ระดับอาชีพ ของ ลิโอเนล_เมสซิ

บาร์เซโลนา

ฤดูกาล 2003–05: ก้าวสู่ทีมชุดใหญ่

ระหว่างฤดูกาล 2003–4 ซึ่งเป็นปีที่สี่ของเขากับบาร์เซโลนา เมสซิสามารถเลื่อนระดับอายุทีมเยาวชนไปตามลำดับของสโมสรอย่างรวดเร็ว และสร้างสถิติเล่นให้ทีมในระดับต่าง ๆ ของบาร์เซโลนาถึง 5 ทีมด้วยกัน ในฤดูกาลเดียว หลังจากได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรใน 4 ประเทศกับทีมเยาวชนรุ่นอายุ 16–18 ปี ทีม B (Juveniles B) เขาลงเล่นในการแข่งขันอย่างเป็นทางการ 1 นัด ก่อนจะได้รับการเลื่อนชั้นไปเล่นในทีมเยาวชนรุ่นอายุ 16–18 ปี ทีม A (Juveniles A) ซึ่งเขาสามารถทำประตูได้ 18 ประตูจาก 11 เกมลีก[29][30] เมสซิเป็นหนึ่งในนักเตะเยาวชนหลาย ๆ คนที่ถูกเรียกไปเสริมทีมชุดใหญ่เมื่อมีการแข่งขันระดับทีมชาติ ลูโดวิก ชูลี ผู้เล่นตำแหน่งปีกชาวฝรั่งเศส ได้เคยบอกถึงการที่เมสซิเป็นที่จับตามองอย่างมากในระหว่างซ้อมกับทีมชุดใหญ่ ความว่า "เขาเล่นงานพวกเราทั้งหมด หลายคนต้องตามเตะเขาเพื่อไม่ให้ได้รับความอับอายจากเด็กคนนี้ แต่เขาก็แค่ลุกขึ้นและเล่นต่อไป เขาลากเลื้อยผ่านนักเตะ 4 คนและยิงประตู แม้แต่เซ็นเตอร์แบคตัวจริงของทีมตอนนั้นยังกลัวเขา เขาเป็นมนุษย์ต่างดาวชัด ๆ"[31]

เมสซิในเกมกับมาลากา ค.ศ. 2005

เมสซิ ลงแข่งอย่างเป็นทางการครั้งแรกกับทีมชุดใหญ่เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 ขณะที่อายุได้ 16 ปี 145 วัน ในนาทีที่ 75 ของนัดกระชับมิตรกับสโมสรฟุตบอลปอร์ตูภายใต้การคุมทีมของโชเซ มูรีนโย[32][33] เขาสามารถสร้างโอกาสได้ 2 ครั้งและยิงประตูเข้ากรอบ 1 ครั้ง ซึ่งนั่นสร้างความประทับใจให้ทีมงานเทคนิคเป็นอย่างมาก และต่อมาเขาเริ่มฝึกซ้อมประจำวันกับทีมสำรองของบาร์เซโลนา (บาร์เซโลนา เบ) นอกจากนี้ยังได้ร่วมฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่รายสัปดาห์อีกด้วย[34] หลังจากที่เขาได้เข้าร่วมฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่ร่วมกับนักเตะระดับดาราชุดใหญ่อย่างรอนัลดีนโย รอนัลดีนโยได้บอกกับเพื่อนร่วมทีมว่าเขาเชื่อว่าเด็กอายุ 16 ปีคนนี้จะกลายเป็นนักเตะที่ดีกว่าเขาแน่นอน[35] ต่อมารอนัลดีนโยกลายเป็นผู้เล่นที่มความสัมพันธ์ฉันมิตรกับเมสซิ โดยเรียกเขาว่า "น้องชาย" ซึ่งช่วยให้เขาผ่อนคลายขึ้นมากในช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ทีมชุดใหญ่[36][37]

เมสซิเข้าร่วมทีมสำรองทีม C (บาร์เซโลนา เซ) เพิ่มเติมจากการลงเล่นให้กับทีมเยาวชนทีม A เพื่อให้มีประสบการณ์แข่งขันที่มากขึ้น เขาลงเล่นให้กับทีมสำรองทีม C ครั้งแรกในวันที่ 29 พฤศจิกายน เขามีส่วนช่วยให้ทีมรอดจากการตกชั้นสู่ลีกระดับ 3 ของสเปน (Tercera División) โดยทำประตูได้ 5 ประตูจากการลงเล่น 10 นัด ซึ่งรวมถึงการทำแฮตทริกภายในระยะเวลา 8 นาทีในการแข่งขันโกปาเดลเรย์ ทั้งที่ถูกประกบโดยเซร์ฆิโอ ราโมส จากเซบิยา[29][38] พัฒนาการของเขาสะท้อนให้เห็นจากสัญญาอาชีพฉบับแรกของเขา ซึ่งลงนามในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 และมีกำหนดสิ้นสุดถึง ค.ศ. 2012 สัญญาฉบับนี้ระบุมูลค่าการยกเลิกสัญญา (buyout clause) สูงถึง 30 ล้านยูโร หนึ่งเดือนถัดมา ในวันที่ 6 มีนาคม เขาได้ลงเล่นให้กับบาร์เซโลนา เบ ในการแข่งขันเซกุนดาดิบิซิออน เบ และทำให้มูลค่าการยกเลิกสัญญาเพิ่มขึ้นอัตโนมัติเป็น 80 ล้านยูโร[29][39] เขาลงเล่นกับบาร์เซโลนา เบ จำนวน 5 นัดแต่ไม่สามารถทำประตูได้[40] เนื่องจากเมื่อพิจารณาในเชิงกายภาพแล้ว ร่างกายของเขาอ่อนแอเมื่อเทียบกับนักเตะทีมคู่แข่ง ซึ่งมักมีอายุและความสูงมากกว่าเขา ทำให้เขาต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแกร่งของร่างกายโดยรวม เพื่อให้เพียงพอต่อการหลบหลีกกองหลังทีมตรงข้าม เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล เขากลับไปลงเล่นให้กับทีมเยาวชนทั้งสองทีม ซึ่งเขามีส่วนช่วยให้ทีมเยาวชนทีม B ชนะเลิศการแข่งขันขันลีกด้วย เขาจบฤดูกาลการแข่งขันในปีนี้ด้วยผลงานทำประตูให้กับ 4 จาก 5 ทีมที่เข้าลงเล่น พร้อมทั้งยิงประตูรวมได้ 36 ประตูในการแข่งขันอย่างเป็นทางการ[29][38]

ระหว่างฤดูกาล 2004–5 เมสซิได้รับตำแหน่งผู้เล่นตัวจริงของบาร์เซโลนา เบ ลงเล่นทั้งหมด 17 นัด และทำได้ 6 ประตู[35][41] หลังจากที่เขาได้ลงเล่นครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เขาไม่ได้รับการเรียกตัวเข้าร่วมกับทีมชุดใหญ่อีก ทว่าในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2004 ผู้เล่นชุดใหญ่ได้เรียกร้องให้ฟรังก์ ไรการ์ด ผู้จัดการทีมในขณะนั้นเลื่อนเขามาเล่นให้กับทีมชุดใหญ่[35] ขณะนั้นรอนัลดีนโยลงเล่นในตำแหน่งปีกซ้าย ไรการ์ดจึงย้ายให้เมสซิไปเล่นฝั่งซ้าย (แม้ว่าระยะแรกจะตรงกันข้ามกับความปรารถนาของเมสซิ) เพื่อให้เขาสามารถตัดเขาากลางและยิงประตูด้วยเท้าซ้ายข้างถนัดของเขา[42][43] เมสซิได้ลงเล่นเกมลีกเป็นนัดแรกในนาทีที่ 82 นัดที่พบกับอัสปัญญ็อลเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม[32] ซึ่งขณะนั้นเขามีอายุเพียง 17 ปี 3 เดือน 22 วัน ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในขณะนั้นที่ลงเล่นให้กับบาร์เซโลนาในการแข่งขันอย่างเป็นทางการ[37] เขามีบทบาทเป็นตัวสำรองในทีมชุดใหญ่ ได้ลงเล่น 9 นัด คิดเป็นเวลารวม 77 นาที ในฤดูกาลแรกของเขากับทีมชุดใหญ่ ซึ่งรวมถึงการได้ลงเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดที่พบกับชัคตาร์ดอแนตสก์[41][44] เขาทำประตูให้กับทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2005 นัดที่พบกับอัลบาเซเตบาลอมเปียจากการจ่ายบอลให้ของรอนัลดีนโย ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในขณะนั้นที่ทำประตูให้กับสโมสรได้[42][45] ในฤดูกาลที่ 2 ภายใต้การคุมทีมของไรการ์ด บาร์เซโลนาชนะเลิศการแข่งขันลาลีกาเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี[46]

ฤดูกาล 2005–06

วันที่ 24 มิถุนายน 2005 วันเกิดครบรอบ 18 ปีของเมสซิ เขาได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะทีมชุดใหญ่เต็มตัวเป็นครั้งแรก โดยสัญญายาวถึงปี 2012 น้อยกว่าสัญญาเดิมของเขา 2 ปี แต่ค่าฉีกสัญญาของเขากลับพุ่งสูงลิ่วถึง 150 ล้านยูโรเลยทีเดียว

และทุกคนได้ประจักษ์ในความสามารถของเขา 2 เดือนถัดมา ในวันที่ 24 สิงหาคม 2005 เกมกระชับมิตรถ้วยประเพณี ฌูอัน กัมเป แข่งกับสโมสรฟุตบอลยูเวนตุสเมสซิได้เป็นตัวจริงครั้งแรก และโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ได้เสียงการปรบมือชื่นชมกึกก้องสนามคัมป์นูว์ และยังสร้างความประทับใจให้ ฟาบีโอ กาเปลโล กุนซือของยูเวนตุสในขณะนั้นเป็นอย่างมาก จนถึงขนาดยื่นขอยืมตัวเขาหลังเกมเลยทีเดียว และยังมีการยื่นขอซื้อตัวเมสซิจากทีมอิตาลี สโมสรฟุตบอลอินแตร์นาซีโอนาเลมีลาโน (Inter Milan) ซึ่งยอมจ่ายค่าฉีกสัญญาของเขา และเสนอค่าจ้างให้เขาถึง 3 เท่าจากที่ได้รับอยู่เดิม แต่เมสซิก็เลือกอยู่ต่อกับบาร์เซโลนา

และวันที่ 16 กันยายน 2005 เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือนที่บาร์เซโลนาประกาศปรับสัญญาใหม่ของเมสซิ ครั้งนี้ปรับการจ่ายให้เขาในฐานะผู้เล่นทีมชุดใหญ่และขยายสัญญาไปจนถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2014[20]

แต่ปัญหาจากสมาคมฟุตบอลสเปน เรื่องสัญชาติของเมสซิ ทำให้เขาไม่สามารถลงเล่นเกมลีกได้ในช่วงแรก แต่วันที่ 26 กันยายน 2005 เมสซิก็ได้รับสัญชาติสเปนในที่สุด[47] และได้สวมเสื้อเบอร์ 19 หลังจากนั้นเขาก็ได้เล่นเปิดตัวในลาลิกาครั้งแรกของฤดูกาล และในนัดนอกบ้านนัดแรกในแชมเปียนส์ลีก เมื่อวันที่ 27 กันยายน โดยเจอกับสโมสรฟุตบอลอิตาลี สโมสรอูดีเนเซกัลโช[48] แฟนฟุตบอลที่สนามกัมนอว์ ของทีมบาร์เซโลนา ได้ยืนปรบมือเป็นเกียรติเมื่อเขาเปลี่ยนตัว กับความนิ่งและการส่งผ่านบอลให้กับรอนัลดีนโยทำให้แฟนบาร์เซโลนาประทับใจ[49][50]

เมสซิสามารถยึดตำแหน่งปีกขวาตัวจริงได้แล้ว โดยเล่นประสานกับรอนัลดีนโย และซามุแอล เอโต

เมสซิยิงประตู 6 ประตู ในการลงแข่ง 17 นัดในลีก และยิง 1 ใน 6 ประตูในแชมเปียนส์ลีก แต่ฤดูกาลของเขาจบก่อนกำหนดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 2006 เขาได้รับบาดเจ็บจากกล้ามเนื้อฉีกที่ต้นขา ในนัดที่ 2 ที่แข่งกับสโมสรฟุตบอลเชลซีในแชมเปียนส์ลีก[51] บาร์เซโลนาโดยการนำทีมของ ฟรังก์ ไรการ์ด จบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมชนะเลิศในลาลิกาและแชมเปียนส์ลีก[52][53]

เมสซิลงแข่งกับ เรนเจอร์ส ใน ค.ศ. 2007

ฤดูกาล 2006–07

ในฤดูกาล 2006–07 เมสซิลงเล่นในฐานะทีมชุดใหญ่ ทำประตู 14 ประตูใน 26 นัด[54] ในวันที่ 12 พฤศจิกายน ในเกมที่เจอกับเรอัลซาราโกซา เมสซิบาดเจ็บจากกระดูกฝ่าเท้าแตก ทำให้เขาไม่ได้ลงแข่งเป็นเวลา 3 เดือน[55][56] เขาพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บที่อาร์เจนตินา และกลับมาลงแข่งอีกครั้งกับราซินเดซันตันเดร์ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์[57] โดยลงในครึ่งหลัง ในฐานะตัวสำรอง

เมสซิได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบัลลงดอร์ ปี 2006 เป็นครั้งแรก และได้รับเสียงโหวตเป็นลำดับที่ 20 ในปีนั้น โดยเมสซิเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดในเหล่านักเตะ 50 คนที่ได้รับการเสนอชื่อ

เมื่อวันที่ 11 มีนาคม เมสซิแสดงฝีมือเต็มตัวอีกครั้ง โดยการโชว์ฟอร์มมหัศจรรย์ ยิงแฮตทริกได้ในการแข่งขันเอลกลาซิโก ทั้งที่ผู้เล่นของบาร์เซโลนาเหลือ 10 คนในสนามตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรก ช่วยให้บาร์เซโลนายันเสมอกับเรอัลมาดริดไป 3–3 ประตู และเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดในนัดนั้น ประตูสุดท้ายที่ตีเสมอนั้น เขาวิ่งไปรับบอลจากรอนัลดีนโย 5 หลาจากกรอบเขตโทษ และเลี้ยงลากหลบผู้เล่นเรอัลมาดริดเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนซัดบอลผ่านมืออิเคร์ กาซียาสผู้รักษาประตูเข้าไปอย่างสวยงาม [58][59]

