ประวัติ ของ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์

การก่อตั้งและทัศนคติ

...มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์เชิงอุตสาหกรรมที่อำนวยความก้าวหน้า การพัฒนา และการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ โดยเชื่อมต่อกับศิลปะ เกษตรกรรม การผลิต และพาณิชย์

– รัฐบัญญัติจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ขึ้น
รัฐบัญญัติปี ค.ศ. 1861 หมวด 183
ภาพสเตริโอกราฟแสดงสตูดิโอวาดภาพสถาปัตยกรรม - ภาพถ่ายในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ของเอ็ดวาร์ด แอลเล็นอาคารรอเจอส์ดั้งเดิม อยู่ในย่านแบล็กเบย์ เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ - ภาพถ่ายในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ของเอ็ดวาร์ด แอลเล็น

ในปี ค.ศ. 1859 มีการเสนอต่อรัฐสภาของรัฐแมสซาชูเซตส์ที่จะใช้พื้นที่ที่ถมเต็มขึ้นใหม่ ๆ ในย่านแบล็กเบย์ (Black Bay) ในเมืองบอสตัน สำหรับโรงเรียน (Conservatory) เพื่อศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ แต่ข้อเสนอไม่ผ่านอนุมัติ[15][16] แต่เพราะฎีกาที่เสนอต่อมาโดยศาสตราจารย์วิลเลียมส์ บาร์ตัน รอเจอส์ กฎหมายเพื่อสถาปนาสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ขึ้น ก็ผ่านการอนุมัติจากผู้ว่าการรัฐแมสซาชูเซตส์ จอห์น แอนดรู ในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1861 (พ.ศ. 2404)[17]

ศ.รอเจอส์ผู้มาจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ต้องการก่อตั้งสถาบันเพื่อเตรียมพร้อมกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่กำลังเป็นไปอย่างรวดเร็ว[18][19] เขาไม่ได้ประสงค์จะก่อตั้งสถาบันการศึกษาเชิงวิชาชีพ แต่ต้องการที่จะผสมผสานการศึกษารวมทั้งวิชาชีพและการศึกษาเสรี (liberal education)[20] โดยเขียนบันทึกไว้ว่า

ผมคิดว่า จุดมุ่งหมายที่แท้จริงและเป็นไปได้จริง ๆ ของโรงเรียนโพลีเทคนิคก็คือ การสอนหลักการวิทยาศาสตร์ที่เป็นฐานและเป็นคำอธิบาย ของปรากฏการณ์ธรรมชาติและของการจัดแจงปรากฏการณ์ธรรมชาติ พร้อมกับการสอนวิชาเป็นแนวสำรวจอย่างเป็นระบบอย่างเต็มพิกัด ซึ่งกระบวนการและแนวการปฏิบัติการที่สำคัญ ที่สัมพันธ์กับกฎทางกายภาพของธรรมชาติเหล่านั้น ไม่ใช่เป็นการสอนรายละเอียดทุกอย่างและการจัดแจงที่เป็นไปได้ทุกอย่างของปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่จะ (ศึกษาอย่างเต็มที่) ได้ก็ในประสบการณ์จริงเท่านั้น[21]

แผนการของ ศ.รอเจอส์ เป็นความคิดสะท้อนรูปแบบมหาวิทยาลัยวิจัยของคนเยอรมันในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20 ที่เน้นทั้งคณะวิชาการต่าง ๆ ที่ทำงานวิจัยได้อย่างเป็นอิสระ และที่เน้นทั้งการเรียนการสอนในรูปแบบของการสัมมนาและการปฏิบัติจริงในห้องแล็บ[22][23]

