การศึกษา ของ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์

MIT เป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ที่เน้นงานวิจัย มีนักศึกษาส่วนมากในระดับบัณฑิตศึกษาและในโปรแกรมระดับอาชีพ (ที่สูงกว่าระดับปริญญาตรี) อื่น ๆ และมีนักศึกษาจำนวนมากอาศัยอยู่ในมหาวิทยาลัย[145] มหาวิทยาลัยได้รับการรับรองวิทยฐานะจากสมาคมโรงเรียนและวิทยาลัยเขตนิวอิงแลนด์ (New England Association of Schools and Colleges) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1929[146][147]

MIT มีปฏิทินการศึกษาแบบ 4-1-4 เดือน คือ

  • ภาคการศึกษาฤดูใบไม้ร่วง เริ่มตั้งแต่วันแรงงาน (วันจันทร์แรกของเดือนกันยายน) และจบลงกลางเดือนธันวาคม,
  • ภาค "ช่วงเวลากิจกรรมอิสระ" (Independent Activities Period) เป็นเวลา 4 สัปดาห์ในเดือนมกราคม,
  • ภาคการศึกษาฤดูใบไม้ผลิ เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์จนถึงปลายเดือนพฤษภาคม[148]

นักศึกษาเรียกทั้งวิชาเอก (major) และชั้นวิชา (class) โดยใช้ตัวเลขหรือตัวย่อเท่านั้น[lower-alpha 7] ตามลำดับการก่อตั้งของคณะนั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น คณะวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อมเรียกว่า Course 1, และคณะภาษาและปรัชญาเรียกว่า Course 24[150] ส่วนนักศึกษาที่มีวิชาเอกเป็นวิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาการคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นคณะที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เรียกตัวเองรวม ๆ กันว่า Course 6 (เช่น What course are you? I'm a Course 6.) นักศึกษาใช้ตัวเลขของคณะศึกษา รวมกับตัวเลขที่กำหนดโดยคณะศึกษาอีกตัวหนึ่งเพื่อเรียกวิชาต่าง ๆ เช่นวิชากลศาสตร์ดั้งเดิมที่ใช้แคลคูลัส เรียกว่า 8.01[151][lower-alpha 8]

ระดับปริญญาตรี

โปรแกรม 4 ปีในระดับปริญญาตรี จะเป็นการศึกษาที่สมดุลระหว่างวิชาเอกและวิชาต่าง ๆ ทั้งในวิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ และสังคมศาสตร์ เป็นโปรแกรมที่เข้าได้ยาก[145] รับนักศึกษาเพียงแค่ 7.9% ของนักศึกษารุ่น ค.ศ. 2018 (ปีรับ 2014)[13]และรับนักศึกษาที่ย้ายมาจากมหาวิทยาลัยอื่นน้อยมาก[145]MIT มอบปริญญาตรีตามวิชาเอก 44 วิชาภายในโรงเรียน 5 โรงเรียน[154]เช่น ในปี 2010-2011 โรงเรียนมอบปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิต (ตัวย่อว่า SB มาจากคำภาษาละตินว่า Scientiæ Baccalaureus) 1,161 ปริญญา ซึ่งเป็นปริญญาประเภทเดียวที่ให้ในระดับปริญญาตรี[155][156]

ในเทอมฤดูใบไม้ร่วงในปี ค.ศ. 2011 โดยนับนักศึกษาที่ได้เลือกวิชาเอกแล้ว โรงเรียนวิศวกรรมศาสตร์เป็นโรงเรียนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีนักศึกษาถึง 62.7% ในโปรแกรมปริญญา 19 โปรแกรม ตามมาด้วยโรงเรียนวิทยาศาสตร์ (28.5%), โรงเรียนมนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ และสังคมศาสตร์ (3.7%), โรงเรียนการบริหารสโลน (3.3%), และโรงเรียนสถาปัตยกรรมและการวางแผน (1.8%) วิชาเอกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในระดับปริญญาตรีก็คือ วิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Course 6-2), วิทยาการและวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ (Course 6-3), วิศวกรรมเครื่องกล (Course 2), ฟิสิกส์ (Course 8), และ คณิตศาสตร์ (Course 18)[152]

