ประวัติ ของ วัดคุ้งตะเภา

การตั้งวัด

วัดคุ้งตะเภาเป็นวัดโบราณ ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มสร้างมาแต่สมัยใด จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในบริเวณวัด เช่น เศษกระเบื้องหลังคาตะขอดินเผาแกร่งแบบไม่เคลือบ เศษภาชนะกระเบื้องเคลือบสมัยราชวงศ์ชิง และเศษอิฐโบราณอายุราวพุทธศตวรรษที่ 22–23 ในบริเวณวัด สันนิษฐานว่าพื้นที่ตั้งวัดคุ้งตะเภาน่าจะเริ่มมีพระภิกษุจำพรรษามาตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยา ในชั้นเอกสารมีเพียงหลักฐานสืบค้นชั้นเก่าสุดระบุว่าได้รับอนุญาตให้ตั้งวัดในสมัยธนบุรี พ.ศ. 2313 อันเป็นปีที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จขึ้นมาปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง ณ เมืองสวางคบุรี พร้อมโปรดเกล้าฯ ให้จัดการการปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือใหม่ ซึ่งในคราวนั้นพระองค์ได้ประทับอยู่จัดการคณะสงฆ์หัวเมืองฝ่ายเหนือ ณ เมืองสวางคบุรี ตลอดฤดูน้ำหลาก ซึ่งวัดคุ้งตะเภาเป็นวัดเพียงแห่งเดียวในแถบย่านเมืองพิชัยและสวางคบุรี ที่ปรากฏหลักฐานการสถาปนาวัดขึ้น เมื่อคราวที่พระองค์ทรงชำระคณะสงฆ์หัวเมืองเหนือใหม่ในปีศักราชนั้น ดังปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)[22][23]

อย่างไรก็ตามจากหลักฐานตำนานของชื่อหมู่บ้านคุ้งตะเภา ทำให้ทราบว่าวัดคุ้งตะเภามีอายุมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา หากแต่เป็นวัดที่พักสงฆ์ในชุมชนขนาดเล็ก ไม่มีศาสนสถาน จึงอาจตกสำรวจการขึ้นทะเบียนของกรมการเมืองในสมัยอยุธยา หรืออาจเป็นไปได้ว่าหลักฐานได้สูญหายไปเมื่อคราวสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองแล้ว ทำให้นามวัดเพิ่งมีในทะเบียนใน พ.ศ. 2313[24] พระองค์สถาปนาวัดคุ้งตะเภา และสร้างศาลาบอกมูลฯ ขึ้นในคราวเดียวกันเพื่อให้เป็นศูนย์รวมชุมชนและเป็นที่พำนักสั่งสอนของพระสงฆ์ผู้ทรงภูมิธรรมที่ทรงอาราธนานิมนต์มาจากกรุงธนบุรี เนื่องจากความสำคัญยิ่งที่วัดคุ้งตะเภาเป็นวัดในชุมชนคนไทยดั้งเดิม ที่มีที่ตั้งอยู่เหนือสุด ท้ายพระราชอาณาเขตกรุงธนบุรีในสมัยนั้น ตามสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์มาแต่โบราณ[25]

วัดคุ้งตะเภาสร้างติดอยู่ริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก เดิมชื่อ "วัดคุ้งสำเภา" (หรือโค้งสำเภา) จากตำนานที่เชื่อกันมาว่าในสมัยก่อนได้เคยมีเรือสำเภาอัปปางลงในบริเวณนี้ ตั้งอยู่ในเขตตำบลท่าเสา ขึ้นกับเมืองพิไชย ต่อเมื่อผ่านเวลานานมาในสมัยธนบุรี จากตำนานหมู่บ้านกล่าวว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเปลี่ยนชื่อเป็น คุ้งตะเภา[26]

สภาพวัดในอดีต

ปรากฏหลักฐานตามประวัติกรมการศาสนาว่า ในสมัยอาณาจักรธนบุรี วัดคุ้งตะเภามีศาลาการเปรียญอยู่ริมแม่น้ำหลังหนึ่ง ใช้สำหรับบำเพ็ญกุศลสำหรับหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านในย่านนี้ ต่อมาภายหลังแม่น้ำน่านเปลี่ยนทิศทางเดินออกไปไกลจากวัดมากกว่า 1 เส้น จึงเกิดแผ่นดินงอกขึ้นมาหน้าวัดซึ่งเป็นท้องน้ำเดิม ขณะเดียวกันก็มีเกาะเกิดขึ้นหน้าวัดด้วยตรงบริเวณหน้าค่ายพระยาพิชัยดาบหักปัจจุบัน