การพัฒนาในยุคแรก

แผนที่ปี ค.ศ. 1905 ของวิทยาเขตในเมืองบอสตัน

2 วันหลังจากที่กฎหมายก่อตั้งสถาบันได้รับอนุมัติ การสู้รบครั้งแรกของสงครามกลางเมืองอเมริกันก็เกิดขึ้น หลังจากความเนิ่นช้าเพราะเหตุแห่งสงครามเป็นเวลาหลายปี การสอนชั้นแรก ๆ จึงได้เกิดขึ้นในอาคาร Mercantile Building ในเมืองบอสตันในปี ค.ศ. 1865 (พ.ศ. 2408)[24] สถาบันใหม่นี้มีเป้าหมายที่เป็นไปตามจุดประสงค์ของกฎหมายรัฐบาลกลางชื่อว่า Morrill Land-Grant Colleges Act (ค.ศ. 1862) ที่ให้ทุนแก่สถาบันต่าง ๆ เพื่อ "ส่งเสริมการศึกษาเสรีที่ประยุกต์ใช้ได้ทางอุตสาหกรรม" และเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับผลประโยชน์มาจากการให้ที่ดินของรัฐบาลกลาง (เป็น land-grant school)[25][lower-alpha 2] ในปี ค.ศ. 1866 มีการใช้เงินที่ได้จากการขายที่ดินเพื่อสร้างอาคารใหม่ที่ย่านแบล็กเบย์ ในเมืองบอสตัน[26]

MIT เคยมีชื่อไม่เป็นทางการว่า "บอสตันเทค" (Boston Tech) สถาบันได้ใช้รูปแบบการสอนในมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคของชาวยุโรป และได้เน้นการศึกษาในห้องแล็บมาตั้งแต่ยุคเบื้องต้น[27] หลังจากช่วงเวลาหนึ่งที่มีสถานะการเงินที่ไม่มั่นคง สถาบันก็เริ่มเจริญเติบโตขึ้นในช่วง 2 ทศวรรษสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษที่ 19 ภายใต้การดูแลของอธิการบดีฟรานซิส วอร์กเกอร์[28] ได้เริ่มหลักสูตรการศึกษาในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมเคมี วิศวกรรมทางทะเล (marine engineering) วิศวกรรมสุขาภิบาล (sanitary engineering)[29][30] และได้สร้างอาคารใหม่ ๆ ขึ้น โดยมีจำนวนนักศึกษาเพิ่มขึ้นเกินกว่าพัน[28]

หลังจากนั้น หลักสูตรของสถาบันก็ค่อย ๆ กลายไปมุ่งด้านอาชีพเพิ่มขึ้น โดยเน้นวิทยาศาสตร์เชิงทฤษฎีน้อยลง[31] เพราะผู้นำสถาบันยังต้องเอาใจใส่ปัญหาการเงินที่มีอยู่เรื่อย ๆ และในช่วงยุคสมัยของ บอสตันเทค นี้ ทั้งคณะวิชาการต่าง ๆ และทั้งศิษย์เก่าก็ได้คว่ำบาตรความพยายามของอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ชาลส์ อีเลียต (ผู้เป็นอดีตศาสตราจารย์ของสถาบันด้วย) ที่จะรวม MIT เข้ากับโรงเรียนวิทยาศาสตร์ลอว์เร็นซ์ (Lawrence Scientific School) ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด[32]ซึ่งเป็นความพยายามอย่างน้อย 6 ครั้ง[33]แม้ว่าสถานที่ในย่านแบล็กเบย์จะคับแคบ แต่สถาบันก็ไม่มีกำลังทางการเงินที่จะขยายอุปกรณ์อาคาร จึงต้องสืบหาทั้งวิทยาเขตและเงินสนับสนุนใหม่ ๆ อย่างไร้ความหวังจนในที่สุด คณะทรัสตีของสถาบันก็ได้อนุมัติข้อตกลงที่จะรวมสถาบันเข้ากับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แม้ว่าทั้งคณะอาจารย์ นักศึกษา และศิษย์เก่าจะคัดค้านอย่างรุนแรง[33]แต่ต่อมาในปี ค.ศ. 1917 การตัดสินของศาลสูงสุดของรัฐแมสซาชูเซตส์ ก็ได้ยุติแผนการที่จะรวมสถาบันทั้งสองเข้าด้วยกัน[33]

แผ่นจารึกในอาคาร 6 เป็นอนุสรณ์แก่นายจอร์จ อีสต์แมน ผู้ก่อตั้งบริษัทอีสต์แมนโกดัก ผู้ช่วย MIT ให้สามารถดำรงความเป็นอิสระไว้ได้ โดยช่วยในนามของ "นายสมิธ"