ระเบียงไม่มีที่สิ้นสุด (Infinite Corridor) เป็นทางเดินหลักผ่านวิทยาเขต

นักศึกษาทุกคนต้องจบหลักสูตรหลักที่เรียกว่า วิชาบังคับทั่วไปของสถาบัน (General Institute Requirements)[157] ส่วนวิชาบังคับวิทยาศาสตร์ (Science Requirement) ซึ่งมักจะเรียนในปี 1 เพราะเป็นวิชาที่ต้องเรียนก่อนวิชาอื่น ๆ ที่เป็นวิชาเอกของวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์สาขาต่าง ๆ มีวิชาฟิสิกส์ 2 ภาคการศึกษา, แคลคูลัส 2 ภาคการศึกษา, เคมี 1 ภาคการศึกษา, และชีววิทยา 1 ภาคการศึกษา และยังมีวิชาแล็บบังคับ (Laboratory Requirement) ซึ่งแต่ละวิชาเอกจะมีแล็บของตน ๆ ส่วนวิชาบังคับในมนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ และสังคมศาสตร์ (HASS Requirement) กำหนดให้เรียน 8 วิชา ซึ่งต้องเลือก 1 วิชาจากแต่ละสาขาใน 3 สาขา (มีมนุษยศาสตร์เป็นต้น) และกลุ่มวิชาอย่างหนึ่งที่เลือกเป็น "วิชาเอก" (สำหรับโรงเรียน HASS) และในส่วนของวิชาบังคับการสื่อสาร (Communication Requirement) นักศึกษาต้องเลือกวิชา HASS 2 วิชา และอีก 2 วิชาที่อยู่ในกลุ่มวิชาเอก โดยเป็นวิชาที่ "มีการสื่อสารในระดับเข้ม"[158] ซึ่งมี "การสอนและภาคปฏิบัติในการนำเสนอปากเปล่า (ต่อหน้าชั้น)"[159] นอกจากนั้นแล้ว นักศึกษายังต้องผ่านการสอบว่ายน้ำ และผู้ที่ไม่ใช่นักกีฬาของสถาบันต้องลงวิชาพละ 4 กึ่งภาคการศึกษา (คือแต่ละชั้นมีระยะเวลากึ่งภาคการศึกษา ดังนั้น จึงสามารถจบวิชาพละทั้งหมดได้ภายใน 2 ภาคการศึกษา)[157]

วิชาโดยมากมีทั้งเล็กเช่อร์ การบรรยายในห้องเรียนโดยศาสตราจารย์ผู้ช่วยหรือโดยนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา การบ้าน (problem set) ประจำอาทิตย์ และการสอบ ถึงแม้ว่านักศึกษามักจะเปรียบเทียบการศึกษาที่ยากและรวดเร็วของ MIT เหมือนกับ "พยายามดื่มน้ำจากท่อดับเพลิง"[lower-alpha 9][161] อัตราการลงทะเบียนเรียนของนักศึกษาที่กลับมาเรียนในปี 2 ก็คล้ายคลึงกับมหาวิทยาลัยวิจัยระดับชาติอื่น ๆ[162] ระบบการให้เกรดแบบ "ผ่าน หรือ ไม่มีประวัติ" ช่วยลดความกดดันต่อนักศึกษาปี 1 คือ แต่ละวิชาที่เรียนในฤดูใบไม้ร่วง ใบแสดงผลการศึกษาของนักศึกษาปี 1 จะแสดงเพียงแค่ว่า "ผ่าน" หรือไม่ก็จะไม่มีประวัติอะไรเลย ส่วนในฤดูใบไม้ผลิ จะแสดงเกรดเอ บี หรือซี ที่แสดงว่าผ่าน หรือไม่ก็จะไม่มีประวัติอะไรเลยเหมือนกัน[163] (แต่ในปีก่อน ๆ การให้เกรดเป็นแบบ "ผ่าน/ไม่มีประวัติ" สำหรับปี 1 ทั้งปี แต่พึ่งเปลี่ยนในรุ่น ค.ศ. 2006 เพื่อป้องกันนักศึกษาปี 1 ฉวยโอกาสเรียนผ่านวิชาบังคับในส่วนวิชาเอก[164])

นอกจากนั้นแล้ว นักศึกษาปี 1 ยังสามารถเลือกสมัครเข้าเรียนในระบบการศึกษาทางเลือกต่าง ๆ เช่น