ชาวบ้านย่านตำบลนี้อาศัยศาลาวัดคุ้งตะเภาเป็นสถานที่เล่าเรียนมาโดยตลอด มีพระสงฆ์เป็นอาจารย์บอกหนังสือมูลทั้งจินดามณีและมูลบทบรรพกิจรวมไปถึงเลขคณิตต่าง ๆ วัดแห่งนี้มีความเจริญมาโดยลำดับในสมัยรัตนโกสินทร์ จนในสมัยรัชกาลที่ 5 วัดคุ้งตะเภาได้กลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาและปกครองของคณะสงฆ์ในแถบนี้ โดยปรากฏหลักฐานว่า ใน พ.ศ. 2431 เจ้าอธิการจัน เจ้าอาวาสวัดในสมัยนั้น ได้รับพระราชทานตาลปัตรพุดตาลทองแผ่ลวด ตั้งสมณศักดิ์ในราชทินนามที่ พระครูสวางคมุนี ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่เมืองฝาง พร้อมได้รับพระราชทานพัดรองโหมด ย่ามสักลาด บาตรถุงสักลาด กาน้ำถ้วยกระโถนถ้วยร่มรองเท้า เป็นเครื่องยศประกอบตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่เมืองฝางอีกด้วย[27] ในปี พ.ศ. 2442 ปรากฏรายงานการศึกษามณฑลพิศณุโลก ได้ระบุว่า วัดคุ้งตะเภา มีพระ 8 รูป ศิษย์วัด 6 คน มีเจ้าอธิการรอดเป็นเจ้าอาวาส และผู้ใหญ่ชื่น เป็นมรรคนายก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของวัดคุ้งตะเภาในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี[28]

จนต่อมาในปี พ.ศ. 2465 มีการจัดการศึกษาใหม่ วัดคุ้งตะเภาจึงมีครูเป็นฆราวาสสอนแทน เรียกว่าโรงเรียนวัดคุ้งตะเภา แต่ยังตั้งอยู่ในศาลาการเปรียญวัดคุ้งตะเภาดุจเดิม โดยแบ่งเป็น 4 ชั้น ตั้งแต่ประถม 1 ถึง 4 ซึ่งโรงเรียนวัดคุ้งตะเภานี้นับเป็นโรงเรียนแห่งแรกของตำบลคุ้งตะเภาและแถบย่านแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก

ในช่วงหลังมา แม่น้ำน่านในฤดูน้ำหลากได้ขึ้นกัดเซาะตลิ่งวัดพังจนเกือบถึงตัวศาลาการเปรียญ ชาวบ้านเกรงศาลาจะได้รับความเสียหาย จึงปรึกษากันย้ายศาลาการเปรียญเมื่อปี พ.ศ. 2472 อย่างไรก็ดี ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แม่น้ำน่านได้เปลี่ยนทิศทางจากวัดไปมากแล้ว ทำให้วัดในช่วงหลังตั้งอยู่ไกลจากแม่น้ำ ความในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคราวเสด็จประพาสมณฑลฝ่ายเหนือ ทำให้ทราบว่าในสมัยนั้นหาดหน้าวัดได้งอกจากตลิ่งแม่น้ำเดิมไปมากแล้ว และคงมีสะพานไม้ทอดยาวลงไปหาแม่น้ำน่านมาก่อนหน้านั้น โดยในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2444 พระองค์ทรงสังเกตว่าวัดคุ้งตะเภาแปลกกว่าวัดอื่นตรงที่มีสะพานไม้ทอดยาวมาหาแม่น้ำน่าน ทรงมีพระบรมราชาธิบายว่า[29]

...แลเห็นพุ่มไม้วัดแลบ้านลิบ ๆ แต่ในการที่จะมาต้อนรับนั้น ต้องมาตกแต่งซุ้มแลปรำบนหาดซึ่งไม่มีต้นไม้แต่สักต้นเดียว แดดกำลังร้อนต้องมาจากบ้านไกลเปนหนักเปนหนา วัด (คุ้งตะเภา) ที่ตั้งอยู่บนตลิ่งหลังหาดต้องทำตพานยาวนับด้วยเส้น ลงมาจนถึงหาดที่ริมน้ำ แต่ถ้าน่าแล้งเช่นนี้ ตพานนั้นก็อยู่บนที่แห้ง แลยังซ้ำห่างน้ำประมาณเส้น ๑ หรือ ๑๕ วา ถ้าจะลงเรือยังต้องลุยน้ำลงมาอีก ๑๐ วา ๑๕ วา...