ในปี ค.ศ. 1916 สถาบันได้ย้ายไปที่กว้างแห่งใหม่ซึ่งเป็นบริเวณที่ยาว 1.6 กม. ทางฝั่งเมืองเคมบริดจ์ของแม่น้ำชาลส์ เป็นที่ดินที่ส่วนหนึ่งเป็นที่ถมขึ้น[34][35] การก่อสร้างวิทยาเขตแบบ "เทคโนโลยีใหม่" โดยใช้สถาปัตยกรรมฟื้นฟูคลาสสิกออกแบบโดยวิลเลียม บอสเวอร์ธ (ผู้ได้รับการศึกษาโดยส่วนหนึ่งที่สถาบัน) ก็เริ่มขึ้น[36] โดยได้ทุนส่วนมากมาจากผู้บริจาคลึกลับนิรนามที่รู้จักโดยชื่อว่า "นายสมิธ" ผู้ที่ภายใน 8 ปีหลังจากการมอบเงินบริจาคงวดแรก ได้เปิดเผยว่าคือนักอุตสาหกรรมจอร์จ อีสต์แมนของเมืองรอเชสเตอร์ รัฐนิวยอร์ก ผู้ประดิษฐ์วิธีการผลิตฟิลม์ถ่ายภาพและการล้างฟิลม์ และได้ก่อตั้งบริษัทอีสต์แมนโกดักขึ้น คือในช่วงปี ค.ศ. 1912-1920 นายอีสต์แมนได้บริจาคเงินสดและหุ้นของบริษัทเป็นมูลค่ารวม 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่สถาบัน (เท่ากับเงินในปี ค.ศ. 2015 เป็น 236 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8,000 ล้านบาท)[37]

การปรับปรุงหลักสูตรการเรียน

ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930 อธิการบดีคาร์ล คอมป์ตัน และรองอธิการบดีแวเนวาร์ บุช เริ่มเน้นความสำคัญของวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐานเช่นฟิสิกส์และเคมี และลดระดับการเรียนภาคปฏิบัติในการอาชีพที่ต้องทำในแล็บและในสตูดิโอวาดภาพลง[38] การปรับปรุงของอธิการบดีคอมป์ตัน "เสริมสร้างความมั่นใจในสมรรถภาพของสถาบันในความเป็นผู้นำทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์"[39] และโดยที่ไม่เหมือนกลุ่มมหาวิทยาลัยไอวีลีก (มหาวิทยาลัยเก่าแก่มีชื่อเสียงมีเงินทุนมากของสหรัฐ) MIT มีเป้าหมายเป็นนักศึกษาในกลุ่มชนชั้นกลางมากกว่า และต้องอาศัยค่าเล่าเรียนมากกว่าอาศัยกองทุนสะสมทรัพย์ (endowment) หรือเงินบริจาค (grant)[40] MIT ได้รับเลือกเป็นสมาชิกของสมาคมมหาวิทยาลัยอเมริกัน ในปี ค.ศ. 1934[41] ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ความกว้างขวางและคุณภาพของโปรแกรมงานวิจัยและการศึกษาของสถาบัน

แต่แม้จะได้ปรับปรุงหลักสูตรแล้ว ในปี ค.ศ. 1949 คณะกรรมการของ ศ.ลิวอิสก็ยังบ่นในรายงานการศึกษาที่ MIT ว่า "ชนทั้งหลายเห็นสถาบันว่าเป็นเพียงโรงเรียนฝึกอาชีพ" ซึ่งเป็นความรู้สึก "ที่ไม่ค่อยมีเหตุผล" ที่คณะกรรมการต้องการที่จะเปลี่ยน คณะกรรมการได้สำรวจหลักสูตรการศึกษาระดับปริญญาตรีอย่างละเอียดละออ แล้วแนะนำหลักสูตรการศึกษาที่กว้างขวางมากยิ่งขึ้น และเตือนถึงการไม่ควรปล่อยให้งานวิจัยทางวิศวกรรมและงานวิจัยที่รัฐบาลสนับสนุน ดึงเอาทรัพยากรไปจากคณะวิทยาศาสตร์และคณะมนุษยศาสตร์[42][43]