เมสซิทำประตูในนัดแข่งกับเฆตาเฟ

การทำแฮตทริกในครั้งนี้ ทำให้เขาเป็นนักเตะคนแรกนับตั้งแต่ อีบัน ซาโมราโน (เรอัลมาดริด ในฤดูกาล 1994–95) ที่ทำแฮตทริกได้ในเกมเอลกลาซิโก หลังจากจบเกมนี้เมสซิก็เป็นที่กล่าวขวัญ และชื่นชมเป็นอย่างมาก ในฐานะนักเตะดาวรุ่งอายุเพียง 19 ปี แต่สามารถทำแฮตทริกได้ในเกมใหญ่อย่างเอลกลาซิโก [60]

จากนั้นไล่ไปจนจบฤดูกาลเขาทำประตูได้มากขึ้นเรื่อย ๆ 11 ประตูในจาก 14 นัด มาจาก 13 นัดสุดท้ายของฤดูกาล[61]

เมสซิยังพิสูจน์ถึงความเป็น "มาราโดนาคนใหม่" ที่ไม่ใช่คำพูดเกินจริง โดยเกือบจะโด่งดังเท่ามาราโดนา ในการทำประตูในฤดูกาลเดียวกัน[62] เมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 2007 เขายิง 2 ประตูในโกปาเดลเรย์ ในรอบรองชนะเลิศที่แข่งกับสโมสรฟุตบอลเฆตาเฟ ที่มีความคล้ายคลึงกับประตูที่มีชื่อเสียงของมาราโดนา ในครั้งแข่งกับทีมชาติอังกฤษ ในฟุตบอลโลก 1986 ที่เม็กซิโก ที่เรียกว่า "ประตูแห่งศตวรรษ"[63] สื่อต่าง ๆ ของโลกต่างเปรียบเทียบเขากับมาราโดนา และสื่อสเปนเรียกเมสซิว่า "เมสซิโดนา"[64] เขายิงในระยะเดียวกับมาราโดนา ที่ 62 เมตร (203 ฟุต) หลบคู่ต่อสู้ในจำนวนเดียวกัน (6 คน รวมถึงผู้รักษาประตู) และทำประตูได้ในตำแหน่งที่คล้ายกันมาก และวิ่งไปยังธงมุมสนาม เหมือนอย่างที่มาราโดนาทำไว้ในเม็กซิโกเมื่อ 21 ปีก่อน[62]ในงานแถลงข่าวหลังการแข่งขัน เพื่อนร่วมทีม เดโก พูดว่า "เป็นการทำประตูที่ดีที่สุด ที่ผมเคยเห็นในชีวิตของผม"[65] ในการแข่งกับแอร์ราเซเด อัสปัญญ็อล เมสซิทำประตูที่คล้ายกับ "หัตถ์พระเจ้า" ของมาราโดนา ในฟุตบอลโลกนัดแข่งกับทีมชาติอังกฤษรอบก่อนชิงชนะเลิศ เมสซิดีดตัวไปที่ลูกบอลและใช้มือของเขายิงประตูผ่านผู้รักษาประตูคาร์ลอส คาเมนี (Carlos Kameni)[66] และถึงแม้ว่าผู้เล่นของอัสปัญญ็อลจะประท้วงและภาพช้าจากโทรทัศน์แสดงให้เห็นว่าเป็นแฮนด์บอล แต่ผู้ตัดสินก็ยังถือว่าเป็นประตู[66]

ไฟล์:Messi 22 Sep 07 v Sevilla.JPGเมสซิทำประตูให้กับบาร์เซโลนา 2–0 ในนัดเจอกับเซบิยา ที่สนามกัมนอว์ เมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 2007

ฤดูกาล 2007–08

ในฤดูกาล 2007–08 เมสซิ ยิง 5 ประตูในสัปดาห์เดียว ทำให้บาร์เซโลนาติดใน 4 อันดับแรกในลาลิกา เมื่อวันที่ 19 กันยายน เขายิง 1 ประตูในนัดชนะลียง 3–0 ที่บ้านตัวเองในการแข่งขันแชมเปียนส์ลีก[67] เขายิง 2 ประตูในการแข่งกับสโมสรฟุตบอลเซบิยา เมื่อวันที่ 22 กันยายน[68] จากนั้นเมื่อวันที่ 26 กันยายน เมสซิยิงอีก 2 ประตูในชัยชนะเหนือเรอัลซาราโกซา 4–1[69] ประตูถัดไป ในนัดเยือนเลบันเตอูเด 4-1 เมื่อวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2007 และประตูที่ 2 ในแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลนั้น เขายิงในนัดพบกับสโมสรฟุตบอลชตุทการ์ท เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เมสซิลงเล่นอย่างเป็นทางการกับบาร์เซโลนาเป็นนัดที่ 100 โดยแข่งกับสโมสรฟุตบอลบาเลนเซีย[70]

เมสซิได้รับเสียงโหวตเป็นอันดับ 2 ในการประกาศรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของฟีฟ่า ปี 2007 (FIFA World Player of the year) และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบัลลงดอร์ ปี 2007 โดยได้รับคะแนนโหวตเป็นอันดับ 3 เป็นปีแรกที่เขาติดเป็น 1 ในผู้เข้าชิง 3 คนสุดท้าย

เมสซิได้รับการเสนอชื่อรางวัลฟิฟโปรครั้งที่ 10 ในสาขากองหน้า[71] แบบสำรวจออนไลน์ของหนังสือพิมพ์สเปนที่ชื่อ มาร์กา ได้ให้เขาเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลก ด้วยคะแนนร้อยละ 77[72] นักเขียนจากหนังสือพิมพ์ในบาร์เซโลนา อย่าง เอลมุนโดเดปอร์ติโบ และ สปอร์ต ได้เขียนว่ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปสมควรเป็นของเมสซิ และได้รับการสนับสนุนจากฟรันซ์ เบคเคนเบาเออร์[73] ผู้มีชื่อเสียงด้านฟุตบอลอย่าง ฟรันเชสโก ตอตตี กล่าวว่า เมสซิเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก ในปัจจุบัน[74]

เมสซิไม่ได้ลงแข่งเป็นเวลา 6 อาทิตย์หลังจากบาดเจ็บเมื่อวันที่ 4 มีนาคม เมื่อกล้ามเนื้อบริเวณต้นขาซ้ายฉีก ในระหว่างการแข่งขันแชมเปียนส์ลีก ที่พบกับสโมสรฟุตบอลเซลติก เป็นครั้งที่ 4 ใน 3 ฤดูกาลที่เมสซิบาดเจ็บ[75] หลังจากการมาจากอาการบาดเจ็บ เมสซิยิงประตูสุดท้ายในฤดูกาล 2007–08 แข่งกับบาเลนเซีย เมื่อ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 โดยชนะ 6–0 เมื่อจบฤดูกาลเมสซิยิงประตู 16 ประตู และช่วยส่งยิงประตู 13 ครั้งในทุกการแข่งขัน

ฤดูกาล 2008–09

เมสซิ ในนัดชิงชนะเลิศการแข่งขันแชมเปียนส์ลีก 2009

หลังจากที่รอนัลดีนโยออกจากสโมสรไป เมสซิก็สวมเสื้อเบอร์ 10 แทน[76] เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2008 ในนัดการแข่งขันแชมเปียนส์ลีก แข่งกับสโมสรฟุตบอลชาคห์ตาร์โดเนตสค์ เมสซิยิงได้ 2 ประตูใน 7 นาทีสุดท้าย โดยเปลี่ยนตัวแทนเธียร์รี อองรี พลิกสถานการณ์จากแพ้ 1–0 ไปเป็นชนะ 2–1 ให้กับบาร์เซโลนา[77] และเกมในลีกนัดถัดมา แข่งกับสโมสรฟุตบอลอัตเลติโกเดมาดริด ที่ถือเป็นการปะทะกับมิตรสหายที่ดีของเมสซิ คือ เซร์ฆิโอ อาเกวโร[78] เมสซิยิงประตูจากการเตะฟรีคิก และยังช่วยส่งบอลยิงประตูให้กับบาร์เซโลนา ชนะ 6–1[79] เมสซิยิงตุงตาข่ายอีกครั้งในนัดแข่งกับเซบิยา โดยยิงลูกวอลเลย์ในระยะ 23 เมตร (25 หลา) และจากนั้นก็เลี้ยงลูกผ่านผู้รักษาประตูและยิงประตูจากมุมแคบได้[80] เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 2008 ในการแข่งเอลกลาซิโกนัดแรกของฤดูกาล เมสซิยิงประตูที่ 2 ในนัดที่บาร์เซโลนาชนะเรอัลมาดริด 2–0[81]

เมสซิได้รับคะแนนโหวตเป็นลำดับที่ 2 ในรางวัลผู้เล่นแห่งปีของฟีฟ่า (FIFA World Player of the year) ปี 2008 ด้วยคะแนน 678 คะแนน[82] และได้รับเสียงโหวตเป็นลำดับ 2 ในการประกาศรางวัลบัลลงดอร์ ปี 2008 เช่นเดียวกัน เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันที่เขาติดอันดับผู้เข้าชิง 3 คนสุดท้าย

เมสซิยิงแฮตทริกแรกในปี ค.ศ. 2009 ในโกปาเดลเรย์ ในนัดแข่งกับอัตเลติโกเดมาดริด โดยบาร์เซโลนาชนะไป 3-1[83] เมสซิยิงอีกประตูสำคัญ 2 ประตู เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 โดยลงมาในฐานะตัวสำรองในครึ่งหลัง ช่วยให้บาร์เซโลนาชนะราซินเดซันตันเดร์ 1–2 หลังจากที่ตามอยู่ 1–0 และประตูการยิงที่ 2 ของเขาถือเป็นประตูที่ 5000 ในลีกของสโมสรบาร์เซโลนา[84] ในการแข่งครั้งที่ 29 ในลาลิกา เมสซิยิงประตูที่ 30 ของฤดูกาล นับในทุกการแข่งขัน ทำให้ทีมชนะ 6–0 ต่อสโมสรฟุตบอลมาลากา[85] เมื่อวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2009 เขายิง 2 ประตูในนัดแข่งกับสโมสรฟุตบอลบาเยิร์นมิวนิก ในแชมเปียส์ลีก เขายิงเป็นประตูที่ 8 ในการแข่งถ้วยนี้[86] เมื่อวันที่ 18 เมษายน เมสซิยิงประตูที่ 20 ของฤดูกาลในนัดชนะเฆตาเฟ 1–0 ทำให้บาร์เซโลนายังคงมีคะแนนอันดับสูงสุดในลีกและนำเรอัลมาดริด 6 คะแนน[87]

เมื่อใกล้จบฤดูกาล เมสซิยิง 2 ประตู (ประตูที่ 35 และ 36 ในทุกการแข่งขัน) นำ 6–2 ชนะเหนือเรอัลมาดริด ที่สนามซานเตียโก เบร์นาเบว[88] ที่ถือเป็นการแพ้มากที่สุดของเรอัลมาดริดตั้งแต่ ค.ศ. 1930[89] หลังยิงประตู เขาวิ่งไปหาเหล่าคนดูและกล้อง และแสดงเสื้อบาร์เซโลนาและแสดงเสื้อทีเชิร์ตอีกตัวที่เขียนว่า Síndrome X Fràgil เป็นภาษากาตาลาหมายถึง กลุ่มอาการโครโมโซมเอกซ์เปราะบาง (Fragile X syndrome) เพื่อแสดงการสนับสนุนต่อเด็กที่ป่วยจากอาการดังกล่าว[90]

เมสซิมีส่วนต่อการเสริมกำลังในระหว่างที่อันเดรส อินิเอสตา บาดเจ็บ และในการแข่งขันกับสโมสรฟุตบอลเชลซี ในแชมเปียนส์ลีกในรอบรองชนะเลิศ เขาเลี้ยงบอลและแอสซิสต์ให้อันเดรส อินิเอสตา ยิงประตูชัยให้บาร์เซโลนา ทำให้บาร์เซโลนาผ่านเข้ารอบไปเจอกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในรอบชิงชนะเลิศ เขายังได้รับถ้วยรางวัลโกปาเดลเรย์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ยิง 1 ประตูและช่วยส่งลูกยิงประตูอีก 2 ลูก ในชัยชนะ 4–1 เหนืออัตเลติกเดบิลบาโอ[91] เขาช่วยทีมเป็นผู้ชนะในครั้งที่ 2 ในลาลิกา

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ในการแข่งขันแชมเปียนส์ลีกรอบชิงชนะเลิศกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่กรุงโรม อิตาลี บาร์เซโลนาสามารถเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปได้ 2-0 ประตู โดยเมสซิโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรง ทำประตูที่ 2 ของการแข่งขันได้ จากการกระโดดโหม่งย้อนเปลี่ยนทางลูกบอล เข้าประตูอย่างสวยงาม ในนาทีที่ 70 เขายังเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในแชมเปียนส์ลีก และเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ทำประตูได้ 9 ประตู[92]

เมสซิได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลส่วนตัวมากมายในฤดูกาลนี้ เพราะบาร์เซโลนาจบฤดูกาลได้อย่างสวยงาม[93] เป็นครั้งแรกที่สโมสรฟุตบอลสเปนได้ทริปเปิ้ลแชมป์ คือ ชนะทั้ง 3 การแข่งขันใหญ่ในฤดูกาลเดียว คือ ชนะเลิศในลีกสเปน ลาลิกา ฟุตบอลถ้วยในประเทศโกปาเดลเรย์ และฟุตบอลถ้วยยุโรป แชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลเดียว[94]

ฤดูกาล 2009–10

"เมื่อเห็นเขาวิ่ง ก็ไม่มีอะไรมาหยุดเมสซิได้ เขาเป็นนักฟุตบอลคนเดียวที่สามารถเปลี่ยนทิศทางได้ด้วยฝีเท้า""เขาเป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลกที่มีมา เขา (เหมือนกับ) เป็นเพลย์สเตชัน เขาสามารถหาประโยชน์ได้จากทุกความผิดพลาดที่พวกเราทำ"

