สนธิสัญญาสันติภาพและผลลัพธ์ที่ตามมา ของ สงครามบาร์บารีครั้งที่หนึ่ง

ความกังวลของยุสซิฟ คารามันลีจากการปิดล้อมท่าเรือและการบุกปล้นเรือ อีกทั้งภัยคุกคามต่อตำแหน่งผู้ปกครองทริโปลีของตนเอง เมื่อสหรัฐฯ บุกประชิดเข้ามาเรื่อยๆ โดยมีแผนที่จะให้ฮาเม็ต คารามันลี พี่ชายที่ตัวเองปลดออกจากตำแหน่งผู้ปกครองแล้วเนรเทศออกไป เข้ามาแทนที่ ทำให้ยุสซิฟจำต้องยินยอมลงนามในสนธิสัญญายุติความเป็นศัตรูต่อกันในวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1805 โดยถึงแม้ว่ารัฐสภาจะยังไม่เห็นชอบต่อสนธิสัญญาดังกล่าวจนกระทั่งปีต่อมา แต่ก็ทำให้สงครามบาร์บารีครั้งที่หนึ่งสิ้นสุดลง

มาตราที่ 2 ของสนธิสัญญาระบุว่า:

ปาชาแห่งทริโปลีจะนำตัวประกันชาวอเมริกันออกมาจากทริโปลี รวมถึงทรัพย์สมบัติทุกอย่างคืนให้กับอเมริกา และราษฎรในปาชาแห่งทริโปลีที่อยู่ในอำนาจของสหรัฐอเมริกาจะถูกส่งคืนให้กับพระองค์ และในเมื่อปาชาแห่งทริโปลีครอบครองชาวอเมริกันจำนวนสามร้อยคน ในขณะที่อเมริกามีอำนาจในราษฎรทริโปลิโนประมาณหนึ่งร้อยคน ปาชาแห่งทริโปลีจึงต้องรับเงินจำนวนหกหมื่นดอลลาร์จากสหรัฐอเมริกา เนื่องด้วยผลต่างระหว่างจำนวนเชลยดดังที่ระบุไว้ข้างต้น

รัฐบาลของเจฟเฟอร์สันจึงจ่ายเงินจำนวน 60,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อไถ่ตัวเชลยชาวอเมริกัน โดยระบุถึงข้อแตกต่างระหว่างการออกบรรณาการและการจ่ายค่าไถ่ ในเวลานั้นส่วนหนึ่งเห็นว่าการไถ่ตัวกะลาสีอเมริกันออกจากการเป็นทาสเป็นการต่อรองที่ยุติธรรมดีแล้ว อย่างไรก็ตามวิลเลียม อีตันเห็นว่าความพยายามของเขาสูญเปล่า ภายใต้การเจรจาของโทไบอัส เลียร์ นักการทูตจากกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้ทั้งนั้น อีตันยังเชื่อว่าศักดิ์ศรีของสหรัฐฯ นั้นเสียไปเมื่อรัฐบาลไม่รักษาสัญญาที่ให้กับฮาเม็ต คารามันลี ไว้ว่าจะคืนตำแหน่งผู้ปกครองทริโปลีให้ แต่ความไม่พอใจของอีตันไม่ได้รับการสนใจเมื่อความสนใจในเวลานั้นคือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่กำลังตึงเครียด และจะนำไปสู่สงครามปี 1812 ในที่สุด

สงครามบาร์บารีครั้งที่หนึ่งถือเป็นโอกาสให้สหรัฐอเมริกาได้แสดงศักยภาพทางทหารเป็นครั้งแรก เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าอเมริกาสามารถทำสงครามไกลบ้านได้ และทำให้เห็นว่าทหารอเมริกันสามารถร่วมมือร่วมใจได้ในฐานะชาวอเมริกัน มิใช่ในฐานะชาวจอร์เจียหรือชาวนิวยอร์ก สงครามครั้งนี้ทำให้กองทัพเรือและนาวิกโยธินสหรัฐฯ กลายเป็นส่วนสำคัญในรัฐบาลอเมริกันและประวัติศาสตร์อเมริกันอย่างถาวร นอกจากนี้ดีคาเทอร์กลายเป็นวีรบุรุษสงครามคนแรกตั้งแต่สงครามปฏิวัติของชาวอเมริกันสิ้นสุดลง เมื่อเขาเดินทางกลับมายังประเทศ

อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1807 อัลเจียร์สกลับมายึดเรืออเมริกัน และยึดจับลูกเรือเป็นตัวประกันอีกครั้ง แต่เนื่องจากในขณะนั้นกำลังจะเกิดสงครามปี 1812 ขึ้น ทำให้สหรัฐฯ ไม่สามารถตอบโต้ได้จนกระทั่ง ค.ศ. 1815 ในสงครามบาร์บารีครั้งที่สอง

ใกล้เคียง

สงครามโลกครั้งที่สอง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สงครามเวียดนาม สงครามกลางเมืองอเมริกา สงครามแปซิฟิก สงครามเกาหลี สงครามอ่าว สงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง สงครามครูเสด สงครามกัมพูชา–เวียดนาม