ในปี ค.ศ. 1950 โรงเรียนมนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ และสังคมศาสตร์ (MIT School of Humanities, Arts, and Social Sciences หรือ HASS) และโรงเรียนการบริหารสโลน (MIT Sloan School of Management) ก็เกิดการจัดตั้งขึ้น แข่งขันกับโรงเรียนวิทยาศาสตร์ (MIT School of Science) และโรงเรียนวิศวกรรมศาสตร์ (MIT School of Engineering) ที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ดังนั้น คณะการศึกษาในสาขาเศรษฐศาสตร์ การบริหาร รัฐศาสตร์ และภาษาศาสตร์ ที่ก่อนหน้านี้ไม่สำคัญ จึงได้เจริญขึ้นเป็นคณะที่มีบทบาทด้วยกลยุธที่ดึงดูดศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงมาที่คณะ และจัดตั้งหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาที่แข่งกับมหาวิทยาลัยอื่นได้[44][45]โรงเรียนมนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ยังได้โอกาสพัฒนาขึ้นในเวลาต่อ ๆ มา ในสมัยที่สืบต่อกันของผู้นำที่เห็นความสำคัญของวิชาการทางสังคมคืออธิการบดีเฮาวาร์ด จอห์นสัน และอธิการบดีเจโรม ไวสเนอร์ ในระหว่างช่วงปี ค.ศ. 1966-1980[46]

งานวิจัยทางการทหาร

MIT มีส่วนร่วมในงานวิจัยทางทหารของรัฐบาลกลางที่เพิ่มขึ้นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1941 รองอธิการบดีแวเนวาร์ บุช ได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าของสำนักงานการวิจัยและการพัฒนาวิทยาศาสตร์ (Office of Scientific Research and Development) ของรัฐบาลกลาง และได้ให้เงินสนับสนุนงานวิจัยกับมหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งรวมทั้ง MIT[47] ดังนั้น วิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ทั่วประเทศจึงได้มารวมตัวกันที่แล็บรังสี (Radiation Laboratory) ที่ตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1940 เพื่อช่วยประเทศอังกฤษพัฒนาระบบเรดาร์ งานที่ทำในช่วงนั้นมีอิทธิพลต่อทั้งสงครามต่อทั้งงานวิจัยเกี่ยวกับเรดาร์ต่อ ๆ มา[48] โปรเจ็กต์ทางทหารอื่น ๆ รวมทั้ง

  • ระบบเล็งปืน ระบบเล็งการทิ้งระเบิด และการนำทางอาศัยความเฉื่อย ที่อาศัยทั้งไจโรสโคปและระบบควบคุมที่ซับซ้อนอื่น ๆ ใต้การดำเนินงานของแล็บชาลส์สตาร์กเดรปเปอร์ (Charles Stark Draper Laboratory)[49][50]
  • การพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์แบบดิจิตัลสำหรับเครื่องจำลองการบินในโปรเจ็กต์ Whirlwind[51]
  • การถ่ายรูปความเร็วสูงเพื่อใช้ในเครื่องบินที่บินในระดับสูง ภายใต้การดูแลของ ศ.แฮโรล์ด เอ็ดเกอร์ตัน[52][53]

ก่อนสงครามโลกจะยุติลง MIT ได้กลายเป็นสถาบันเพื่องานวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ (ซึ่งทำให้รองอธิการบดีบุชได้รับคำติเตียน)[47] มีบุคคลากรเกือบ 4,000 คนในแล็บรังสีแห่งเดียว[48] และได้รับเงินกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,320 ล้านดอลลาร์สหรัฐเทียบกับค่าเงินในปี ค.ศ. 2015) ก่อนจะถึงปี ค.ศ. 1946[39] แม้จะสุดสิ้นสงครามแล้ว โปรเจ็กต์ทางการทหารก็ยังได้ดำเนินต่อไป งานวิจัยหลังสงครามที่รัฐบาลสนับสนุนรวมทั้ง ระบบป้องกันทางอากาศ (Semi Automatic Ground Environment) ระบบนำทางเพื่อขีปนาวุธ และโครงการอะพอลโล (ที่ส่งมนุษย์ขึ้นไปในอวกาศรวมทั้งดวงจันทร์)[54]

...สถาบันการศึกษาชนิดพิเศษที่อาจนิยามได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีแก่นเป็นสาขาวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และศิลปศาสตร์ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีเป้าหมายจำกัด แต่ไม่จำกัดความกว้างขวางและความลึกซึ้งเพื่อจะเข้าถึงเป้าหมายเหล่านั้น

