สาธารณรัฐประชาธิปไตยโซมาลี (จนถึง 1991)กลุ่มกบฏพันธมิตร:กลุ่มกบฏติดอาวุธ:
คองเกรสสหรัฐโซมาเลีย สหประชาชาติ Islamic Courts Union Oromo Liberation Front[1] Alliance for the Re-liberation of Somaliaไฟล์:Somalia Islamic Courts Flag.svg Al-Shabaab Ras Kamboni Brigades Jabhatul Islamiya Muaskar Anole รัฐบาลกลางเปลี่ยนผ่าน สหรัฐ เอธิโอเปีย AMISOMAllied armed groups:
Al-Qaeda Foreign Mujahedeenไฟล์:Flag of the Islamic Courts Union crossed swords.svg Hizbul Islam รัฐบาลกลางโซมาเลีย AMISOM สหรัฐ[2]สงครามกลางเมืองโซมาเลีย เป็นสงครามกลางเมืองที่กำลังดำเนินอยู่ใน
ประเทศโซมาเลีย ชนวนเหตุเริ่มมาจากการต่อต้านระบอบ
โมฮัมเหม็ด ไซอัด บาร์รีในช่วงทศวรรษ 1980
กองทัพโซมาเลียเริ่มสู้รบกับกลุ่มกบฏติดอาวุธต่าง ๆ
[7] รวมทั้งแนวร่วมประชาธิปไตยไถ่โซมาเลีย (Somali Salvation Democratic Front) ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
[8] ขบวนการชาติโซมาเลียในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ
[7] และ
คองเกรสสหรัฐโซมาเลียในภาคใต้
[9] ในที่สุดกลุ่มติดอาวุธต่าง ๆ ก็สามารถล้มรัฐบาลบาร์รีได้ในปี 1991
[10]จากนั้น กลุ่มแยกต่าง ๆ แย่งอิทธิพลในช่องว่างแห่งอำนาจ ซึ่งเป็นเหตุให้ความพยายามรักษาสันติภาพของสหประชาชาติที่ถูกยกเลิกในกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 เกิดสมัยการกระจายอำนาจปกครองตามมา ซึ่งมีลักษณะหวนคืนสู่กฎหมายจารีตประเพณีและศาสนาในหลายพื้นที่ ตลอดจนการสถาปนารัฐบาลเขตปกครองตนเองทางตอนเหนือของประเทศ นอกจากนี้ ยังนำให้ความเข้มข้นของการสู่รบลดลงเล็กน้อย โดย SIPRO ถอนโซมาเลียจากรายการการขัดกันด้วยอาวุธหลักในปี 1997 และ 1998ในปีเดียวกับที่โมฮัมเหม็ด ไซอัด บาร์รีถูกโค่น ดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของโซมาเลียชื่อ
โซมาลีแลนด์ ประกาศเอกราชและตั้งเป็นสาธารณรัฐโซมาลีแลนด์
[11] มีการจัดตั้งรัฐบาลและการบริหารกิจการภายในของตนเอง อย่างไรก็ตาม นานาชาติไม่ให้การรับรองสาธารณรัฐโซมาลีแลนด์ในปี 1998 ดินแดนที่อยู่ติดกันกับโซมาลีแลนด์ ประกาศจัดตั้งรัฐบาลปกครองตนเองเช่นกัน โดยใช้ชื่อว่ารัฐ
พุนต์แลนด์ของโซมาเลีย
[12] ซึ่งก็ไม่ได้การรับรองจากนานาชาติเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม พุนต์แลนด์มิได้หมายแยกตัวเป็นเอกราชเต็มรูปแบบเหมือนกับโซมาลีแลนด์ เพียงต้องการรักษาเสถียรภาพและบริหารพัฒนาในพื้นที่ พร้อมเข้าร่วมฟื้นฟูเสถียรภาพและความมั่นคงของโซมาเลียหากสามารถยุติความขัดแย้งที่มีอยู่ได้
สหประชาชาติภายใต้การนำของ