  • กลุ่มการศึกษาทดลอง (Experimental Study Group) ซึ่งศึกษาวิชาการต่าง ๆ ผ่านชั้นเรียนย่อย ๆ ที่ให้อาจารย์กับนักศึกษามีโอกาสตอบโต้กันมากขึ้น (เทียบกับเล็กเช่อร์ในระบบการศึกษาปกติ), ผ่านชั้นที่ฝึกการแก้ปัญหา (สอนโดยผู้ช่วยอาจารย์ที่เป็นนักศึกษาปีที่สูงกว่า), และผ่านชั้นสัมมนา
  • กลุ่มการศึกษา concourse ซึ่งเน้นการศึกษาในระดับกว้าง เน้นความรู้เกี่ยวกับรากฐานพื้นเพของสาขาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์
  • กลุ่มการศึกษา Terrascope ซึ่งเน้นการศึกษาที่อาศัยการแก้ปัญหาข้ามสาขาวิชาโดยองค์รวม เพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และความดำรงอยู่ได้ของสิ่งแวดล้อมของโลก[163]

ในปี ค.ศ. 1969 ศ.ญ. มากาเร็ต แม็ควิการ์ ก่อตั้ง "โปรแกรมเพื่อโอกาสทำงานวิจัยสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี" (Undergraduate Research Opportunities Program) เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาชั้นปริญญาตรีทำงานร่วมกับอาจารย์หรือนักวิจัยโดยตรง นักศึกษาเข้าร่วมกับหรือเริ่มโปรเจ็กต์ (ที่นิยมเรียกว่า "UROP ยูร็อพ") เพื่อหน่วยกิต เพื่อค่าจ้างตอบแทน หรือโดยอาสาสมัคร สมัครได้โดยดูรายการประกาศบนเว็บไซต์ยูร็อพ หรือติดต่อกับอาจารย์โดยตรง[165] นักศึกษาโดยมากเข้าร่วมกับโปรแกรมนี้[166][167] และบ่อยครั้งตีพิมพ์ผลงานวิจัย หรือจดทะเบียนสิทธิบัตร หรือจัดตั้งบริษัทใหม่ สืบเนื่องกับประสบการณ์ที่ได้จากยูร็อพ[168][169]

ในปี ค.ศ. 1970 เมื่อยังเป็นดีนประชาสัมพันธ์ที่สถาบัน เบ็นสัน สไนเดอร์พิมพ์หนังสือ The Hidden Curriculum (หลักสูตรแฝง) ยกประเด็นว่า การศึกษาจริง ๆ ที่สถาบันไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่ากับการประพฤติตามกฎระเบียบที่ไม่มีลายลักษณ์อักษร และว่า การจบการศึกษาโดยมีเกรดดีมักจะเป็นผลจากการเล่นเกมกับระบบมากกว่าการได้การศึกษาที่ดีจริง ๆ ตามความคิดของสไนเดอร์ นักศึกษาที่ประสบผลสำเร็จ (คือเรียนได้เกรดดี) เป็นผู้ที่สามารถแยกแยะได้ว่า กฎบังคับอะไรไม่ต้องสนใจ เพื่อที่จะมีเวลาทำการเกี่ยวกับกฎที่ไม่มีลายลักษณ์อักษร ตัวอย่างเช่น นักศึกษาหลายกลุ่มได้รวบรวม "คู่มือวิชา (course bible)" ซึ่งรวบรวมคำถามที่ให้ในการบ้าน (problem-set) และในข้อสอบรวมทั้งคำตอบ สำหรับให้นักศึกษารุ่นหลัง ๆ ใช้เป็นคู่มือ สไนเดอร์เสนอว่า การเล่นเกมแบบนี้ ขัดขวางการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และมีผลเป็นความรู้สึกไม่ปลื้มใจและไม่สบายใจในกลุ่มนักศึกษา[170][171]

ประติมากรรม Möbius Strip ของโรเบิรต์ อิงแมน แขวนอยู่ที่ยอดของห้องอ่านหนังสือในห้องสมุดวิศวกรรมศาสตร์บาร์กเกอร์ซึ่งอยู่ในมหาโดม