– อธิการบดีเจมส์ คิลเลียน

กิจกรรมเหล่านี้มีอิทธิพลต่อสถาบันอย่างลึกซึ้ง รายงานปี ค.ศ. 1949 บันทึกความไม่มี "การลดความเร็วของวิถีชีวิตที่สถาบัน" แม้สถานการณ์บ้านเมืองจะกลับไปสู่สันติภาพแล้ว และกล่าวถึงอย่างอาลัยซึ่ง "ความสงบเงียบของสถาบันที่มีในช่วงก่อนสงคราม" แต่ก็ยอมรับถึงการสนับสนุนที่สำคัญจากงานวิจัยทางการทหาร ต่อการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่สำคัญขึ้น และต่อการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของบุคคลากรและอุปกรณ์อาคารเพื่ออำนวยความสะดวก[55]

คณะการศึกษาได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาได้เพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่าในสมัยของ ศ.คาร์ล คอมป์ตัน ผู้เป็นอธิการบดี (president) ในระหว่างปี ค.ศ. 1930-1948 ของเจมส์ คิลเลียน ผู้เป็นอธิการบดี (president) ในปี ค.ศ. 1948-1957 และของจูเลียส สแตร็ทตัน ผู้เป็นอธิการบดี (chancellor) ในปี ค.ศ. 1952-1957 ผู้ได้เปลี่ยนแปลงความเป็นไปในมหาวิทยาลัยด้วยยุทธวิธีสร้างสถาบัน

เมื่อถึงคริสต์ทศวรรษ 1950 MIT ไม่ได้รับเพียงการสนับสนุนจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ทำงานร่วมกันมาแล้วกว่า 3 ทศวรรษแค่กลุ่มเดียวอีกต่อไป แต่ได้สร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ กับผู้มีอุปการะ องค์กรการกุศล และองค์กรรัฐบาลกลางอื่น ๆ[56]

ในปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970 ทั้งนักศึกษาและบุคคลากรในสถาบันได้ทำการประท้วงทั้งสงครามเวียดนามทั้งงานวิจัยของ MIT เกี่ยวกับการทหาร[57][58] องค์กรสหภาพนักวิทยาศาสตร์ผู้ห่วงใย (Union of Concerned Scientists) ได้รับการจัดตั้งขึ้นในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1969 ในการประชุมระหว่างบุคคลากรสถาบันและนักศึกษา ที่ต้องการเปลี่ยนแนวทางงานวิจัยที่เน้นการทหารไปยังปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมแทน[59] ในที่สุด MIT ก็แยกออกจากแล็บชาลส์สตาร์กเดรปเปอร์ (ที่ทำงานวิจัยทางการทหาร) และย้ายงานวิจัยลับทางทหารทั้งหมดจากมหาวิทยาลัยไปที่แล็บลิงคอล์นในปี ค.ศ. 1973 เพื่อตอบสนองต่อประเด็นปัญหาของการประท้วง[60][61] ทั้งหมู่นักศึกษา หมู่บุคคลากร และหมู่ผู้บริหาร โดยเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นแล้ว ไม่ได้แบ่งออกเป็นพรรคเป็นหมู่ ในช่วงเวลาที่เป็นสมัยสับสนอลหม่านในมหาวิทยาลัยหลายแห่งอื่น ๆ[57] อธิการบดีจอห์นสันได้รับเกียรติว่า ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการนำสถาบันไปสู่ "ความเข้มแข็งสามัคคีที่ดีขึ้น" หลังจากได้ผ่านเหตุการณ์วุ่นวายเหล่านี้ไปแล้ว[lower-alpha 3]

ประวัติช่วงเร็ว ๆ นี้

มีเดียแล็บ (MIT Media Lab) เป็นที่นักวิจัยกำลังพัฒนาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ใหม่ ๆ รูปนี้แสดงอาคารที่เปิดใช้ในปี ค.ศ. 1982 ออกแบบโดยไอ. เอ็ม. เพ (ศิษย์เก่า) และอาคารเสริมทางขวาของรูป ที่เปิดใช้ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2010 ออกแบบโดยสถาปนิกชาวญี่ปุ่น Fumihiko Maki
ดูสารนิเทศเพิ่มเติมที่: ประวัติอินเทอร์เน็ต