สหรัฐอเมริกาเข้าช่วยแก้ไขปัญหาความวุ่นวายในโซมาเลีย และช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสงคราม
[13][14] ในเดือนธันวาคม 1992 กองกำลังนาวิกโยธินของ
สหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยกำลังทหารนานาชาติ ดำเนินปฏิบัติการช่วยเหลือชาวโซมาเลียตามความเห็นชอบของ
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ แต่การปะทะกันระหว่างทหารสหรัฐอเมริกากับกำลังฝ่ายต่อต้านเมื่อเดือนสิงหาคม 1993 ซึ่งส่งผลให้เฮลิคอปเตอร์อเมริกันถูกยิงตก 2 ลำ และนายทหารอเมริกันเสียชีวิต 18 นาย เป็นเหตุให้สหรัฐอเมริกาตัดสินใจถอนตัวออกจากความวุ่นวายในโซมาเลียเมื่อปี 1994 หลังจากนั้นในปี 1995
สหประชาชาติก็ประกาศถอนตัวออกจากโซมาเลียเช่นกัน เนื่องจากว่าคณะทำงานให้ความช่วยเหลือของสหประชาชาติต้องบาดเจ็บล้มตายจากการดักปล้นสะดมโดยกำลังติดอาวุธฝ่ายต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก
[15] นับแต่บัดนั้นดูเหมือนประชาคมโลกจะให้ความสำคัญกับปัญหาในโซมาเลียน้อยลงกว่าเดิมมากในเดือนตุลาคม 2004 กองกำลังติดอาวุธหลายกลุ่ม รวมทั้งผู้ที่เคยร่วมรัฐบาลโมฮัมเหม็ด ไซอัด บาร์รี รวมตัวกันจัดตั้ง
รัฐบาลเปลี่ยนผ่านแห่งชาติ[16] รัฐบาลนี้ได้รับการสนับสนุนผลักดันจาก
เอธิโอเปีย เดิมรัฐบาลกลางมีศูนย์กลางดำเนินงานอยู่ที่กรุง
ไนโรบี ประเทศเคนยา ต่อมาได้ย้ายฐานที่มั่นมาอยู่ที่เมือง
ไบโดอา ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากกรุง
โมกาดิชู เมืองหลวงของโซมาเลีย ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 260 กิโลเมตร รัฐบาลกลางประกาศให้ไบโดอาเป็นศูนย์กลางบริหารราชการแผ่นดินในโซมาเลีย แม้รัฐบาลนี้จะได้รับการรับรองจาก
สหประชาชาติ และบางประเทศใน
ทวีปแอฟริกา เช่น เอธิโอเปียและเคนยา แต่ทว่ารัฐบาลนี้มีอำนาจปกครองเพียงแค่พื้นที่เล็ก ๆ ของไบโดอาเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มีศักยภาพและกองกำลังที่เข้มแข็งพอจะรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่นได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ประชาชน
ชาวโซมาเลียไม่ได้ให้การยอมรับ เนื่องจากตระหนักดีว่ารัฐบาลนี้เป็นเสมือนตัวแทนของเอธิโอเปีย ซึ่งให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังอย่างลับ ๆ
[17]กลางปี 2006 ประชาคมโลกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศ
แอฟริกาตะวันออกต่างเฝ้ามองสถานการณ์ในโซมาเลียด้วยความวิตกกังวล เนื่องจากกลุ่มกองกำลังของ
สหภาพศาลอิสลามสามารถเอาชนะกลุ่มกองกำลังติดอาวุธฝ่ายต่าง ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างลับ ๆ จากสหรัฐอเมริกาในยุทธการที่โมกาดิชูครั้งที่สอง ทำให้สหภาพศาลอิสลามมีอำนาจควบคุมเมืองหลวงได้อย่างเด็ดขาด
