ประวัติ ของ ลาว_(กลุ่มชาติพันธุ์)

การอพยพของชาวไท

ตามตำนานร่วมกันระหว่างเผ่าไทต่างๆ กษัตริย์ที่อาจเป็นตำนานหรือ ขุนบรม กษัตริย์แห่งเมืองแถน (ເມືອງແຖນ) ได้ให้กำเนิดลูกชายหลายคนซึ่งได้แยกย้ายกันไปตั้งถิ่นฐานและก่อตั้งอาณาจักรของตนเอง หรือเมืองรัฐทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทางตอนใต้ของประเทศจีน[12] สืบเชื้อสายมาจากชาวจีนยุคโบราณที่รู้จักกันในชื่อว่า เย่ว์ และ อ้ายลาว ชนเผ่าไทเริ่มอพยพเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อต้นสหัสวรรษที่ 1 แต่การโยกย้ายถิ่นฐานขนาดใหญ่เกิดขึ้นระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 7 และ 13 โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบริเวณ สิบสองปันนา, ยูนนาน และ กวางสี ในปัจจุบัน เหตุผลที่เป็นไปได้สำหรับการโยกย้ายถิ่นชาวไทมากจากการกดดันจากการขยายดินแดนของชาวจีนฮั่น และการรุกรานมองโกล เพื่อหาที่ดินเหมาะสำหรับปลูกข้าวเปลือกเพิ่ม และนำไปสู่การล่มสลายของรัฐที่ชาวไทอาศัยอยู่[13][14]

ชาวไทซึมซับหรือปลีกตัวเองออกวัฒนธรรมพื้นเมืองของตน และรับเอาตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก (มอญ-เขมร) มาใช้ และตั้งรกรากอยู่ที่ขอบอาณาจักรที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย ได้แก่ กลุ่มอาณาจักรมอญ และ จักรวรรดิเขมร การผสมผสานของชนชาติและการไหลบ่าเข้ามาของปรัชญา ศาสนา ภาษา วัฒนธรรมและประเพณี จากอินเดีย ได้ถูกรับเข้ามาและปรับเข้าสู่วัฒนธรรมของชาวไท แต่ชาวไทก็ยังคงติดต่อกับกลุ่มชาวไทจากเมืองอื่นๆ[15]

สมัยล้านช้าง

ดูบทความหลักที่: อาณาจักรล้านช้าง
อาณาเขตของอาณาจักรลาวล้านช้าง

รัฐของชาวไทได้ใช้ประโยชน์จากความเสื่อมของจักรวรรดิเขมร และประกาศตนออกมาเป็นอิสระ สำหรับชาวลาวนับเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ชาติของพวกเขาจนถึงเวลานี้ เห็นได้จากอนุสาวรีย์ที่สำคัญจำนวนมาก, วัด, งานศิลปะ, และด้านอื่น ๆ ของวัฒนธรรมลาว ได้ถือกำเนิดมาจากช่วงเวลานี้ จากจุดนี้ชาวลาวมักอ้างถึงรัฐไทบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาว่า ไทยสยาม[16] และเรียกรัฐไทอาณาจักรล้านช้าง หรือบริเวณประเทศลาวในปัจจุบันว่า "คนลาว"

อาณาจักรลาวล้านช้าง หรือ "แผ่นดินแห่งช้างล้านตัว" เริ่มในปี ค.ศ. 1354 เมื่อพระยาฟ้างุ้ม (ຝ້າງູ່ມ) (ค.ศ. 1354 - 1373) กลับมายังเมืองซวา (ເມືອງຊວາ, เปลี่ยนชื่อเป็น เซียงทอง หรือ "เชียงทอง" (ຊຽງທອງ) ปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในชื่อ หลวงพระบาง จากเมืองนี้ล้านช้างขยายอาณาเขตไปถึงบริเวณของประเทศลาวทั้งหมดและบริเวณที่ราบสูงโคราชของประเทศไทย รวมทั้งบางส่วนของสิบสองปันนาในภาคใต้ของประเทศจีน สิบสองจุไทย ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม และ เชียงแตง[17][18] บริเวณจังหวัดสตึงแตรง[19] ของประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน

ราชอาณาจักรล้านช้างที่มีประสิทธิภาพมีความมั่งคั่งและมีอิทธิพลเนื่องมาจากทำเลที่ตั้งของเมืองหลวงที่เป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญระหว่างอาณาจักรรอบข้างและยังเป็นแหล่งศูนย์กลางของพุทธศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[20] อาณาจักรยังรุ่งเรืองจากการค้าตามเส้นทางการจราจรตามแนวแม่น้ำโขงและเส้นทางบนบกไปยังท่าเรือต่างๆของสยาม ซึ่งได้เติบโตขึ้นเป็นเมืองท่าธุรกิจที่คึกคักจากการติดต่อค้าขายทางทะเล และไปทางใต้ของประเทศจีนและกลุ่มรัฐที่มีกลุ่มชาวไทอาศัยอยู่ ชาวตะวันตกได้เข้ามาติดต่อกับอาณาจักรล้านช้างครั้งแรกในสมัยพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช (ພຣະເຈົ້າສຸຣິຍະວົງສາທັມມິກຣາດ) (ค.ศ. 1634–1697) ได้มีการบันทึกไว้ว่าราชอาณาจักรรุ่งเรืองจากการส่งออกของ ทอง, เรซิน, กำยาน,ครั่ง, เครื่องเคลือบ สมุนไพร, งาช้าง, ไหม, ผ้าไหมและไม้ วัดต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซียงทอง (หลวงพระบางปัจจุบัน) และเวียงจันทร์ ได้มีหลักฐานบันทึกถึงเรื่องราวเหล่านี้[21]

ในช่วงเวลานี้ตำนานของขุนบรม ได้ถูกเขียนบันทึกต้นฉบับไว้บนใบลานและมหากาพย์สังข์ศิลป์ชัยก็ได้ถูกบันทึกขึ้นด้วยเช่นกัน พุทธศาสนาเถรวาทเป็นศาสนาประจำชาติและเวียงจันทน์กลายเป็นเมืองสำคัญทางพุทธศาสนา อิทธิพลทางวัฒนธรรมนอกเหนือจากนี้ก็มาจาก ชาวมอญ และ ชาวเขมร การรวมล้านนาไทยเข้ากับอาณาจักรล้านช้างเกิดช่วงสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช (ພຣະເຈົ້າໄຊເສດຖາທິຣາດ) (ค.ศ. 1548–1572) นำไปสู่การพัฒนาสถาปัตยกรรมและศิลปะจำนวนมาก ในด้านศิลปะได้เลียนแบบศิลปะของล้านนา การรับเอาวัฒนธรรมล้านนามาใช้ในอาณาจักรล้านช้างรวมไปถึงวัฒนธรรมทางปัญญาด้วย เช่น หอสมุดของล้านนาถูกคัดลอก รวมทั้งวรรณกรรมทางศาสนามาก นี้อาจนำไปสู่การยอมรับหรืออาจนำมาประยุกต์ใช้ใหม่ของตัวเมืองที่มาจากภาษามอญ นำมาใช้ในอาณาจักรล้านช้างสำหรับงานเขียนด้านศาสนา

อาณาจักรล้านช้างถูกแบ่งออกเป็นสามอาณาจักร ได้แก่ อาณาจักรจำปาศักดิ์ อาณาจักรเวียงจันทน์และอาณาจักรหลวงพระบาง ซึ่งต่อมาทั้งสามอาณาจักรก็ได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของสยาม ส่วนที่เหลือของกลุ่มล้านช้างได้รวบรวมผู้คนของพวกเขาขึ้นในศตวรรษที่ 18 และ 19 นำไปสู่การก่อกบฏในลาวของเจ้าอนุวงศ์ (ເຈົ້າອນຸວົງ) ต่อต้านอิทธิพลของสยามขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่ก็ถูกปราบปรามจนพ่ายแพ้ไป[22]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ลาว_(กลุ่มชาติพันธุ์) http://www12.statcan.gc.ca/nhs-enm/2011/dp-pd/dt-t... http://www.baanjomyut.com/library/war_between_fran... http://www.laoembassy.com/news/constitution/consti... http://www.diplomatie.gouv.fr/fr/pays-zones-geo/la... http://www.oknation.net/blog/print.php?id=639484 http://www.migrationpolicy.org/sites/default/files... http://www.siamese-heritage.org/jsspdf/1921/JSS_01... http://whc.unesco.org/en/list/479 http://www.crma.ac.th/histdept/archives/articles/t... http://www.ms.ipsr.mahidol.ac.th/ConferenceXI/Down...