อาร์แซน แวงแกร์ กล่าวหลังการแข่งขันที่อาร์เซนอลแพ้ต่อบาร์เซโลนา 4-1[95][96]

เมสซิในนัดแข่งชิงถ้วยโชอันกัมเปร์ โดยบาร์เซโลนาแข่งกับแมนเชสเตอร์ซิตี ที่สนามกัมนอว์

หลังจากทีมชนะในการแข่งขันยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2009 ผู้จัดการทีม ชูเซบ กวาร์ดีโอลา แสดงความมั่นใจว่าเมสซิอาจเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดที่เขาเคยเห็น[97] เมื่อวันที่ 18 กันยายน เมสซิเซ็นสัญญาใหม่กับบาร์เซโลนา ที่จะสิ้นสุดในปี ค.ศ. 2016 ด้วยสัญญา 250 ล้านยูโร ทำให้เมสซิ รวมถึงซลาตัน อิบราฮิโมวิช เป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดในลาลิกา โดยเมสซิได้เงินราว 9.5 ล้านยูโรต่อปี[98][99] หลังจากนั้น 4 วัน ในวันที่ 22 กันยายน เมสซิยิง 2 ประตูและช่วยส่งลูกยิงประตูอีก 1 ลูกในชัยชนะที่บาร์ซาชนะราซินเดซันตันเดร์ 4–1 ในลาลิกา[100] เขายิงประตูแรกในถ้วยยุโรปของฤดูกาลนี้ เมื่อวันที่ 29 กันยายน นำบาร์เซโลนาชนะดีนาโมเคียฟ 2–0[101] จากนั้นยิง 1 ประตูในลาลิกาที่ชนะ 6–1 ต่อเรอัลซาราโกซาที่สนามกัมนอว์[102]

เมสซิได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป (บัลลงดอร์) เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 2009 ด้วยคะแนน 473 คะแนน นำรองผู้ชนะ คริสเตียโน โรนัลโด ซึ่งได้คะแนน 233 ขาดลอย[103][104][105] สร้างสถิติได้รับคะแนนโหวตทิ้งห่างอันดับ 2 มากที่สุดตั้งแต่มีรางวัลมา คือ 240 คะแนน หลังจากนั้นนิตยสาร ฟรองซ์ฟุตบอล นำคำพูดที่เมสซิลงไว้ว่า "ผมอุทิศให้กับครอบครัวของผม พวกเขาอยู่ตรงนั้นเสมอเมื่อผมต้องการกำลังใจ และในบางครั้งพวกเขามีความรู้สึกในเรื่องเกี่ยวกับผม มากกว่าตัวผมเสียอีก"[106]

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม เมสซิยิงประตูชัยในช่วงต่อเวลาพิเศษ หลังจากเสมอกันในเวลา 1-1 ประตู ในนัดชิงชนะเลิศของการแข่งขัน ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ 2009 ในนัดแข่งกับสโมสรฟุตบอลเอสตูเดียนเตส ลา พลาต้า ของอาร์เจนตินา แชมป์จากโซนอเมริกาใต้ ที่อาบูดาบี ทำให้สโมสรชนะการแข่งครั้งถ้วยที่ 6 ในปีนี้[107] สร้างประวัติศาสตร์เป็นสโมสรแรกที่ชนะในทุกการแข่งขันที่เข้าร่วม

หลังจากนั้น 2 วันเขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลแห่งปีของฟีฟ่า (FIFA World Player of the Year) ปี 2009 โดยได้รับคะแนนโหวตสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ คือ 1,073 คะแนน เอาชนะอันดับ 2 คริสเตียโน โรนัลโด (352 คะแนน) และลำดับถัด ๆ มาอย่าง , ชาบี (196 คะแนน), กาก้า (190 คะแนน) และอันเดรส อินิเอสตา(134 คะแนน) ไปได้อย่างมโหฬาร โดยเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับรางวัลนี้ และเป็นชาวอาร์เจนตินาคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้[108]

เมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 2010 เมสซิยิงแฮตทริกแรกในปี ค.ศ. 2010 และเป็นแฮตทริกแรกของฤดูกาล ในนัดแข่งกับเซเดเตเนรีเฟ ด้วยประตูชนะ 0–5[109] และเมื่อวันที่ 17 มกราคม เขายิงประตูที่ 100 ให้กับสโมสรในเกมที่ชนะเซบิยา 4–0[110]

เมสซิสร้างความประทับใจโดยยิงประตู 11 ประตูใน 5 เกม เกมแรกยิงประตูในนาทีที่ 84 ในนัดแข่งกับสโมสรฟุตบอลมาลากา ด้วยประตูชนะ 2–1[111] จากนั้นเขายิง 2 ประตูในนัดแข่งกับอูเดอัลเมริอา เสมอ 2–2[112] เขายังยิงอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์แห่งความประทับใจ ที่เขายิงไป 8 ประตู โดยเริ่มยิงแฮตทริกในนัดชนะบาเลนเซียในบ้าน 3–0[113] จากนั้นยิง 2 ประตูในนัดแข่งกับสโมสรฟุตบอลชตุทการ์ท ในชัยชนะ 4–0 ทำให้บาร์เซโลนาผ่านสู่รอบก่อนรอบสุดท้ายในแชมเปียนส์ลีก[114] และท้ายสุดกับการยิงแฮตทริกอีกครั้งในนัดไปเยือนซาราโกซาชนะ 4–2[115] ทำให้เป็นผู้เล่นบาร์เซโลนาคนแรกที่ทำแฮตทริกได้ติดต่อกันในลาลิกา[116] เขาลงแข่งอย่างเป็นทางการเป็นนัดที่ 200 กับบาร์เซโลนาในนัดแข่งกับโอซาซูนา เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 2010[117]

เมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 2010 เป็นครั้งแรกในอาชีพของเขาที่ยิง 4 ประตูในนัดเดียว ในนัดเป็นทีมเหย้าแข่งกับอาร์เซนอล ในชัยชนะ 4–1 ในแชมเปียนส์ลีกรอบก่อนรอบสุดท้าย นัดที่ 2[118][119][120] ทำให้เขาเป็นผู้เล่นบาร์เซโลนาที่ยิงประตูได้มากที่สุดตลอดกาลในแชมเปียนส์ลีก แซงหน้ารีวัลดูไป[121]

เมื่อวันที่ 10 เมษายน เมสซิยิงประตูที่ 40 ของฤดูกาลในประตูแรกในชัยชนะเยือนเรอัลมาดริด 2–0[122]

เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม เมสซิยิงประตูที่ 50 ของฤดูกาลและยิง 2 ประตูในการเยือนบิยาร์เรอัล ด้วยชัยชนะ 4–1[123] 3 วันต่อมา เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม เมสซิยิง 2 ประตูในนัดเป็นทีมเหย้าแข่งกับเตเรรีเฟ ด้วยชัยชนะ 4–1[124] เมสซิยิงประตูที่ 32 ในฤดูกาลนี้ของลาลิกาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ในการเยือนเซบิยา[125] และนัดสุดท้ายของฤดูกาลแข่งกับบายาโดลิด เขายิง 2 ประตูในครึ่งหลัง ทำให้สถิติยิงจำนวนประตูของสโมสรใน 1 ฤดูกาลของลาลิกาแซงหน้าโรนัลโด บราซิล (32 ประตู) ที่เกิดขึ้นเมื่อฤดูกาล 1996–97[126][127] แต่ตามหลังสถิติตลอดกาล ของเตลโม ซาร์รา ที่ทำไว้ 38 ประตูในฤดูกาลเดียวของลาลิกา 4 ประตู[128]

เมสซิได้รับรางวัลผู้เล่นลาลิกาแห่งปี เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 2010[129]

ในฤดูกาล 2009-10 นี้ เมสซิทำประตูในลีกได้ถึง 34 ประตู ส่งผลให้เขาได้รับรางวัลรองเท้าทองคำ ประจำฤดูกาลนี้ไปครอง[130]

เมสซิในเกมพบกับเลบันเต้ 2011

ฤดูกาล 2010–11

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 2010 เมสซิยิงแฮตทริก ในนัดเปิดฤดูกาลของเขาในชัยชนะ 4–0 เหนือเซบิยา ในการชิงถ้วยซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา ทำให้บาร์เซโลนาได้ถ้วยแรกของฤดูกาล หลังจากแพ้ 1–3 ในการแข่งนัดแรก[131] เขาเริ่มต้นฤดูกาลในลาลิกา ด้วยการยิงประตูในนาทีที่ 3 ในนัดแข่งกับราซินเดซันตันเดร์ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 2010 เขายังคงแสดงฝีมือยอดเยี่ยมในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในนัดแบ่งกลุ่ม แข่งกับพานาทีไนกอส (Panathinaikos) โดยเขายิงได้ 2 ประตู และยังช่วยส่งลูกยิงประตูอีก 2 ลูก และยังยิงเข้ากรอบประตูใน 2 ครั้ง

เมื่อวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 2010 เมสซิได้รับอาการบาดเจ็บบริเวณข้อเท้าเนื่องจากการเข้าแย่งลูกจากกองหลังสโมสรฟุตบอลอัตเลติโกเดมาดริด โตมัส อุยฟาลูซี (Tomáš Ujfaluši) ในนาทีที่ 92 ในนัดที่ 3 ที่สนามกีฬาบิเซนเต กัลเดรอน โดยเริ่มแรกนั้นเกรงว่าเมสซิจะบาดเจ็บจากข้อเท้าแตกและทำให้เขาไม่สามารถลงแข่งได้อย่างน้อย 6 เดือน แต่จากผลเอ็มอาร์ไอแสดงให้เห็นในวันถัดไปในบาร์เซโลนาว่า เกิดการเคล็ดที่เอ็นภายในและภายนอกที่ข้อเท้าขวา[132] เพื่อนร่วมทีม ดาบิด บิยา ออกมากล่าวว่า "การเข้าแย่งลูกปะทะเมสซิเป็นสิ่งที่หยาบคาย" หลังจากดูวิดีโอที่เล่นแล้ว เขายังเชื่อว่า "ไม่ได้กระแทกให้เจ็บ"[133] จากเหตุนี้ทำให้สื่อวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วและนำไปสู่การถกเถียงเรื่องความเท่าเทียมกันในการปกป้องผู้เล่นในเกม

เมื่อเมสซิหายดีแล้ว เขายิงประตูในนัดเสมอกับเอร์เรเซเดมายอร์กา 1–1 จากนั้นยิงอีก 1 ประตูในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดเจอกับสโมสรฟุตบอลโคเปนเฮเกน ช่วยให้ทีมชนะในบ้าน 2–0[134] เขายังคงยิงประตูอย่างต่อเนื่อง ในนัดเจอกับซาราโกซาและเซบิยา เมื่อเริ่มเดือนพฤศจิกายนเขายิงประตูโดยไปเยือนโคเปนเฮเกน เสมอ 1–1 และไปเยือนสโมสรฟุตบอลเฆตาเฟชนะ 3–1 ที่เขาช่วยจ่ายบอลให้ดาบิด บิยาและเปโดร โรดรีเกซ ยิง[135] ในนัดต่อไปเจอกับบิยาร์เรอัล เขายิงประตูที่น่าแปลกใจจากการร่วมมือกับเปโดร ทำให้นำ 2–1 จากนั้นก็ยิงอีกประตู ทำให้บาร์เซโลนาชนะ 3–1 และเป็นนัดที่ 7 ติดต่อกันที่เมสซิยิงประตู ทำลายสถิติตัวเขาเองที่เคยยิงได้ 6 นัดติดต่อกัน ในนัดพบกับอูเดอัลเมริอา เขาทำแฮตทริกครั้งที่ 2 ของฤดูกาลในนัดเยือนที่ชนะไป 8–0 ประตูที่ 2 ในนัดนี้เป็นประตูที่ 100 ในลาลิกาของเขา[136] เขายิงประตูได้ 9 นัดติดต่อกัน (รวมถึง 10 นัดติดต่อกันในนัดกระชับมิตรแข่งกับทีมชาติบราซิล) โดยไปเยือนพานาทีไนกอส ชนะ 3–0[137]

ในนัดเอลกลาซิโกเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน เมสซิยิงประตูช่วยให้บาร์เซโลนาชนะ 5–0 และเมสซิยังช่วยส่งลูกยิงประตูให้กับบิยา 2 ครั้ง[138] ในนัดถัดมาเขาทั้งยิงและช่วยจ่ายลูกยิงให้นัดเจอกับโอซาซูนา[139] เขาตอกย้ำรอยเดิมโดยการยิงประตูในนัดแข่งกับเรอัลโซเซียดัด[140]ในนัดดาร์บีที่แข่งกับแอร์ราเซเด อัสปัญญ็อล บาร์เซโลนาชนะ 1-5 เขาช่วยส่งจ่ายลูกยิงให้กับเปโดรและบิยา คนละหนึ่งประตู[141] ประตูแรกในปี ค.ศ. 2011 ของเขา แข่งกับเดปอร์ติโบเดลาโกรุญญา ยิงจากลูกฟรีคิก ในนัดที่ชนะ 4–0 โดยการไปเยือน ซึ่งเขาก็ยังช่วยยิงลูกจ่ายประตูให้กับทั้งเปโดรและบิยาอีกครั้ง[142]

ไฟล์:Messi Crack.jpgเมสซิแสดงความดีใจ หลังลากเดี่ยวครึ่งสนาม ไปยิงเป็นประตูสุดสวย เกมแชมป์เปี้ยนส์ลีก เลกแรก นัดเยือน กับเรอัลมาดริด 2011

