบิวต์รวมเพลงดัง โดยหลากศิลปินเช่นเดียวกัน อัลบั้ม The Song Ramones the Same ก็ออกจำหน่ายในหนึ่งปีถัดจากนั้น ซึ่งมีวงเดอะดิกเทเตอร์ส หนึ่งในวงผู้บุกเบิกพังก์ยุคแรก ๆ ของนิวยอร์ก และเวนน์ คราเมอร์ (Wayne Kramer) มือกีตาร์จากวง MC5 มาร่วมทำอัลบั้มในครั้งนี้ด้วย อัลบั้ม We're a Happy Family: A Tribute to Ramones ได้เปิดตัวในปี ค.ศ. 2003 ประกอบด้วศิลปินที่มีชื่อเสียงมากมายทั้งวงแรนซิด, กรีนเดย์, เมทัลลิกา, คิส, ดิออฟสปริง, เรดฮอตชิลีเพปเปอส์, ยูทู และร็อบ ซอมบี (ซึ่งเขาเป็นผู้ออกแบบหน้าปกอัลบั้มนี้ด้วย)[144]

วงพังก์ได้แก่ วงสครีชชิงวีเซิล, เดอะวินดิกทีฟส์, เดอะเควียร์, พาราซิดส์, เดอะมิสเตอร์ทีเอ็กซ์เพียเรียนซ์, บอริสเดอะสปรินเคลอร์, บีตนิกเทอร์มิตเทส, ทิปส์ทอปเปอร์ส, โจน คูการ์คอนเซนเทรเชินแคมป์, แม็กแร็กคินส์ และโคแบเนส ได้ร่วมกันโคเวอร์เพลงในอัลบั้ม Ramones, Leave Home, Rocket to Russia, It's Alive, Road to Ruin, End of the Century, Pleasant Dreams, Subterranean Jungle ซึ่งประกอบด้วยเพลงจากอัลบั้ม Too Tough to Die และ Halfway To Sanity[143][145] และวงเดอะฮันทิงตันส์ ได้ทำอัลบั้ม File Under Ramones ซึ่งประกอบหน้าปกตลอดช่วงชีวิตของราโมนส์[146]

ด้วยความหลงใหลในดนตรีของราโมนส์ และในโอกาสครบรอบ 30 ปีของวง วงโชเนน ไนฟ์ วงสามหญิงล้วนจากโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ที่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1981 ได้ร่วมจัดทำอัลบั้ม Osaka Ramones ซึ่งเป็นการโคเวอร์เพลงทั้งหมด 13 เพลงโดยวง[147]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ราโมนส์ http://www.exclaim.ca/articles/multiarticlesub.asp... http://www.exclaim.ca/articles/research.aspx?csid1... http://www.allbusiness.com/retail-trade/miscellane... http://allmusic.com/cg/amg.dll?p=amg&sql=p116834 http://allmusic.com/cg/amg.dll?p=amg&sql=p463857 http://allmusic.com/cg/amg.dll?p=amg&sql=p5223 http://allmusic.com/cg/amg.dll?p=amg&sql=r16121 http://allmusic.com/cg/amg.dll?p=amg&sql=r16124 http://allmusic.com/cg/amg.dll?p=amg&sql=r16125 http://allmusic.com/cg/amg.dll?p=amg&sql=r16126