MIT ได้ช่วยสร้างความก้าวหน้าให้แก่ยุคดิจิตัล คือ นอกจากจะพัฒนาเทคโนโลยีนำสมัยของคอมพิวเตอร์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์แล้ว[63][64] ทั้งนักศึกษา บุคคลากร และคณะอาจารย์ที่โปรเจ็กต์แม็ค (Project MAC), ที่แล็บปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence Laboratory) และที่สโมสรรถไฟจำลอง (Tech Model Railroad Club) ได้เขียนโปรแกรมเกมคอมพิวเตอร์ที่เล่นโต้ตอบได้เป็นรุ่นแรก ๆ เช่น Spacewar! และได้เริ่มต้นใช้ศัพท์สแลงและเริ่มต้นวัฒนธรรมประเพณีของนักเลงคอมพิวเตอร์ (hacker) ที่ยังเป็นไปอยู่จนถึงทุกวันนี้อีกด้วย[65] องค์กรสำคัญเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หลายองค์กรมีจุดเริ่มต้นที่ MIT ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1980 เช่น

MIT ได้รับเลือกให้เป็น sea-grant college ในปี ค.ศ. 1976 เพื่อสนับสนุนโปรแกรมของสถาบันในสาขาสมุทรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ทางทะเลสาขาต่าง ๆ (marine sciences) และเป็น space-grant college ในปี ค.ศ. 1989 เพื่อสนับสนุนโปรแกรมของสถาบันในสาขาอากาศยานศาสตร์ (aeronautics) และอวกาศยานศาสตร์ (astronautics)[70][71]

แม้ว่าเงินสนับสนุนจากรัฐจะลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา MIT ได้รณรงค์รวบรวมเงินบริจาคหลายครั้ง ที่ได้ใช้ขยายวิทยาเขตออกไปอีก คือ

  • หอพักนักศึกษาและอาคารกีฬาใหม่ ๆ ในวิทยาลัยเขตทิศตะวันตก
  • ศูนย์การศึกษาการบริหารตั้ง (Tang Center for Management Education)
  • อาคารหลายอาคารทางมุมด้านตะวันออกเฉียงเหนือของวิทยาเขตเพื่อสนับสนุนงานวิจัยในสาขาชีววิทยา (ในอาคาร Koch Biology Building), วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสมองและประชาน (brain and cognitive sciences ในกลุ่มอาคาร Brain and Cognitive Sciences complex), จีโนมิกส์ (ดำเนินงานโดยสถาบันบรอด), เทคโนโลยีชีวภาพ (ดำเนินงานโดยสถาบันไวท์เฮด), และงานวิจัยเกี่ยวกับมะเร็ง (ดำเนินงานโดยสถาบัน David H. Koch Institute for Integrative Cancer Research)
  • อาคารใหม่หลายอาคารบนถนนวาซซาร์ (Vassar) รวมทั้งศูนย์สตาตา (Stata Center)[72]

การก่อสร้างในวิทยาเขตในคริสต์ทศวรรษ 2000 รวมทั้งการขยายมีเดียแล็บ, วิทยาเขตด้านทิศตะวันออกของโรงเรียนการบริหารสโลน, และที่อาศัยของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ[73][74]

ในปี ค.ศ. 2006 อธิการบดีหญิงฮ็อกฟิลด์จัดตั้งคณะกรรมการงานวิจัยเกี่ยวกับพลังงานเอ็มไอที (MIT Energy Research Council) เพื่อสืบสวนปัญหาข้ามสาขาวิชาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้พลังงานของโลก[75]

โอเพ็นคอร์สแวร์

ในปี ค.ศ. 2001 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากขบวนการโอเพนซอร์ซ และโอเพนแอกซ์เซสส์[76] สถาบันได้เริ่มโครงการ "โอเพ็นคอร์สแวร์" (OpenCourseWare ตัวย่อ OCW) ที่เปิดเล็กเช่อร์โน๊ต การบ้าน (problem set) ใบประมวลวิชา (syllabuses) และเล็กเช่อร์ จากชั้นวิชาต่าง ๆ โดยมาก ให้เข้าถึงได้ออนไลน์ฟรี[77] แม้ว่าค่าใช้จ่ายเพื่อการสนับสนุนโครงการนี้จะสูง[78] แต่โครงการ OCW ก็ขยายตัวออกไปอีกในปี ค.ศ. 2005 โดยเพิ่มมหาวิทยาลัยอื่น ๆ เข้าในกลุ่มคอนซอร์เทียมโอเพ็นคอร์สแวร์ (OpenCourseWare Consortium) ซึ่งในปัจจุบันรวมสถาบันวิชาการกว่า 250 สถาบัน โดยมีข้อมูลวิชาการในอย่างน้อย 6 ภาษา[79]