เมสซิได้รับรางวัลฟีฟ่าบาลงดอร์ 2010 ชนะเพื่อนร่วมทีมของเขาอย่าง ชาบีและอินิเอสตา[143] โดยเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนี้เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน[144] 2 วันถัดหลังได้รับรางวัล เขายิงแฮตทริกแรกของปี และเป็นแฮตทริกที่ 3 ในฤดูกาล ในนัดแข่งกับเรอัลเบติส[145] กลับมาสู่ในลีก เขายิงประตูในครึ่งหลัง โดยยิงประตูที่ 2 ของทีม จากจุดโทษในนัดแข่งกับราซินเดซันตันเดร์[146] หลังจากยิงประตูเขาแสดงข้อความบนเสื้อในเขียนว่า "สุขสันต์วันเกิด คุณแม่"[147] เขายิงประตูด้วยความมั่นใจในนัดแข่งกับอัลเมริอา ในโกปาเดลเรย์รอบรองชนะเลิศ[148] จากนั้นไม่ถึงอาทิตย์ก็ยิงอีกครั้งในนัดแข่งกับเอร์กูเลส[149] ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ บาร์เซโลนาสร้างสถิติใหม่ โดยการชนะติดต่อกันมากที่สุดในลีก โดยชนะติดต่อกัน 16 ครั้ง หลังจากที่ทีมชนะอัตเลติโกเดมาดริด 3–0 ที่สนามกัมนอว์[150] เมสซิยิงแฮตทริกเพื่อแสดงความมั่นใจว่าชัยชนะจะอยู่ที่ทีมเขา หลังจบการแข่งขันเขาพูดว่า "เป็นเกียรติที่สามารถทำลายสถิติที่ยิ่งใหญ่ที่ทำขึ้นเหมือนอย่างอัลเฟรโด ดี สเตฟาโน" และ "ถ้าสถิตินี้ยังคงมีไปอีกนานเพราะว่ามันซับซ้อนที่จะชนะและเราก็สามารถทำถึงมันโดยชนะในทีมที่ยาก กับสถานการณ์อันเลวร้าย ซึ่งก็ทำให้มันยิ่งยากขึ้น"[151]

หลังจากไม่ได้ทำประตูใน 2 นัด เขายิงประตูในชัยชนะเหนืออัตเลติกเดบิลบาโอที่บาร์เซโลนาชนะ 2–1[152] ในสัปดาห์ต่อมาเขายิงประตู เป็นผู้นำในลีกฤดูกาลนี้ ในนัดแข่งกับมายอร์กา 3–0 ในการไปเยือน.[153] สร้างสถิติเทียบเท่าทีมจากแคว้นบาสก์ เรอัลโซเซียดัด ในฤดูกาล 1979–80 ที่ชนะ 19 ครั้งติดต่อกันในฐานะทีมเยือน แต่สถิตินี้ก็ถูกทำลายไปในอีก 3 วันต่อมาเมื่อเมสซิยิงประตูเดียวในชัยชนะการไปเยือนบาเลนเซีย[154] เมื่อวันที่ 8 มีนาคม เมสซิยิง 2 ประตูในนัดเจอกับอาร์เซนอล ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่สนามกัมนอว์ โดยประตูแรกเมสซิใช้เท้ากระดกบอลข้ามศีรษะผู้รักษาประตูในระยะกระชั้น ก่อนจะตวัดบอลเข้าประตูไปอย่างสวยงาม 2 ประตูของเมสซิช่วยให้บาร์เซโลนาชนะด้วยประตูรวม 3–1 และเข้าสู่รอบก่อนชิงชนะเลิศ[155] หลังจากไม่สามารถยิงประตูได้ร่วมเดือน เขายิงประตูในนัดแข่งกับอัลเมริอา ประตูที่ 2 เป็นประตูที่ 47 ในฤดูกาลนี้ของเขา เทียบเท่าสถิติการทำประตูในฤดูกาลก่อนของเขา[156] เขาทำลายสถิติเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 2011 โดยยิงประตูในชัยชนะเหนือชาคห์ตาร์โดเนตสค์ ในการแข่งยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้เขาถือสถิติผู้ทำประตูสูงสุดในฤดูกาลเดียวของบาร์เซโลนา[157] เขายิงประตูที่ 8 ในเอลกลาซิโก เสมอ 1–1 ที่สนามซานเตียโก เบร์นาเบว เมื่อวันที่ 23 เมษายน เมสซิยิงประตูที่ 50 ของฤดูกาลในนัดแข่งกับโอซาซูนา 2–0 ในบ้าน เมื่อเขาออกมาเปลี่ยนตัวในนาทีที่ 60[158]

ในนัดแรกของแชมเปียนส์ลีกรอบรองชนะเลิศ เขาสร้างความประทับใจ โดยยิง 2 ประตูในนัดที่พบกับเรอัลมาดริด ชนะด้วยจำนวนประตู 2–0 ประตูที่ 2 เป็นการเลี้ยงลูกหลบผู้เล่นหลายคน และยังได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในการแข่งขันนี้[159][160] ในการแข่งขันยูฟาแชมเปียนส์ลีกที่เว็มบลี เมสซิทำประตูตอกย้ำให้บาร์เซโลนาคว้าแชมป์เป็นสมัยที่สามในรอบหกปี และเป็นสมัยที่สี่ในประวัติศาสตร์สโมสร[161]

ฤดูกาล 2011–12

เมสซิขณะยิงประตูในนัดชิงถ้วยฟิฟ่าคลับเวิร์ลคัพกับซานโตส 2011

ในการแข่งขันชิงถ้วยซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา 2011 เมสซิยิงประตู 3 ประตู และช่วยจ่ายลูกยิงประตูอีก 2 ประตู ทำให้มีผลประตูรวม 5–4 ชนะทีมเรอัลมาดริดไปได้[162] ในนัดถัดมาอย่างเป็นทางการเขายิงประตูอีกครั้งหลังจากการส่งหลังผิดพลาดของเฟรดี กัวริน และได้ช่วยส่งประตูให้เซสก์ ฟาเบรกัสยิงประตู ทำให้ชนะโปร์ตู 2-0 ในการแข่งขันยูฟ่าซูเปอร์คัพ[163] เมื่อเริ่มฤดูกาลในลาลิกา เมสซิยิง 2 ประตูในนัดแข่งกับบิยาร์เรอัล[164] และเขายังสามารถยิงแฮตทริกได้ต่อเนื่องในฐานะทีมเหย้ากับโอซาซูนา[165]และอัตเลติโกเดมาดริด[166]

ในวันที่ 28 กันยายน เมสซิยิง 2 ประตูในแชมเปียนส์ลีกใน 2 นัดแรกของฤดูกาล แข่งกับสโมสรฟุตบอลบาเตโบรีซอฟ[167] ทำให้เขาเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของบาร์เซโลนา เทียบเท่ากับลัสโซล คูบาลา กับ 194 ประตู ในทุกการแข่งขันที่เป็นการแข่งขันอย่างเป็นทางการ[168] แต่ต่อมาเขาก็ทำลายสถิตินี้โดยยิงอีก 2 ประตูเมื่อแข่งกับราซินเดซันตันเดร์[169] และเหลืออีกประตูเดียวก็ถึง 200 ประตู เมื่อเขายิงแฮตทริกในนัดแข่งที่บ้าน แข่งกับมายอร์กา และยิงได้แซงหน้าคูบาลา ที่จำนวน 132 ประตู[170] เขายิงประตูที่ 200 ให้กับบาร์เซโลนา และอีก 2 ลูก เป็นแฮตทริกในนัดแข่งกับวิกตอเรียเปิลเซน (Viktoria Plzeň) ในแชมเปียนส์ลีก[171] เมสซิยิงประตูแรกของเขาได้ในซานมาเมส ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ทำให้เสมอกับอัตเลติกเดบิลบาโอ 2–2[172] นัดต่อมาเขายิงประตูในนัดแข่งกับเรอัลซาราโกซา[173] เขายิงจุดโทษให้ทีมชนะในการเยือน 3–2 แข่งกับเอซี มิลาน ในรอบแบ่งกลุ่มแชมเปียนส์ลีก[174] เขายิงประตูได้ครั้งแรกกับราโยบาเยกาโน ในนัดชนะที่บ้าน 4–0[175] จากนั้นยิง 1 ประตู นัดแข่งกับเลบันเตอูเด ทำให้ทีมชนะในบ้าน 5-0[176]

เมสซิได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมยุโรปของฟีฟ่าปี ค.ศ. 2011 โดยชนะเพื่อนร่วมทีม ชาบี และผู้เล่นจากเรอัลมาดริด คริสเตียโน โรนัลโด เมสซิยังได้รับรางวัลฟีฟ่าบาลงดอร์ 2011 อีกครั้ง โดยชนะชาบีและคริสเตียโน โรนัลโดเช่นกัน การได้รับรางวัลบาลงดอร์ครั้งนี้ ทำให้เมสซิเป็นผู้เล่นคนที่ 4 ที่ได้รับรางวัลบาลงดอร์ 3 ครั้ง ก่อนหน้านี้คือ โยฮัน ไกรฟฟ์, มีแชล ปลาตีนี และมาร์โก ฟัน บัสเติน ต่อมาในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 เมสซิลงเล่นในลาลิกาเป็นนัดที่ 200 โดยเขายิงได้ 4 ประตู ในนัดแข่งกับบาเลนเซีย โดยผลคือทีมชนะ 5–1[177] ในวันที่ 7 มีนาคม เมสซิเป็นผู้เล่นคนแรกที่ยิงประตู 5 ประตูในแชมเปียนส์ลีก โดยได้ช่วยทีมป้องกันแชมป์ในนัดที่บาร์เซโลนาชนะไบเออร์เลเวอร์คูเซิน 7–1[178]

ต่อมาในวันที่ 20 มีนาคม เมสซิยิงได้ 3 ประตูในนัดแข่งกับสโมสรฟุตบอลกรานาดา ทำให้เขาเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดของบาร์เซโลนา แซงหน้านักฟุตบอลตำนาน เซซาร์ โรดริเกซ อัลบาเรซ ที่เคยถือสถิติ ยิง 232 ประตู[179] ในวันที่ 2 พฤษภาคม เมสซิยิงแฮตทริกในนัดแข่งกับสโมสรฟุตบอลมาลากา ทำให้เขาทำลายสถิติของแกร์ท มึลเลอร์ (ที่ยิง 67 ประตูในฤดูกาล 1972-73) โดยเมสซิยิงได้ 68 ประตู และเขาเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของยุโรปใน 1 ฤดูกาล[180]

ไฟล์:Golden Shoe, Lionel Messi 2012-2013 01.jpgรองเท้าทองคำของเมสซิ 2012-13

ฤดูกาล 2012–13

วันที่ 27 ตุลาคม 2012 เมสซิทำประตูทะลุหลัก 300 ประตูในการแข่งขันอาชีพของตนได้ จากการทำ 2 ประตูในเกมลีก นัดที่บุกไปเยือนราโยบาเยกาโน จำนวนรวม 301 ประตูนี้ แบ่งเป็น 270 ประตูจากการเล่นในบาร์เซโลนา และ 31 ประตูจากการเล่นให้ทีมชาติอาร์เจนติน่า ทั้งหมดจากการลงเล่นรวม 419 นัดเท่านั้น[181] หลังจากนั้นไม่นาน ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2012 เมสซิยิง 2 ประตูในการแข่งขันเกมลีกนัดเยือนกับมายอร์ก้า ทำให้เขามีสถิติยิงประตูใน 1 ปีปฏิทิน 76 ประตู แซงหน้าเปเล่ (75 ประตู) ขึ้นครองสถิติ ดาวยิงประตูสูงสุดตลอดกาล ใน 1 ปีปฏิทินอันดับ 2 ตามหลัง เกิร์ด มึลเลอร์ (85 ประตู) เพียง 9 ประตู[182]

วันที่ 20 พฤศจิกายน 2012 เมสซิก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ในทำเนียบดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในการแข่งขัน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เทียบเท่ากับ รืด ฟัน นิสเติลโรย โดยทำเพิ่ม 2 ประตูจากการออกไปเยือน สปาร์ตัก มอสโก [183] ทำให้มีจำนวนรวมประตูในการแข่งขันแชมเปียนส์ลีกเพิ่มขึ้นเป็น 56 ประตู การทำประตูได้ในมอสโคว์นี้ ทำให้เกิดสถิติอีก 1 อย่างคือการทำประตูได้ใน 19 เมืองแตกต่างกันในการแข่งขันเกมส์สโมสรยุโรป (เทียบเท่า ราอุล กอนซาเลซ)

วันที่ 9 ธันวาคม 2012 แม้มีอาการบาดเจ็บอยู่ก่อนหน้า แต่เมสซิก็ลงเล่นในเกมลีกนัดเยือนกับ เรอัลเบติส และทำได้ 2 ประตู ทำให้เขาก้าวขึ้นไปถือครองสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลใน 1 ปีปฏิทิน ที่ 86 ประตู แทนที่ เกิร์ด มึลเลอร์ (85 ประตู) อย่างสวยงาม โดย 86 ประตู แบ่งเป็นประตูที่ยิงให้บาร์เซโลนา 74 ประตู และ 12 ประตูที่ยิงให้ทีมชาติอาร์เจนตินา ขณะนั้นบาร์เซโลนายังเหลือการแข่งขันให้เล่นในปี 2012 อีก 3 นัด [184] และเมสซิ ก็จบปี 2012 ด้วยการทำสถิติดาวซัลโวสูงสุดใน 1 ปีปฏิทิน ขึ้นใหม่ที่ 91 ประตู

วันที่ 7 มกราคม 2013 เมสซิได้รับรางวัล ฟีฟ่าบาลงดอร์ เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยได้รับเสียงโหวตสูงถึง 41.6 เปอร์เซ็น เมื่อนับรวมกับรางวัลบัลลงดอร์ที่เมสซิได้รับก่อนที่ฟีฟ่าจะควบรวมรางวัลแล้ว เมสซิเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ได้รับรางวัลบาลงดอร์ถึง 4 ครั้ง และเป็น 4 ปีติดต่อกันด้วย เมสซิได้รับเลือกเป็น 1 ใน FIFA FIFPro World XI คือ ทีมแห่งปี เป็นปีที่ 6 ติดต่อกันอีกด้วย

วันที่ 27 มกราคม 2013 เมสซิทำโปกเกอร์ คือยิง 4 ประตูในนัดเดียว ในเกมลีกพบกับโอซาซูนา และนั่นทำให้เขาทำประตูใน ลาลิกา สเปน ได้ทะลุ 200 ประตู ขณะที่อายุน้อยที่สุด

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2013 เมสซิตกลงทำสัญญาใหม่กับบาร์เซโลนา นั่นทำให้สัญญาของเขามีอายุยืดออกไปถึง 30 มิถุนายน ปี 2018 และสัญญาฉบับนี้ยังระบุค่าฉีกสัญญาของเมสซิสูงถึง 250 ล้านยูโร เลยทีเดียว

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2013 เมสซิยิง 2 ประตูได้ในนัดพบกับกรานาดาในเกมลีก ถือเป็นประตูที่ 301 จาก 365 เกมอย่างเป็นทางการที่เมสซิยิงให้บาร์เซโลนา นอกจากนั้นยังเป็นเกมส์ที่ 14 ที่เมสซิทำประตูได้ทุกเกมส์ต่อเนื่องกัน

