สงครามไซเบอร์ (
อังกฤษ: Cyberwarfare) เป็นคำที่นิยามขึ้นมาโดย ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบความปลอดภัยของรัฐบาลที่ชื่อ
ริชาร์ด เอ. คลาร์ก ในหนังสือที่ชื่อ Cyber War (พฤษภาคม 2010) โดยนิยามว่า "เป็นการกระทำของรัฐ-ชาติ เพื่อแทรกซึมไปยังระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่าย มีจุดประสงค์เพื่อทำลายหรือสร้างความแตกแยก"
[1] Economist อธิบายไว้ว่า "การกำเนิดสงครามอย่างที่ 5"
[2] และ
วิลเลียม เจ. ลิน รองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า "โดยหลักการแล้ว
เพนตากอนได้ยอมรับอย่างเป็นทางการแล้วว่า เป็นเหตุให้เกิด
สงคราม ที่กลายเป็นเรื่องอันตรายต่อการปฏิบัติการทหาร ทั้งภาคพื้นดิน อากาศ ทะเล และทางอากาศ"
[3]ในปี ค.ศ. 2009 ประธานาธิบดี
บารัก โอบามา ประกาศว่า ระบบพื้นฐานดิจิตอลของสหรัฐอเมริกา "เป็นสินทรัพย์ยุทธศาสตร์ของชาติ" และในเดือนพฤษภาคม 2010 เพนตากอน ได้จัดตั้งกองบัญชาการไซเบอร์ (Cyber Command) นำโดยนายพล คีท บี. อเล็กซานเดอร์ ผู้บริหารของ
สภาความมั่งคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกาิเพื่อป้องกันเครือข่ายทหารอเมริกัน และจู่โจมระบบของประเทศอื่น สหราชอาณาจักรก็ได้ก่อตั้งการรักษาความปลอดภัยในไซเบอร์ และศูนย์ปฏิบัติการ ตั้งอยู่ใน
สำนักงานใหญ่คมนาคมของรัฐบาลอังกฤษอย่างไรก็ตาม ในสหรัฐอเมริกา กองบัญชาการไซเบอร์ (Cyber Command) ตั้งขึ้นเพียงต้องการป้องการระบบทางทหารเนื่องด้วยรัฐบาลและระบบพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เป็นความรับผิดชอบหลัก ตามลำดับของกระทรวงความมั่นคงภายในและบริษัทเอกชน
[2]The Economist เขียนว่า จีนมีแผนที่จะ "เป็นเจ้าแห่งสงครามสารสนเทศ ในกลางศตวรรษที่ 21" พวกเขายังเขียนว่า ประเทศอื่นกำลังจัดการอย่างเดียวกัน ในสงครามทางอินเทอร์เน็ต อาทิ
รัสเซีย อิสราเอล เกาหลีเหนือ นอกจากนั้นอิหร่านยังอ้างว่าจะเป็นกองทัพไซเบอร์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก
[2] เจมส์ กอสเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัยรัฐบาล กังวลว่า สหรัฐอเมริกา ขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัยคอมพิวเตอร์อย่างมาก ประมาณว่ามี 1,000 คนที่ผ่านคุณสมบัติในประเทศ ในทุกวันนี้แต่พวกเขาต้องการผู้เชี่ยวชาญ 20,000 ถึง 30,000 คน
[4]