ในปี ค.ศ. 2011 MIT ประกาศว่าจะเริ่มให้ใบรับรองอย่างเป็นทางการ (แต่ไม่ได้ให้เครดิตเพื่อปริญญา) สำหรับนักศึกษาออนไลน์ที่ผ่านวิชาในโปรแกรม "MITx" โดยเสียค่าใช้จ่ายพอประมาณ[80]

ซอฟต์แวร์แพลตฟอร์ม edX ที่ใช้ในโปรแกรม MITx พัฒนาขึ้นในตอนแรกโดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และคล้ายคลึงกับโครงการ Harvardx ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยเปิดให้ใช้ภายใต้สัญญาลิขสิทธิ์แบบโอเพนซอร์ซ และมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ก็ได้เข้ามาร่วมในโครงการนี้และได้เพิ่มข้อมูลวิชาของตน ๆ เข้าในโครงการแล้ว[81]

เหตุระเบิดในบอสตันมาราธอน พ.ศ. 2556

3 วันหลังจากเหตุระเบิดในบอสตันมาราธอน พ.ศ. 2556 เจ้าหน้าที่ตำรวจของสถาบัน ชอน คอลลีเออร์ ถูกยิงตายโดยผู้ต้องสงสัย (คือ Dzhokhar และ Tamerlan Tsarnaev) ซึ่งจุดชนวนการล่าอาชญากรอย่างดุเดือด ที่ส่งผลให้ปิดวิทยาเขตและเขตมหานครบอสตันตลอดวัน[82] อีกอาทิตย์หนึ่งหลังจากนั้น ได้มีคนมางานศพของเจ้าหน้าที่ตำรวจคอลลีเออร์ ที่ทำในที่แจ้ง กว่า 10,000 คน โดยมีกลุ่มชนชาว MIT เป็นเจ้าภาพ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายรัฐจากเขตนิวอิงแลนด์และประเทศแคนาดามาร่วมพิธีด้วยเป็นจำนวนหลายพัน[83][84][85]

ในวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 MIT ประกาศการจัดตั้งเหรียญคอลลีเออร์ (Collier Medal) ที่จะให้เป็นประจำปีต่อ "บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีคุณสมบัติ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคอลลีเออร์แสดงเป็นตัวอย่างในฐานะเป็นสมาชิกของชุมชน MIT และในด้านอื่น ๆ ในชีวิตของเขา" คำประกาศนั้นยังกล่าวต่อไปอีกว่า

ผู้ได้รับรางวัลนี้ในอนาคตจะเป็นบุคคลผู้ที่ทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมเกินหน้าที่ของตน, เป็นบุคคลที่เชื่อมความสัมพันธ์ให้แก่ชนกลุ่มต่าง ๆ ในชุมชน, และเป็นบุคคลผู้ที่ทำกรรมประกอบด้วยความเมตตาอย่างสม่ำเสมอโดยปราศจากการคำนึงถึงตนเอง[86][87][88]

ใกล้เคียง

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันการบินพลเรือน สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ สถาบันวิทยาลัยชุมชน สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน สถาบันพระบรมราชชนก

แหล่งที่มา

WikiPedia: สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ http://scitech.people.com.cn/GB/10294899.html http://news.163.com/09/1031/17/5MVIKNT90001124J.ht... http://www.american-school-search.com/safety/massa... http://www.bbc.com/news/business-29086590 http://www.bloomberg.com/news/2011-03-10/harvard-m... http://www.boston.com/lifestyle/articles/2008/07/1... http://www.boston.com/news/education/higher/articl... http://www.boston.com/news/globe/magazine/articles... http://www.boston.com/news/globe/magazine/articles... http://www.boston.com/news/local/articles/2007/02/...