หลังจากนั้นไม่นาน วันที่ 9 มีนาคม 2013 เกมลีกที่บาร์เซโลนา เปิดบ้านรับ เดปอร์ติโบลาโกรุญญา ที่เมสซิยิง 1 ประตูย้ำชัยให้บาร์เซโลนา เมสซิก็เป็นเจ้าของสถิติใหม่ เป็นผู้ทำประตูทุกนัดต่อเนื่องยาวนานที่สุดในลีกสูงสุดของยุโรป 17 นัดติดต่อกัน ทำลายสถิติเดิมของ ทีโอดอร์ เปเตเร็ค ที่ทำไว้ 16 นัดติดต่อกันในลีกสูงสุดของโปแลนด์ ฤดูกาล 1937-38[185]

ในวันที่ 30 มีนาคม 2013 เกมลีกนัดไปเยือนเซลตาบิโก ซึ่งเมสซิทำได้ 1 ประตู นับเป็นนัดที่ 19 ติดต่อกัน แต่นั่นทำให้เกิดสถิติใหม่สำหรับตัวเขาอีกเช่นกัน คือ เขายิงประตูทีมในลีกได้ครบทุกทีม เพราะ ลาลิกามี 20 ทีม เมื่อยิงประตูได้ 19 นัดติดต่อกัน นั่นหมายถึงการยิงประตูคู่ต่อสู้ทุกทีมในลีกได้ [186] โดยในเกมนี้ เมสซิ สวมปลอกแขนเป็นกัปตันทีมบาร์เซโลนาครั้งแรก ในการแข่งขันอย่างเป็นทางการอีกด้วย

ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2013 บาร์เซโลนาได้แชมป์ลาลิกาโดยปริยาย จากการเสมอของเรอัลมาดริดกับอัสปัญญ็อล ทั้งที่ยังเหลือเกมให้เล่นอีกถึง 4 เกม ในวันต่อมา เมสซิลงเล่นเกมเยือนกับอัตเลติโกเดมาดริดแต่ต้องออกจากสนามไปในครึ่งหลังจากอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อขาขวาและจะไม่ลงเล่นเกมที่ยังเหลืออยู่อีก ทำให้เมสซิต้องหยุดสถิติยิงติดต่อกันมากที่สุดในลีกไว้ที่ 21 นัด

แต่อย่างไรก็ตามแม้จะไม่ได้เล่นเกมส์ที่เหลือ แต่เมสซิก็ยังคงเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลาลิกาในฤดูกาลนี้ที่ 46 ประตู ได้รับรางวัลปิชิชิ และรองเท้าทองคำเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน

เมสซิ 2014

ฤดูกาล 2013-14

วันที่ 18 สิงหาคม 2013 เมสซิเริ่มต้นการแข่งขันเกมลีกด้วย 2 ประตู และ 1 แอสซิสต์ ในเกมที่พบกับเลบันเต้ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ของบาร์เซโลนาที่เอาชนะคู่แข่งด้วยสกอร์สูงถึง 7-0

วันที่ 28 สิงหาคม 2013 บาร์เซโลนาได้แชมป์ ซูเปร์โกปาเอสปัญญา ทำให้เมสซิเป็นนักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินาที่ได้ถ้วยแชมป์มากที่สุด ร่วมกับ เอสเตบัน กัมเบียสโซ

วันที่ 1 กันยายน 2013 เมสซิทำแฮตทริกแรกของฤดูกาลได้ จากการไปเยือนสนามเม็สตัลยา ของบาเลนเซีย ทำให้เมสซิเป็นนักเตะที่มีสถิติยิงประตูนอกบ้านมากที่สุดในประวัติศาสตร์ลาลิกา 100 ประตู โดยเจ้าของสถิติเดิมคือ อูโก ซานเชซ (99 ประตู)

วันที่ 18 กันยายน 2013 ในเกมส์ยูฟ่า แชมเปี้นส์ลีก บาร์เซโลนาเปิดบ้านพบกับ อาเอฟเซ อายักซ์ เมสซิทำแฮตทริกอีกครั้ง นั่นทำให้เขาเป็นนักเตะคนแรกที่ทำแฮตทริกได้ถึง 4 ครั้งในประวัติศาสตร์แชมเปียนส์ลีก

ตั้งแต่ต้นฤดูกาลมา เมสซิมีอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อแฮมสตริงรบกวนมาโดยตลอด ร่วมกับอาการป่วยอาเจียนในสนาม แต่สามารถประคองตัวเล่นไว้ได้ แต่ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2013 นัดที่เจอกับเรอัลเบติส เขาได้รับบาดเจ็บเพิ่มที่บริเวณกล้ามเนื้อขาซ้าย ต้องเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่นาทีที่ 20 และต้องหยุดพักยาวถึง 8 สัปดาห์

วันที่ 8 มกราคม 2014 เมสซิกลับมาลงสนามในนัดที่พบกับ เฆตาเฟ รอบ 16 ทีมสุดท้ายการแข่งขัน โกปาเดลเรย์ โดยเมสซิเปลี่ยนตัวลงมาในนาทีที่ 63 ท่ามกลางเสียงปรบมือต้อนรับกึกก้องจากแฟนบอลทั้งสนามคัมป์นูว์ และในนาทีที่ 89 เขาก็ทำประตูแรกได้ และบวกเพิ่มได้อีก 1 ประตูในเวลาไม่ถึง 2 นาทีถัดมา รวมยิงได้ 2 ประตูในนัดนี้

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2014 เกมลีกนัดเปิดบ้านรับราโยบาเยกาโน เมสซิยิง 2 ประตู และทำให้เขาทุบสถิติยิงประตูสูงสุดให้สโมสรเดียวในลาลิกาของ เตลโม ซาร์รา นักเตะตำนานทีม อัตเลติกเดบิลบาโอ ที่ทำไว้ที่ 335 ประตู โดยเมสซิสร้างสถิติใหม่ที่ 337 ประตูให้แก่บาร์เซโลนาในนัดนั้น และ 2 ประตูนี้ยังทำให้เขา ก้าวข้าม อัลเฟรโด ดี สเตฟาโน (227 ประตู) ซึ่งอยู่อันดับ 4 ในทำเนียบดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของลาลิกา ขึ้นไปเทียบเคียง ราอุล กอนซาเลซ อันดับ 3 ที่ 228 ประตู อีกด้วย[187]

วันที่ 12 มีนาคม 2014 เกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เปิดบ้านรับ แมนเชสเตอร์ซิตี รอบ 16 ทีมสุดท้าย เลกแรก เมสซิยิง 1 ประตู ทำให้เขาเป็นผู้ยิงประตูในการแข่งขัน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก มากที่สุดกับทีมเดียว คือ 67 ประตู ทุบสถิติเดิมของ ราอุล กอนซาเลซ ที่ทำให้เรอัลมาดริด 66 ประตูลงได้[188]

วันที่ 16 มีนาคม 2014 เมสซิทำแฮตทริกอีกครั้ง ในเกมลีกนัดเหย้า พบกับโอซาซูนา และกลายเป็นนักเตะดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสรบาร์เซโลนา ในการแข่งขันเป็นทางการและกระชับมิตร ด้วยจำนวนรวม 371 ลูก เป็นที่เรียบร้อย โดยสถิตินี้เดิมเป็นของ เปาลินโญ่ อัลคันทารา ดาวยิงลูกครึ่งฟิลิปปินส์ทำเอาไว้ที่ 369 ประตูจากการลงเล่นทั้งหมด 357 นัด ในช่วงปี 1912-1927[189]

อาทิตย์ถัดมา ในวันที่ 23 มีนาคม 2014 ในศึก เอลกลาซิโก เกมลีก นัดเยือนกับ เรอัลมาดริด เมสซิทำแฮตทริกได้อีกครั้ง ทำให้เขาซึ่งครองตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดในเกม เอลกลาซิโก ร่วมกับ อัลเฟรโด ดี สเตฟาโน ของเรอัลมาดริด ที่ 18 ประตูอยู่ก่อนหน้า ขึ้นไปนำเป็นดาวซัลโวสูงสุดในเกม เอลกลาซิโก เดี่ยว ๆ ด้วยจำนวนประตู 21 ประตู

ในฤดูกาลนี้แม้จะเป็นฤดูกาลที่ไม่ดีนักสำหรับเมสซิ เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บรบกวนถึง 4 หนใน 8 เดือน[190] ต้องหยุดพักรักษาตัวเป็นเวลาถึง 8 สัปดาห์ ร่วมกับมีอาการอาเจียนในสนามบ่อยครั้ง แต่เขาก็ยังสามารถทำประตูให้สโมสรในทุกการแข่งขันได้ถึง 41 ประตู และ 28 ประตูในลีก ก็เพียงพอให้เขาอยู่อันดับ 2 ในทำเนียบดาวซัลโวสูงสุดของลาลิกาในฤดูกาลนี้ ทำลายสถิติต่าง ๆ ได้มากมาย และยังคงเป็น 1 ใน 3 ผู้เข้าชิงรางวัลฟีฟ่าบาลงดอร์ และ 1 ใน FIFA FIFPro World XI of the year

เมสซิฉลองประตู ในเกมกับกรานาดา ฤดูกาล 2014-15

ฤดูกาล 2014-15

เมสซิเริ่มต้นเกมลีกฤดูกาลนี้ด้วย การยิง 2 ประตู ในการเปิดบ้านรับเอลเช เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นคนยิงเปิดประตูแรกของฤดูกาลให้บาร์เซโลนา

ในนัดถัดมา เกมลีก นัดเหย้ากับ บิยาร์เรอัล เมสซิทำแอสซิสต์ให้ ซานโดร รามิเรส ดาวรุ่งที่เพิ่งขึ้นจากทีมสำรอง แม้ว่าจะมีอาการกล้ามเนื้อตึงบริเวณสะโพกด้านขวาแต่ก็เล่นจนจบเกม

ในวันที่ 12 กันยายน 2014 เมสซิทำแอสซิสต์ 2 แอสซิสต์อย่างสวยงามให้เนย์มาร์ ยิงประตูในเกมลีกนัดเหย้ากับ อัตเลติกเดบิลบาโอ หลังเกม หลุยส์ เอ็นริเก้ ผู้ฝึกคนใหม่ของบาร์เซโลนา ได้พูดชมเมสซิว่า "เมสซิเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลก ไม่ใช่เพียงเพราะเขาทำประตูได้มากมายแต่ยังเป็นเพราะแอสซิสต์ของเขาด้วย เขาทำบางอย่างในการฝึกซ้อมที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เคยเห็นแม้แต่กับกัปตันซึบาสะหรือในเพลย์สเตชัน"

วันที่ 27 กันยายน 2014 เมสซิทำ 2 ประตูได้ในเกมลีก นัดเปิดบ้านรับ กรานาดา ทำให้เขาทำประตูในระดับอาชีพทะลุ 400 ประตู ด้วยวัยเพียง 27 ปี โดย 401 ประตูนี้ มาจากการลงสนาม 524 นัด แบ่งเป็นยิงให้ บาร์เซโลนา 359 ประตู และทีมชาติอาร์เจนตินา 42 ประตู ในเกมนี้เมสซิทำแอสซิสต์เพิ่มได้อีก 2 แอสซิสต์ ทำให้จำนวนแอสซิสต์ในระดับอาชีพของเขาอยู่ที่จำนวน 201 แอสซิสต์

วันที่ 18 ตุลาคม 2014 เมสซิทำประตูที่ 250 ในลาลิกาของตัวเองได้สำเร็จ ในนัดพบกับเอย์บาร์ เป็นการฉลองครบ 10 ปี ในการลงเล่นนัดแรกให้กับบาร์เซโลนาชุดใหญ่เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2004 โดยเป็นเกมดาร์บีที่แข่งขันกับอัสปัญญ็อล และเมสซิได้ลงข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กของเขาว่า"ผมอยากจะขอกล่าวคำขอบคุณไปยังครอบครัว เพื่อน ๆ เพื่อนร่วมทีม ทีมงานของสโมสรบาร์เซโลนาสำหรับการสนับสนุนอันน่าเหลือเชื่อตลอดช่วงเวลา 10 ปี ผมมีความสุขทุก ๆ เวลาที่ได้ก้าวลงเล่นในสนาม สวมเสื้อสีนี้ ได้ใช้เวลาในช่วงเวลาอันน่าทึ่ง และผมก็จะพยายามพัฒนาฝีเท้า และคว้าแชมป์รางวัลให้กับทีมเพิ่มมากขึ้นอีก ขอกอดทุก ๆ คน เลโอ"

วันที่ 5 พฤศจิกายน 2014 เมสซิยิง 2 ประตูในนัดออกไปเยือนอาเอฟเซ อายักซ์ เกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้เขาทาบสถิติ ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกของราอุล กอนซาเลซ เป็นดาวซัลโวร่วมที่ 71 ประตู ทั้งที่ลงเล่นในจำนวนนัดน้อยกว่าโดยเมสซิลงเล่นเพียง 91 นัดในการคว้าสถิตินี้ ขณะที่ราอุล กอนซาเลซ ลงเล่นถึง 142 นัดในการสร้างสถิติดาวซัลโวสูงสุดนี้

เมสซิ ก้าวขึ้นมาเป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของลาลิกา สเปน คนใหม่ ด้วยจำนวนประตู 253 ประตู ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2014 เกมเหย้า บาร์เซโลนาพบกับสโมสรฟุตบอลเซบิยา เมสซิทำแฮตทริกได้ในนัดนี้ เป็นการทำลายสถิติของเตลโม ซาร์รา นักเตะตำนานทีม อัตเลติกเดบิลบาโอ ที่ทำไว้ 251 ประตูตั้งแต่ปี 1955 และ 3 วันหลังจากนั้น เมสซิก็ทำแฮตทริกอีกครั้ง ในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดเหย้า พบกับอาโปเอล ทำให้เขาขึ้นไปเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในการแข่งขัน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเดี่ยว ๆ ทันที โดยสถิตินัดนั้นที่ 74 ประตู