ด้วยเหตุที่แม่น้ำเปลี่ยนทิศไปไกลจากวัดในภายหลัง ทำให้แม่น้ำน่านหน้าวัดกลายเป็นที่งอก แต่ก็ยังคงสภาพเป็นตลิ่งเก่าที่กลายเป็นตลิ่งลำมาบของแม่น้ำน่านในฤดูฝน มีบุ่งน้ำขังในช่วงหน้าแล้งบ้าง พระสงฆ์และชาวบ้านคุ้งตะเภาในสมัยนั้นจึงสร้างสะพานไม้ยาวต่อจากวัดลงข้ามมาลงบุ่งคุ้งตะเภาและลงไปแม่น้ำน่านเพื่อการสัญจรและอุปโภคบริโภค

สภาพวัดในปัจจุบัน

ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 หมู่บ้านคุ้งตะเภาประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้บ้านเรือนได้รับความเสียหายมาก ประกอบกับเส้นทางคมนาคมโดยแม่น้ำน่านได้ถูกลดความสำคัญในฐานะเส้นทางคมนาคมค้าขายสำคัญของภูมิภาคลงมาก่อนหน้านั้นแล้ว จาการตัดเส้นทางรถไฟผ่านเมืองอุตรดิตถ์ใน พ.ศ. 2459 ทำให้ชาวบ้านคุ้งตะเภาย้ายที่ตั้งหมู่บ้านขึ้นมาตั้งในที่ดอนจนถึงปัจจุบัน

และหลังจากการตัดเส้นทางรถไฟผ่านเมืองอุตรดิตถ์ที่ทำให้แหล่งชุมนุมการค้าย่านท่าเสาและท่าอิฐหมดความสำคัญลงดังกล่าว ได้มาประกอบกับการที่ทางราชการสร้างเขื่อนสิริกิติ์ปิดกั้นแม่น้ำน่านในเขตอำเภอท่าปลาในปี พ.ศ. 2510 ทำให้การคมนาคมทางน้ำของชาวบ้านคุ้งตะเภายุติลงสิ้นเชิง ชาวบ้านและพระสงฆ์จึงต้องเปลี่ยนมาใช้เส้นทางคมนาคมทางบกเป็นหลัก โดยใช้เส้นทางเลียบแม่น้ำน่านที่ตั้งอยู่หน้าศาลาการเปรียญหลังเก่า (หลังที่ย้ายจากริมน้ำขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ. 2472) เป็นเส้นทางสัญจร ปัจจุบันหลังจากมีการตัดทางหลวงแผ่นดินหมายเลขที่ 11 ผ่านหลังวัดคุ้งตะเภาในประมาณปี พ.ศ. 2522[30] ทำให้บริเวณหน้าวัดคุ้งตะเภาที่ใช้เส้นทางสัญจรมาตั้งแต่สมัยอยุธยาต้องเปลี่ยนมาเป็นหลังวัด และพื้นที่ด้านหลังวัดในสมัยก่อนกลายมาเป็นหน้าวัดดังในปัจจุบัน

ภาพพาโนรามาวัดคุ้งตะเภาใน พ.ศ. 2552

แหล่งที่มา

WikiPedia: วัดคุ้งตะเภา http://maps.google.com/maps?ll=17.653441,100.14012... http://www.lokwannee.com/web2013/?p=179247 http://www.multimap.com/map/browse.cgi?lat=17.6534... http://www.scribd.com/doc/36406495/ http://www.terraserver.com/imagery/image_gx.asp?cp... http://www.globalguide.org?lat=17.653441&long=100.... http://www.mahathera.org/detail.php?module=news&id... http://www.wikimapia.org/maps?ll=17.653441,100.140... //tools.wmflabs.org/geohack/geohack.php?pagename=%... http://www.dailynews.co.th/education/351637