[18][19] อีกไม่กี่เดือนต่อมา สหภาพศาลอิสลามเริ่มขยายอำนาจไปทางใต้จนถึงเขต
คิสมาโย และตอนกลางของประเทศจนจรดชายแดนเอธิโอเปียด้านตะวันตก กลุ่มกองกำลังติดอาวุธที่กุมอำนาจในบริเวณดังกล่าวต้องยอมสยบให้สหภาพศาลอิสลามโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อมากนัก เป็นผลให้สหภาพศาลอิสลามสามารถควบคุมการปกครองได้เกินครึ่งประเทศ (ไม่รวมโซมาลีแลนด์และพุนต์แลนด์) นับเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีที่มีกลุ่มพลังอำนาจแข็งแกร่งพอจนสามารถรวมประเทศเป็นปึกแผ่นได้กว้างขวางถึงเพียงนี้ ประชาชนจึงเริ่มมีความหวังเห็นความสงบสุข ตลอดจนเสถียรภาพและความมั่นคงกลับคืนสู่ประเทศ เพราะหลังการยึดครองโมกาดิชูได้สองวัน ท่าเรือและสนามบินแห่งชาติก็เปิดให้บริการอีกครั้ง การตั้งด่านของทหารถูกยกเลิก อาวุธยุทโธปกรณ์ถูกเก็บไปจากถนน การก่อสร้างเริ่มต้นใหม่ และนักธุรกิจกลับมาทำงานได้อีก ปลายปี 2006 สหภาพศาลอิสลามประกาศใช้
กฎหมายอิสลาม[17][18] เพื่อควบคุมและจัดระเบียบทางสังคมใหม่อย่างเคร่งครัด รวมไปถึงการสั่งห้ามซื้อขายและบริโภคคอตที่ชาวโซมาเลียนิยมเคี้ยวกินกันแพร่หลาย แต่
สหประชาชาติประกาศให้เป็นพืชที่มีสารเสพติด รวมทั้งห้ามดูฟุตบอลหรือภาพยนตร์ในที่สาธารณะขณะที่ประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอธิโอเปียและสหรัฐอเมริกาพากันหวั่นเกรงว่า การบังคับใช้กฎหมายอิสลามที่เคร่งครัดนี้ สหภาพศาลอิสลามอาจนำโซมาเลียไปสู่ความเป็นรัฐอิสลามเช่น
อัฟกานิสถาน ก็เป็นได้ แต่ทว่าประชาชนชาวโซมาเลียกลับมีท่าทีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดดังกล่าว เพื่อแลกกับสันติภาพและความมั่นคงของประเทศที่ขาดหายไปนาน
[20]อย่างไรก็ตาม สันติภาพและความมั่นคงของโซมาเลียก็คงอยู่อีกไม่นาน เมื่อสหภาพศาลอิสลามได้ขยายอิทธิพลเข้าไปใกล้เมืองไบโดกา
[21] ฐานที่มั่นเพียงแห่งเดียวของรัฐบาลเฉพาะกาลแห่งชาติ และเริ่มทำการโจมตีไบโดกาเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2006 เอธิโอเปียได้ส่งฝูงบินเข้าไปช่วยรัฐบาลกลางปกป้องไบโดกาทันที นับเป็นครั้งแรกที่เอธิโอเปียให้การสนับสนุนด้านกำลังทหารแก่รัฐบาลกลางอย่างเปิดเผยต่อประชาคมโลก หลังจากนั้นกองกำลังเอธิโอเปียก็เริ่มเปิดฉากโจมตีฐานที่มั่นของสหภาพศาลอิสลามทางตอนใต้ของประเทศและขยายขึ้นไปยังกรุงโมกาดิชู
[22] สถานการณ์ในโซมาเลียจึงกลับคืนสู่การนองเลือดอีกครั้ง และด้วยความสนับสนุนทางการทหารของสหรัฐอเมริกา จึงทำให้กองทหารเอธิโอเปียและกองกำลังของรัฐบาลกลาง สามารถเข้ายึดครองกรุงโมกาดิชูได้สำเร็จ ส่วนสหภาพศาลอิสลามก็แตกหนีไปตามแนวชายแดน
[20]