เมสซิสร้างสถิติกลายเป็นนักเตะเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลสเปนที่ทำประตูให้กับสโมสรเดียวได้ 400 ลูกขึ้นไป หลังทำแฮตทริกได้ในเกมลีก นัดดาร์บีแห่งแคว้นกาตาลุญญา ในวันที่ 7 ธันวาคม 2014 ทำให้ยอดรวมประตูของเขาอยู่ที่ 402 ประตู และเขายังทำลายสถิติของเซซาร์ โรดริเกซ (11 ประตู) ขึ้นเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในเกมดาร์บีของแคว้นกาตาลุญญา ด้วยประตูรวม 12 ประตู ในนัดนี้อีกด้วย

หลังจากพ่ายแพ้ เกมลีกนัดเยือนกับ เรอัลโซเซียดัด ในวันที่ 4 มกราคม 2015 ที่อาโนเอต้า ทำให้บาร์เซโลนาพลาดโอกาสขึ้นเป็นจ่าฝูงลาลิกา โดย ลุยส์ เอนรีเก ผู้ฝึกของบาร์เซโลนาตัดสินใจไม่ส่งผู้เล่นตัวจริงหลายคนลงเล่นในเกมสำคัญนี้ เช่น เมสซิ เนย์มาร์ ปิเก ทำให้มีข่าวลือเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกันของนักเตะตัวหลักของทีมหลายคน

แต่ในระหว่างมรสุมข่าวลือเหล่านั้น ในวันที่ 11 มกราคม 2015 เกมลีก นัดเปิดบ้านรับ อัตเลติโกเดมาดริด เมสซิก็ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลาย ด้วยฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมของเมสซิ ช่วยบาร์เซโลนาเอาชนะอัตเลติโกเดมาดริดไปอย่างสวยงาม กลับมาลุ้นแชมป์เต็มตัว โดยกองหน้าของทีมทั้ง 3 คน เมสซิ เนย์มาร์ และ หลุยซ์ ซัวเรซ ทำประตูได้ทั้ง 3 คน โดยเมสซิเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดของนัดนี้ โดยก่อนเริ่มเกมนี้มีการมอบรางวัลดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของลาลิกาให้แก่เมสซิด้วย หลังจากนั้นเมสซิออกมาให้สัมภาษณ์ครั้งแรกเกี่ยวกับข่าวลือที่ออกมา โดยเขาปฏิเสธความคิดเรื่องจะย้ายทีม และปฏิเสธเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกันของนักเตะและผู้ฝึก

วันที่ 12 มกราคม 2015 เมสซิได้เสียงโหวตเป็นที่ 2 ในการประกาศรางวัล ฟีฟ่าบาลงดอร์ 2014

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2015 เมสซิลงเล่นเกมลีก นัดเยือน อัตเลติกเดบิลบาโอ ทำ 1 ประตู และ 2 แอสซิสต์ นั่นทำให้เมสซิขึ้นแท่นครองสถิติทำแอสซิสต์สูงสุดในลาลิกา เท่ากับ ลูอิช ฟีกู คือ 107 ครั้ง

เกมลีกนัดที่ 300 ของเมสซิ เป็นเกมเหย้า กับ เลบันเต ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2015 เมสซิทำแฮตทริกฉลองนัดที่ 300 และยังสามารถทำเพิ่มอีก 1 แอสซิสต์ ทำสถิติแอสซิสต์สูงสุดในลาลิกาใหม่ที่ 108 ครั้ง[191]

วันที่ 8 มีนาคม 2015 นัดเหย้ากับ ราโยบาเยกาโน เมสซิทำแฮตทริกได้ภายในเวลา 12 นาที เร็วที่สุดในการค้าแข้งอาชีพของเขา และจากแฮททริกนี้ทำให้เมสซิขึ้นไปนำเดี่ยว ในสถิติการทำแฮตทริกสูงสุดตลอดกาลให้กับทีมในสเปนจากการลงเล่นในทุกรายการ 32 ครั้ง และทำสถิติใหม่ทำประตูในระดับสโมสร 6 ซีซั่นติดต่อกัน ได้รวมแล้วสูงที่สุดตลอดกาล ด้วยจำนวน 315 ลูก ทำลายสถิติเดิมของ เปเล่ (313 ประตู)

วันที่ 18 เมษายน 2015 เมสซิทำเพิ่ม 1 ประตูจากเกมลีก นัดเหย้าพบกับ บาเลนเซีย เป็นประตูที่ 400 ที่เขาทำให้บาร์เซโลนาจาก 471 นัด

เมสซิในนัดชิงชนะเลิศ UCL กับยูเวนตุส

วันที่ 6 พฤษภาคม 2015 เมสซิโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นที่กล่าวขานและชื่นชมไปทั่วโลก ในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 4 ทีมสุดท้าย เลกแรก ที่คัมป๋นูว์ กับ บาเยิร์นมิวนิก โดนเมสซิยิงคนเดียว 2 ประตู และทำแอสซิสต์ในเนย์มาร์อีก 1 ประตู โดยประตูที่ 2 ที่เขายิงนั้นได้รับคำเลือกให้เป็น Goal of the season ของยูฟ่าอีกด้วย 2 ประตูนี้ทำให้เมสซิแซงหน้า คริสเตียโน โรนัลโด กลับขึ้นไปเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาล และในฤดูกาลนี้ของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอีกด้วย

วันที่ 17 พฤษภาคม 2015 เมสซิยิงประตูชัย ให้บาร์เซโลนาเอาชนะ อัตเลติโกเดมาดริด ทำให้บาร์เซโลนาเป็นแชมป์ลาลิกาในฤดูกาลนี้ทันที โดยไม่ต้องรอลุ้นนัดสุดท้ายกับ เดปอร์ติโบลาโกรุญญา

วันที่ 30 พฤษภาคม 2015 เมสซิทำ 2 ประตู ช่วยให้บาร์เซโลนา เอาชนะ อัตเลติกเดบิลบาโอ ในนัดชิงชนะเลิศ เป็นแชมป์โกปาเดลเรย์ ในฤดูกาลนี้ โดยประตูแรกของเขานั้น เป็นประตูสุดสวยได้รับการกล่าวขานว่าเป็นประตูที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขัน โกปาเดลเรย์ ทั้งยังได้เข้าชิง เป็น 3 ประตูสุดท้าย รางวัลปุชกาชอีกด้วย

วันที่ 6 มิถุนายน 2015 เมสซิลงเล่นเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศกับ ยูเวนตุส ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และมีส่วนสำคัญในการทำประตูทุกประตูของบาร์เซโลนาในเกมนั้น ซึ่งบาร์เซโลนาสามารถเอาชนะยูเวนตุส เป็นแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลนี้ได้

ฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลที่ยอดเยียมของเมสซิ พาทีมคว้าทริปเปิลแชมป์ เป็นครั้งที่ 2 หลังจากเคยทำได้ในปี 2009 มีคะแนนความสามารถเฉลี่ยทั้งฤดูกาลสูงที่สุดในยุโรป เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดในการแข่งขันลาลิกาถึง 25 จาก 37 เกมที่ลงเล่น และเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดถึง 9 จาก 13 เกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่ลงเล่นในฤดูกาลนี้ เลยทีเดียว[192] และนั่นทำให้เขาเป็นตัวเต็งของทุกงานประกาศรางวัลของนักฟุตบอล และได้รับรางวัลเป็นเกียรติยศส่วนตัวมากมาย

ฤดูกาล 2015-16

เมสซิ ในการแข่งขันยูฟ่าซุปเปอร์คัพ 2015

เมสซิ เริ่มต้นฤดูกาลด้วยประตูฟรีคิก 2 ประตูในการแข่งขันชิงถ้วย ยูฟ่าซุปเปอร์คัพ ที่บาร์เซโลนาเอาชนะเซบิยาไป 5-4 ประตู วันที่ 11 สิงหาคม 2015 เป็นครั้งแรกที่เขาทำประตูได้จากการเตะลูกฟรีคิก 2 ประตูในเกมเดียว และจาก 2 ประตูนี้ ทำให้เมสซิทำสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดการในการแข่งขันทุกรายการของยูฟ่า เท่ากับคริสเตียโน โรนัลโด ที่ 80 ประตู

วันที่ 27 สิงหาคม 2015 เมสซิได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งทวีปยุโรป ปี 2015 (Uefa Best Player 2015) โดยเมสซิเป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ถึง 2 ครั้ง โดยได้รับคะแนนโหวตไปถึง 90.74% คือ 49 คะแนนจาก 54 คะแนน เป็นสถิติตะแนนสูงที่สุดเท่าที่เคยมีรางวัลนี้มา โดยมี หลุยส์ ซัวเรซ (3 คะแนน) และคริสเตียโน โรนัลโด (2 คะแนน) ตามมาเป็นอันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ และประตูที่ 2 ที่เมสซิยิงบาเยิร์นมิวนิก ในนัดบาร์เซโลนาเปิดบ้านรับบาเยิร์นมิวนิก ในรอบ 4 ทีมสุดท้ายการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ได้รับรางวัล ประตูยอดเยี่ยมของฤดูกาล 2015 (Uefa Goal of the season 2015) อีกด้วย [193]

วันที่ 16 กันยายน 2015 เมสซิทำสถิติเป็นนักฟุตบอลที่ลงเล่นเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกครบ 100 นัด ในขณะที่อายุน้อยที่สุด ในนัดเกมเยือนกับโรมา รอบแบ่งกลุ่มยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก วันที่ 20 กันยายน 2015 เมสซิทำหน้าที่กัปตันทีมอย่างเป็นทางการครั้งแรกในสนามกัมนอว์

วันที่ 26 กันยายน 2015 เมสซิได้รับบาดเจ็บเอ็นหัวเข่าซ้ายฉีก ในเกมลีก นัดเหย้ากับลัสปัลมัส ทำให้เขาต้องพักรักษาตัวนานถึง 8 สัปดาห์

วันที่ 16 พฤศจิกายน 2015 เมสซิกลับมาลงสนามซ้อมได้ 5 วันก่อนการแข่งขัน เอลกลาซิโกวันที่ 21 พฤศจิกายน 2015 ในศึก เอลกลาซิโก เกมลีกนัดเยือน เมสซิกลับมาลงสนามได้ โดยเป็นตัวสำรองลงสนามในนาทีที่ 59 และมีส่วนช่วยให้เกิดประตูสุดท้าย โดยเมสซิส่งบอลให้ ฆอร์ดี้ อัลบา แตะส่งให้หลุยซ์ ซัวเรซทำประตูที่ 4 ของการแข่งขันที่บาร์เซโลนาเอาชนะ เรอัลมาดริดไปได้ถึง 0-4 ประตู

วันที่ 8 มกราคม 2016 เมสซิได้รับเลือกให้อยู่ในทีมแห่งปี 2015 ของยูฟ่า โดยได้รับเสียงโหวตมากที่สุดในบรรดาผู้เล่นทั้งหมด คือ 70% (448,445 คะแนนโหวต)

วันที่ 11 มกราคม 2016 เมสซิได้รับรางวัล ฟีฟ่าบาลงดอร์ เป็นรางวัล บัลลงดอร์ สมัยที่ 5 ของเขา ด้วยเสียงโหวต 41.33% โดนมีคริสเตียโน โรนัลโด (27.76%) และ เนย์มาร์ (7.86%) ตามมาเป็นอันดับที่ 2 และ 3 ตามลำดับ และเขายังได้รับเลือกให้เป็น 1 ในทีมยอดเยี่ยมของฟีฟ่า FIFA FIFPro World XI 2015 อีกด้วย ในงานรับรางวัล เขาให้สัมภาษณ์ว่า "เขารู้สึกดีมากกับทุกอย่างที่เขาทำมากับทีมบาร์เซโลนา มันยากเสมอที่จะกลับมาชนะทุกอย่าง นี่เป็นครั้งที่ 9 แล้วที่เขามายืนอยู่ตรงนี้ มันเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ เขาดีใจมาก" และเมื่อนักข่าวถามเขาว่า เขายินดีจะแลกรางวัล บัลลงดอร์ 5 ครั้งนี้ กับถ้วยฟุตบอลโลกไหม เขาตอบในทันทีว่า แน่นอน ถ้วยแชมป์ของทีมมันยิ่งใหญ่กว่ารางวัลส่วนตัวเสมอ

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2016 เกมลีกนัดเหย้ากับ เซลต้า บีโก้ บาร์เซโลนาเอาชนะไปได้ 6-1 ประตู โดยเมสซิยิงประตูแรกของเกมจากลูกฟรีคิก แต่สิ่งที่สร้างความฮือฮาในเกมนี้ คือ ลูกจุดโทษ โดยเมสซิเรียกจุดโทษให้ทีมได้ในนาทีที่ 81 จากการลากหลบกองหลังไปจนสุดเส้นหลัง แต่ยังแตะอ้อมกองหลังแล้ววิ่งไปเอาบอลได้จนกองหลังต้องทำฟาวล์ เมสซิรับหน้าที่ยิงสังหาร ซึ่งหากยิงเข้า จะเป็นประตูที่ 300 ในลาลิกาของเขา แต่เมสซิกลับหลอกแตะบอลออกด้านขวาของตัวเองเบา ๆ ให้หลุยส์ ซัวเรซวิ่งจากนอกกรอบเข้ามาแปเข้าไป โดยจุดโทษลูกนี้เป็นที่ฮือฮาอย่างมาก มีเสียงชื่นชมและวิจารณ์มากมาย แต่ตามกติกาแล้ว การยิงจุดโทษแบบนี้ (Indirect Penalty) สามารถทำได้ โดยไม่ผิดกฎแต่อย่างใด ซึ่งหลังเกมเนย์มาร์ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า จริง ๆ แล้วเป็นเมสซิกับตัวเขาซ้อมกันไว้ก่อน เมสซิตั้งใจส่งให้เขา แต่ซัวเรสวิ่งไปถึงบอลเร็วกว่าจึงยิงเข้าไป

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2016 ในเกมลีก นัดเยือนกับเอสปอร์ตินเดฆิฆอน เมสซิก็ทำประตูที่ 300 ในลาลิกาของเขาได้สำเร็จ โดยยิงประตูสุดสวยทะลุแผงกองหลังเข้าไปจากนอกกรอบ เป็นประตูแรกของเกม ซึ่งบาร์เซโลนาเอาชนะไปได้ 1-3

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2016 เกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดเยือนกับทีมอาร์เซนอล เมสซิสามารถทำประตูผ่านนายทวารมือเก๋า ปีเตอร์ เช็ก ได้เป็นครั้งแรก หลังจากเคยพบกันมา 6 ครั้งก่อนหน้านี้ โดยนัดนี้เมสซิเหมายิงคนเดียว 2 ประตู เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดของเกมนี้

วันที่ 13 มีนาคม 2016 เมสซิทำสถิติทาบ ฆวน โรมัน ริกวัลเม ในสถิติทำแอสซิสต์สูงสุด 247 แอสซิสต์ (รวมสโมสรและทีมชาติ) ในเกมเจอกับเฆตาเฟ ซึ่งบาร์เซโลนาเอาชนะไปได้ 6-0 โดยเมสซิทำแอสซิสต์ 3 ครั้ง เป็นแฮตทริกแอสซิสต์ในเกมนี้

วันที่ 17 เมษายน 2016 เมสซิทำประตูที่ 500 ในการแข่งขันเป็นทางการได้ นับรวมทั้งสโมสรและทีมชาติ ในเกมลีก นัดเปิดบ้านรับบาเลนเซีย

ฤดูกาลนี้ เมสซิเริ่มเปลี่ยนสไตล์การเล่นชัดเจนมากขึ้น เน้นทำเกม ส่งให้เพื่อนยิง ไม่วิ่งขึ้นไปยิงเองแบบฤดูกาลก่อน ๆ สื่อยกให้เขาเป็นนักกลยุทธ์คนใหม่ของคัมป์นูว์ เขาตัดสินใจได้ดีว่าเวลาไหนควรยิง และเวลาไหนควรจ่าย และเขาจบฤดูกาลด้วยการเป็นผู้ทำแอสซิสต์สูงสุดของลาลิกา [194] และมีคะแนนความสามารถเฉลี่ยทั้งฤดูกาลสูงที่สุด [195] เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดในเกมลีกถึง 13 ใน 31 เกมที่ลงเล่น[196]

เมสซิ กับเจ้าหนูถุงพลาสติก 2016

ฤดูกาล 2016-17

เมสซิเริ่มต้นฤดูกาลด้วยการเปลี่ยนลุคครั้งใหญ่ เซอร์ไพรส์แฟนบอลทุกคน คือการเปลี่ยนสีผมเป็นสีแพลทตินั่มบลอนด์ และเริ่มไว้หนวดเครา โดยให้เหตุผลในการเปลี่ยนลุคครั้งนี้ว่า ต้องการรู้สึกถึงการเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ

วันที่ 17 สิงหาคม 2016 เมสซิพาบาร์เซโลนา คว้าแชมป์แรกของฤดูกาล คือ ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา โดยเอาชนะเซบิยาไปได้ทั้ง 2 เลกเหย้าเยือน ซึ่งรวม 2 เลก เมสซิทำได้ 1 ประตู 2 แอสซิสต์ เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดของทั้ง 2 นัด แชมป์นี้เป็นแชมป์ที่ 29 ของเมสซิกับบาร์เซโลนา แต่เป็นแชมป์ถ้วยแรกที่เมสซิได้รับในฐานะกัปตันทีมของบาร์เซโลนา เนื่องจากอันเดรส อินิเอสตา กัปตันทีมที่ 1 นั้นไม่ได้ลงเล่นในนัดนี้

วันที่ 20 สิงหาคม 2016 เมสซิทำได้ 2 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ ในเกมลีค นัดเปิดฤดูกาล โดยบาร์เซโลนาเปิดบ้านเอาชนะ เรอัล เบติส ไปได้ 6-2 ประตู โดยเมสซิได้คะแนนความสามารถเต็ม 10 และเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดในนัดนี้

วันที่ 13 กันยายน 2016 เมสซิทำแฮตทริกที่ 40 ในชีวิตการค้าแข้งได้ โดยเมสซิทำแฮตทริก และ 1 แอสซิสต์ ในเกมบาร์เซโลนา เปิดบ้านรับกลาสโกลว์ เซลติก ศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดแรก รอบแบ่งกลุ่ม แฮตทริกครั้งนี้ถือเป็นแฮตทริกที่ 6 ของเมสซิในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก

วันที่ 17 กันยายน 2016 เมสซิเป็นนักฟุตบอลคนแรกของลาลิกา สเปน ที่สามารถทำประตูได้ใน 34 สนามแตกต่างกัน จากการเบิ้ลทำ 2 ประตู กับอีก 1 แอสซิสต์ ในเกมลีก ที่บาร์เซโลนาออกไปเยือนสนาม เอสตาดิโอ มูนิซิปาล บูร์ตาเก้ ของเลกาเนส ทำลายสถิติเดิมของ ราอูล กอนซาเลซ ที่เคยทำไว้ 33 สนาม[197]

วันที่ 21 กันยายน 2016 ในเกมลีก นัดบาร์เซโลนา เปิดบ้านรับ อัตเลติโกเดมาดริด เมสซิได้รับบาดเจ็บกล้ามเนื้อโคนขาหนีบด้านขวา จากจังหวะปะทะกับ ดิเอโก้ โกดิน จนเล่นต่อไม่ไหว ต้องเปลี่ยนตัวออก ซึ่งหลังจากเมสซิถูกเปลี่ยนตัวออก บาร์เซโลนาก็ถูกตีเสมอ จบเกมที่ 1-1 ประตู โดยผลการตรวจออกมาว่าเมสซิต้องพักรักษาตัว 3 สัปดาห์

วันที่ 15 ตุลาคม 2016 เมสซิกลับมาลงสนามได้ในเกมลีก นัดเหย้า ระหว่างบาร์เซโลนากับเดปอร์ติโบลาโกรุญญา โดยเป็นตัวสำรองถูกส่งลงสนามในนาทีที่ 54 และแผลงฤทธิ์ทันที โดยสัมผัสแรกของเขา ในนาทีที่ 57 คือการยิงประตูที่ 4 ให้บาร์เซโลนาเอาชนะคู่แข่งไปได้อย่างสวยงาม

วันที่ 19 ตุลาคม 2016 เกมแชมเปียนส์ลีก นัดเปิดบ้านรับ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี เมสซิทำแฮตทริกที่ 2 ของฤดูกาลได้สำเร็จ และในวันที่ 22 ตุลาคม 2016 เมสซิยิง 2 ประตูในเกมลีก ช่วยให้บาร์เซโลนาเอาชนะบาเลนเซียไปได้อย่างฉิวเฉียดที่สนามเมสตาย่าของบาเลนเซีย 2-3 ประตู

วันที่ 6 พฤศจิกายน 2016 เมสซิทำประตูที่ 500 ในสีเสื้อของบาร์เซโลนาได้สำเร็จ (469 ประตู จากการแข่งขันอย่างเป็นทางการ และ 31 ประตูจากเกมกระชับมิตร) จากการยิงประตูตีเสมอ สโมสรฟุตบอลเซบิยา ได้ก่อนหมดเวลาครึ่งแรก ก่อนจะแอสซิสต์ให้ หลุยส์ ซัวเรซ ยิงประตูชัยในครึ่งหลัง วันที่ 23 พฤศจิกายน 2016 ในเกมแชมเปียนส์ลีก บาร์เซโลนาออกไปเยือน สโมสรฟุตบอลเซลติก เมสซิทำคนเดียว 2 ประตูในนัดนี้ ทำให้เขาเป็นนักฟุตบอลคนแรก ที่ทำประตูให้สโมสรในการแข่งขันระดับนานาชาติได้ถึง 100 ประตู (ยูฟ่า แชมเปี้นส์ลีก 92 ประตู , ยูฟ่า ซุปเปอร์คัพ 3 ประตู และ ฟีฟ่าคลับ เวิร์ลคัพ 5 ประตู)

วันที่ 27 พฤศจิกายน 2016 ในเกมลีกนัดเยือน เรอัล โซเซียดัด เมสซิยิงได้ 1 ประตู ทำให้เขาเป็นนักฟุตบอลคนแรกในลาลิกาสเปนที่ทำประตูได้ครบ 200 นัดในลีก วันที่ 6 ธันวาคม 2016 เมสซิลงแข่งขันเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กับ โบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัค ซึ่งเป็นการแข่งขันอย่างเป็นทางการนัดที่ 549 ของเขาในสีเสื้ออาซุลกรานา ทำให้เขาขึ้นมาครองอันดับ 4 นักเตะที่ลงสนามในเกมเป็นทางการให้บาร์เซโลนามากที่สุด ร่วมกับ มิเกลลี โดยใน 10 อันดับแรก มีเพียงเขา และอันเดรส อินิเอสตา (603 นัด อยู่ในอันดับ 2)เท่านั้น ที่ยังคงค้าแข้งให้บาร์เซโลนาอยู่[198]

วันที่ 13 ธันวาคม 2016 ทีมบาร์เซโลนาเดินทางไปเตะฟุตบอลกระชับมิตรที่ประเทศกาตาร์ โดยพบกับแชมป์ลีกของประเทศซาอุดิอาระเบีย อัล อาห์ลี โดยบาร์เซโลนาสามารถเอาชนะไปได้ 3-5 ประตู แต่สิ่งที่เรียกความสนใจได้มากกว่าคือ เมสซิได้มีโอกาสพบกับเจ้าหนูมูร์ตาซา อาห์มาดี (Murtaza Ahmadi) เด็กน้อยชาวอัฟกานิสถานที่นำถุงพลาสติกลายทางสีฟ้า-ขาวมาเขียนชื่อเมสซิและหมายเลข 10 และสวมเป็นเสื้อฟุตบอล ซึ่งภาพถ่ายของหนูน้อยนี้ได้ถูกส่งต่อเป็นไวรัลไปทั่วโลกออนไลน์ เจ้าหนูเกาะติดไอดอลอย่างเมสซิตลอดเวลา แม้ถึงเวลาเริ่มแข่ง ก็ยังอยากอยู่กับเมสซิ ไม่ยอมออกจากสนาม สร้างความเอ็นดูให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก[199]

วันที่ 18 ธันวาคม 2016 เมสซิยิง 1 จ่าย 1 ในเกมลีก ดาร์บี้กาตาลา โดยเกมนี้ถือเป็นนัดที่ 600 รวมนัดเป็นทางการและกระชับมิตร ที่เมสซิลงแข่งให้ทีมใหญ่ของบาร์เซโลนา[200]

วันที่ 29 ธันวาคม 2016 เมสซิได้รับเลือกให้เป็นเพลย์เมคเกอร์ยอดเยี่ยมแห่งปี เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน จาก IFFHS[201] และจบปี 2016 ด้วยการเป็นดาวซัลโวสูงสุดด้วยจำนวนประตู 59 ประตู และยังเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลาลิกาด้วย 12 ประตูในลีก และดาวซัลโวยูฟ่าแชมเปี้ยส์ลีกที่ 10 ประตู

เมสซิ เริ่มต้นปี 2017 ด้วยประตูฟรีคิก ในการแข่งขันรอบ 16 ทีมสุดท้าย โกปาเดลเรย์ เลกแรก ช่วยให้ทีมยังมีความหวังในการผ่านเข้ารอบ แม้จะพ่ายแพ้ต่ออัตเลติกเดบิลบาโอไป 2-1 ที่สนามซานมาเมส วันที่ 8 มกราคม 2017 เมสซิช่วยทีมอีกครั้งด้วยการยิงประตูฟรีคิกให้ทีมตีเสมอบิยาร์เรอัลไปได้ในเกมลีก และนั่นทำให้เขามีสถิติใหม่ เป็นดาวซัลโวประตูจากฟรีคิกให้บาร์เซโลนา ร่วมกับโรนัลด์ กุมัน ที่ 26 ประตู [202]

วันที่ 11 มกราคม 2017 ในการแข่งขันโกปาเดลเรย์ รอบ 16 ทีมสุดท้าย เลก 2 เมสซิ ยิงประตูจากฟรีคิกอีก ช่วยให้ทีมผ่านเข้ารอบไปได้อย่างฉิวเฉียด แม้จะแพ้มาในเลกแรก และทำให้เขาก้าวข้าม โรนัลด์ คูมัน ขึ้นไปนำดาวซัลโวจากฟรีคิกสูงสุดของบาร์เซโลนาที่ 27 ประตูทันที[203] หลังจากนั้น 3 วัน ในวันที่ 14 มกราคม 2017 เมสซิก็สร้างสถิติใหม่อีก โดยยิงประตูที่ 2 ในเกมลีก เปิดบ้านรับ ลาส พัลมาส ทำให้เขาทำสถิติเทียบเท่า ราอุล กอนซาเลซ ในการยิงประตูคู่แข่งได้ถึง 35 ทีมในลีกสูงสุดของสเปน[204]

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2017 อัตเลติโกเดมาดริดเปิดบ้านรับบาร์เซโลนา ในเลกแรก เกมโกปาเดลเรย์ รอบ 8 ทีมสุดท้าย เมสซิ ปั่นไกลเป็นประตูสุดสวย ช่วยให้บาร์เซโลนาเก็บชัยชนะได้ 1-2 ประตู และทำให้เขาเลื่อนตำแหน่งในทำเนียบดาวซัลโวสูงสุดในการแข่งขันถ้วยโกปาเดลเรย์ ขึ้นไปเทียบเท่ากับ อัลเฟรโด ดิ เอสเตฟาโน ที่ 43 ประตู 3 วันถัดมา วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2017 เมสซิยิงฟรีคิกได้ ในเกมลีกเปิดบ้านรับอัตเลติกเดบิลบาโอ เป็นประตูจากฟรีคิกประตูที่ 4 ของฤดูกาล ฉลองการแข่งขันนัดที่ 700 (รวมสโมสรและทีมชาติ) ในชีวิตค้าแข้งของเขา

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2017 เมสซิยิงประตูชัยให้บาร์เซโลนาเอาชนะอัตเลติโกเดมาดริด ไปได้ 1-2 ในเกมลีก นัดเยือน สร้างสถิติทำประตูในลีกได้เกิน 20 ประตูต่อฤดูกาล ใน 9 ฤดูกาลติดต่อกัน[205] และยังเป็นชัยชนะที่ 400 นับตั้งแต่ขึ้นทีมชุดใหญ่มาอีกด้วย[206]

วันที่ 1 มีนาคม 2017 เมสซิฉลองการลงเล่นเป็นตัวจริงให้บาร์เซโลนาในการแข่งขันอย่างเป็นทางการครบ 500 นัด ด้วยการทำประตูจากลูกโหม่ง และทำแอสซิสต์อีก 1 ประตู ในเกมลีก นัดเหย้า บาร์เซโลนาเอาชนะเอสปอร์ตินเดฆิฆอนไปได้ 6-1 ประตู

วันที่ 8 มีนาคม 2017 บาร์เซโลนาสร้างประวัติศาสตร์ เป็นทีมแรกที่สามารถพลิกนรก ผ่านเข้ารอบยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ ทั้งที่เลกแรกแพ้มาถึง 0-4 ประตู โดยสามารถเปิดบ้านเอาชนะสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ไปได้ 6-1 ประตู โดยในนัดนี้เมสซิยิงได้ 1 ประตู จากการยิงจุดโทษในช่วงเวลากดดัน เป็นดาวซัลโวแชมเปียนส์ลีกของฤดูกาลนี้ที่ 11 ประตู และวันที่ 19 มีนาคม 2017 การแข่งขันเกมลีก นัดบาร์เซโลนาเปิดบ้านเอาชนะบาเลนเซียไป 4-2 ประตู เมสซิทำประตูดับเบิ้ล (ยิง 2 ประตูในนัดเดียว) ครั้งที่ 100 ได้ในสีเสื้อบาร์เซโลนา และสร้างสถิติทำประตูได้เกิน 40 ประตูในทุกการแข่งขัน 8 ฤดูกาลติดกัน

วันที่ 23 เมษายน 2017 ศึกใหญ่ในตำนาน เกมลีก เอลกลาซิโก บาร์เซโลนาออกไปเยือน สนามซานเตียโก เบร์นาเบว ของเรอัลมาดริด โดยผลของเกมนี้เป็นที่จับตามองอย่างมาก เนื่องจากบาร์เซโลนาและเรอัลมาดริด อยู่ในช่วงขับเคี่ยวแย่งชิงแชมป์ลาลิกา โดยเกมนี้บาร์เซโลนาสามารถเอาชนะเรอัลมาดริดไปได้อย่างสุดมันส์ 2-3 ประตู ด้วยฟอร์มการเล่นอันร้อนแรงของเมสซิ โดยเลี้ยงหลบกองหลัง 3 คนไปยิงประตูสุดสวย ตีเสมอให้บาร์เซโลนาในครึ่งแรก และยิงประตูชัยเสียบมุมอย่างเฉียบขาดได้ใน 16 วินาทีสุดท้ายก่อนหมดเวลา เมสซิเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดในนัดนี้ไปอย่างไร้ข้อกังขา และทั้ง 2 ประตูในนัดนี้ยังเป็นประตูสำคัญในชีวิตค้าแข้งของเขาอีกด้วย โดยประตูแรกทำให้เขาก้าวข้ามอัลเฟรโด ดี สเตฟาโน ขึ้นไปนำเป็นดาวซัลโวในศึกเอลกลาซิโก ในเกมลีกอย่างเดี่ยว ๆ ที่ 15 ประตู และขยับขึ้นเป็น 16 ประตูจากประตูชัย และยังขยับสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในเกมเอลกลาซิโกทุกรายการแข่งขัน ที่เขาเป็นเจ้าของเดิมอยู่แล้ว ไปที่ 23 ประตูอีกด้วย ส่วนประตูชัยในนาทีสุดท้ายนั้นเป็นประตูที่ 500 ของเขาที่ยิงให้บาร์เซโลนา ตลอดอาชีพการค้าแข้งในเกมที่เป็นทางการ ซึ่งเมสซิฉลองประตูด้วยการถอดเสื้อออกแล้วชูเสื้อโชว์ชื่อและหมายเลขบนเสื้อ หลังจบเกมนี้เมสซิได้รับเสียงชื่นชมมากมาย โดยชื่อของเขาติดเป็นอันดับ 1 คำที่ถูกใช้มากที่สุดในโซเชียลมีเดียขณะนั้นด้วย[207][208]

วันที่ 27 พฤษภาคม 2017 สนามกีฬาบิเซนเต กัลเดรอนของอัตเลติโกเดมาดริด ได้ถูกยืมมาใช้ในการแข่งขันในนัดชิงชนะเลิศถ้วยโกปาเดลเรย์ ระหว่างบาร์เซโลนา และเดปอร์ติโบอาลาเบส โดยเมสซิทำประตูแรกให้บาร์เซโลนาขึ้นนำ และแอสซิสต์สุดสวยโดยลากหลบ 4 กองหลัง แล้วส่งให้ปาโก้ อัลกาแซร์ ยิงประตูตอกฝาโลง ทำให้บาร์เซโลนาเอาชนะเดปอร์ติโบอาลาเบส ไปได้ 3-1 คว้ารางวัลชนะเลิศรายการนี้ไปครองอย่างสวยงาม โดยแชมป์รายการนี้ เป็นแชมป์ที่ 30 ของเมสซิกับบาร์เซโลนา ถือเป็นนักฟุตบอลที่ได้แชมป์กับบาร์เซโลนามากที่สุด ซึ่งสถิตินี้เมสซิถือครองร่วมกับอันเดรส อินิเอสตา

เมสซิจบฤดูกาลนี้ด้วยการเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลาลิกาที่ 37 ประตู ได้รับรางวัลปิชิชิ (Pichichi) มีคะแนนและจำนวนประตูสูงสุดในทำเนียบรางวัลรองเท้าทองคำยุโรปอีกด้วย และยังเป็นดาวซัลโวในการแข่งขันถ้วยโกปาเดลเรย์ที่ 5 ประตู ยิงรวมทุกรายการ 54 ประตู จากการแข่งขัน 52 นัด[209] โดยเมสซิได้รับรางวัลรองเท้าทองคำครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว เป็นสถิติได้รับรางวัลรองเท้าทองคำมากที่สุด ถือครองร่วมกับคริสเตียโน โรนัลโด

เมสซิยังเป็นเป็นอันดับ 1 ในตารางนักเตะ Top Player ของฤดูกาล ได้รับเลือกเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดถีง 16 จากการลงเล่น 32 นัดในลีก [210][211]

ฤดูกาล 2017-18

วันที่ 5 กรกฎาคม 2017 บาร์เซโลนาได้ประกาศถึงสัญญาฉบับใหม่ของเมสซี่ ว่าตกลงรายละเอียดกันได้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนการเซ็นสัญญา โดยสัญญาฉบับใหม่นี้มีค่าฉีกสัญญาสูงถึง 300 ล้านยูโร และจะทำให้เมสซี่มีสัญญากับบาร์เซโลนายาวไปถึงปี ค.ศ. 2021 เลยทีเดียว [212]

ในฤดูกาลนี้เอร์เนสโต บัลเบร์เด กุนซือคนใหม่ของบาร์เซโลนา ได้ปรับตำแหน่งให้เมสซี่ จากการเล่นตำแหน่งปีกขวาในช่วง 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา ให้กลับมาเล่นตรงกลางในตำแหน่ง False 9 ซึ่งเป็นตำแหน่งถนัด และเป็นตำแหน่งที่เขาเคยเล่นสมัยที่เป๊บ กวาดิโอลาคุมทีมอยู่

วันที่ 7 สิงหาคม 2017 เมสซี่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 1 ของสุดยอดนักเตะในประวัติศาสตร์การแข่งขันลาลิกา สเปน[213] โดยการสำรวจและค้นคว้าจาก 'CIHEFE' (Centro de Investigaciones de Historia y Estadistica del Futbol Espanol) คือ ศูนย์ค้นคว้าประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลสเปน [214] โดยเมสซี่ซึ่งทำอันดับดีขึ้นมาเรื่อย ๆ เป็นนักเตะเพียงคนเดียวในลำดับ 1 - 15 ซึ่งยังคงค้าแข้งอยู่ในปัจจุบัน จากการจัดอันดับครั้งล่าสุดนี้เมสซี่มีคะแนนนำเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 545 คะแนน เริ่มทำคะแนนทิ้งห่าง อันดับ 2 คือ ราอุล กอนซาเลซ (528 คะแนน) และอันดับ 3 คือ เซซาร์ โรดริเกซ (524 คะแนน) โดยนักเตะที่ยังคงค้าแข้งอยู่และมีคะแนนรองลงมา คือ คริสเตียโน โรนัลโด (415 คะแนน) ซึ่งรั้งอยู่ในอันดับที่ 17 [215]

วันที่ 26 สิงหาคม 2017 เมสซี่ยิงประตูแรกของฤดูกาล ในเกมลีกที่บุกไปเยือนอลาเบส โดยเมสซี่ยิงคนเดียว 2 ประตู ช่วยให้บาร์เซโลนาเอาชนะอลาเบสไปได้ โดยประตูแรกนั้นเป็นประตูที่ 350 จาก 384 เกมในลาลิกาของเขา โดยแน่นอนว่าเมสซี่ซึ่งเป็นดาวซัลโวตลอดกาลของลาลิกาอยู่แล้ว จะต้องเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ลาลิกาที่สามารถทำได้ [216]

วันที่ 9 กันยายน 2017 เมสซี่ยิงแฮตทริกแรกของฤดูกาลได้ ในเกมลีก ดาร์บี้กาตาลา เปิดบ้านรับแอร์ราเซเด อัสปัญญ็อล ซึ่งช่วยให้บาร์เซโลนาเอาชนะไปได้อย่างสวยหรู 5-0 ประตู

ใน 3 วันถัดมา วันที่ 12 กันยายน 2017 ในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม บาร์เซโลนาเปิดบ้านรับการมาเยือนของสโมสรฟุตบอลยูเวนตุส และสามารถเอาชนะไปได้ 3-0 ประตู โดยเมสซี่ยิงได้ 2 ประตูในนัดนี้ ซึ่งเป็นการยิงผ่านมือผู้รักษาประตูมือฉมังอย่างจันลุยจี บุฟฟอน ได้เป็นครั้งแรก

วันที่ 19 กันยายน 2017 เมสซี่ทำโปกเกอร์ ยิง 4 ประตูในนัดเดียวได้ ในเกมลีก ซึ่งบาร์เซโลนาเปิดบ้านเอาชนะเอเซเด เอย์บาร์ ไปได้ 6-1 ประตู

วันที่ 1 ตุลาคม 2017 เมสซี่ได้แซงการ์เลส ปูยอล ขึ้นไปเป็นอันดับ 3 ของนักเตะที่ลงเล่นให้บาร์เซโลนามากที่สุดในประวัติศาตร์สโมสร ในเกมลีกเปิดบ้านรับอูเด ลัสปัลมัส โดยนัดนี้เมสซี่ทำได้ 2 ประตู กับอีก 1 แอสซิสต์ ช่วยให้บาร์เซโลนาเอาชนะไปได้ 3-0 ประตู เกมนี้มีขึ้นในวันลงประชามติขอแยกแคว้นกาตาลาเป็นเอกราชจากสเปน ซึ่งเกิดความวุ่นวายนอกสนามมากมาย มีคนบาดเจ็บกว่า 800 คน ทางสโมสรบาร์เซโลนาได้ขอเลื่อนวันแข่งแล้ว แต่สมาคมฟุตบอลสเปนไม่อนุญาตให้เลื่อน โดยให้เหตุผลว่า "ไม่มีเหตุผลอันควร" และถ้าบาร์เซโลนายกเลิกการแข่งขันเองจะถูกตัดคะแนน 6 คะแนน 3 คะแนนจากการถูกปรับแพ้ และอีก 3 คะแนนจากการยกเลิกการแข่งขันโดยไม่ได้รับอนุญาต สุดท้ายสโมสรบาร์เซโลนาจึงตัดสินใจให้ทำการแข่งขันกันในสนามปิด คือ แข่งขันกันโดยไม่มีแฟนบอลเข้าเชียร์ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย จากเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้บริหารของสโมสรบาร์เซโลนาหลายคนได้ประกาศลาออก เนื่องจากรับไม่ได้จากการถูกบังคับให้ทำการแข่งขันในสภาวะนี้

วันที่ 18 ตุลาคม 2017 ในเกมแชมเปียนส์ลีก นัดบาร์เซโลนาเปิดบ้านเอาชนะโอลิมเปียกอส ไป 3-1 ประตู เมสซี่ยิงฟรีคิกทำประตูที่ 100 ของเขาในการแข่งขันยูฟ่าได้ และยังทำแอสซิสต์ได้อีก 1 ประตูในนัดนี้ด้วย เมสซี่ทำประตูในการแข่งขันยูฟ่าครบ 100 ประตู จากการแข่งขันเกมยูฟ่า 122 นัด โดยเป็นประตูจากเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 97 ประตู อีก 3 ประตูมาจากการแข่งขันยูฟ่าซุปเปอร์คัพ โดยเมสซี่เป็นนักเตะคนที่ 2 ที่ทำได้ หลังจากคริสเตียโน โรนัลโดได้เคยทำไว้ก่อนแล้ว แต่เมสซี่มีสถิติต่อเกมดีกว่า เนื่องจากสามารถทำได้โดยอาศัยเกมการแข่งขันน้อยกว่าถึง 21 เกม และทำได้ในช่วงอายุน้อยกว่า [217]

วันที่ 23 ตุลาคม 2017 เมสซี่ได้รับการโหวตเป็นอันดับ 2 ในงานประกาศรางวัลนักฟตบอลยอดเยี่ยมของฟีฟ่า แต่เช่นเดียวกับปีก่อนเมสซี่ได้รับการโหวตเป็นอันดับ 1 ของกองหน้าที่ดีที่สุด ในทีมยอดเยี่ยมแห่งปี ฟีฟ่าฟิฟโปร FIFA FIFPro[218] ซึ่งมาจากการโหวตของนักเตะอาชีพทั้งหมดโหวตกันเอง โดยไม่มีคะแนนจากสื่อ ซึ่งเมสซี่ติดทีมฟิฟโปรเป็นปีที่ 11 ติดต่อกันแล้ว [219]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ลิโอเนล_เมสซิ http://www.thenational.ae/sport/football/who-knew-... http://www.afa.com.ar/3023/la-seleccion-de-todos-l... http://www.gente.com.ar/nota.php?ID=11359 http://www.lanacion.com.ar/1968952-los-ganadores-d... http://www.pagina12.com.ar/diario/deportes/8-12109... http://www.radionacional.com.ar/?p=88753 http://www.abc.net.au/news/stories/2009/12/01/2759... http://ultimosegundo.ig.com.br/esportes/seu_time/f... http://www.cbc.ca/sports/soccer/story/2008/03/05/l... http://www.fcbarcelona.cat/web/english/futbol/temp...