ระดับบัณฑิตศึกษา

โปรแกรมระดับบัณฑิตศึกษาของ MIT เป็นไปร่วมกันในระดับสูงกับโปรแกรมระดับปริญญาตรี นักศึกษาที่มีคุณสมบัติบางพวกจะลงทะเบียนศึกษาในวิชาของทั้งสองระดับ MIT มีโปรแกรมระดับดุษฎีบัณฑิตที่ให้ปริญญาในสาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ คณิตศาสตร์ และปริญญาระดับอาชีพ (professional degree) อื่น ๆ[145] คือ มีโปรแกรมระดับบัณฑิตศึกษาที่ให้ปริญญาเช่นปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต (MS), ปริญญาวิศวกรรมศาสตร์ในระดับต่าง ๆ ในสาขาต่าง ๆ, ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (PhD), ปริญญาวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (ScD), และปริญญาเพื่อวิชาชีพ (professional degree) ต่าง ๆ เช่นปริญญาสถาปัตยกรรมมหาบัณฑิต (MArch)[172], ปริญญาการบริหารมหาบัณฑิต (MBA)[173], ปริญญาการวางผังเมืองมหาบัณฑิต (Master of City Planning ตัวย่อ MCP)[174], ปริญญาวิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต (MEng)[175], และปริญญาการเงินมหาบัณฑิต (Master of Finance ตัวย่อ MFin) นอกจากนั้นแล้ว ยังมีโปรแกรมระดับบัณฑิตศึกษาแบบข้ามสาขาเช่นปริญญาแพทย์ศาสตร์บัณฑิต/ปรัชญามหาบัณฑิต โดยทำร่วมกับโรงเรียนการแพทย์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard Medical School)[176][177]

การรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาไม่ได้ทำอย่างรวมศูนย์กลาง แต่นักศึกษาต้องสมัครไปยังที่คณะการศึกษาหรือคณะผู้บริหารโปรแกรมการศึกษาโดยตรง นักศึกษาระดับดุษฎีบัณฑิตเกินกว่า 90% ได้รับความช่วยเหลือด้วยทุนการศึกษา (fellowship), งานเป็นผู้ช่วยงานวิจัย (research assistantship), หรือ งานเป็นผู้ช่วยสอน (teaching assistantship)[178]

MIT มอบปริญญามหาบัณฑิตให้นักศึกษา 1,547 คน และปริญญาดุษฎีบัณฑิต 609 คนในปีการศึกษา ค.ศ. 2010-2011[155] ในภาคการศึกษาฤดูใบไม้ร่วงในปี ค.ศ. 2011 โรงเรียนวิศวกรรมศาสตร์เป็นภาคที่นิยมที่สุด (มีนักศึกษา 45%) ตามมาด้วยโรงเรียนการบริหารสโลน (19%) โรงเรียนวิทยาศาสตร์ (16.9%) โรงเรียนสถาปัตยกรรรมและการวางแผน (9.2%) วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สุขภาพวิทะเกอร์ (5.1% รวมนักศึกษาข้ามสถาบัน 196 คนที่จะได้ปริญญาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเท่านั้น) และโรงเรียนมนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ และสังคมศาสตร์ (4.7%)

ส่วนโปรแกรมที่มีนักศึกษามากที่สุดก็คือสาขาการบริหารมหาบัณฑิต (MBA) วิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาการคอมพิวเตอร์ และวิศวกรรมเครื่องกล[152]

ลำดับของมหาวิทยาลัย

อันดับมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา
ระดับชาติ
ARWU[179]3
ฟอบส์[180]5
U.S. News & World Report[181]7
Washington Monthly[182]14[183]
ระดับโลก
ARWU[184]3
QS[185]1
ไทม์[186]5

ในการจัดลำดับมหาวิทยาลัยในที่ต่าง ๆ MIT มักจะอยู่ใน 10 อันดับแรกของการจัดลำดับโดยทั่วไปและการจัดลำดับตามความชอบใจของนักศึกษา (ดูตาราง)[187][188][189] คือ เป็นเวลาหลายปีที่นิตยสาร รายงานข่าวสหรัฐและของโลก (U.S. News & World Report), หนังสือรายปี ลำดับมหาวิทยาลัยโลกคิวเอ็ส (QS World University Rankings), และหนังสือรายปี ลำดับการศึกษาของมหาวิทยาลัยโลก (Academic Ranking of World Universities) จัดโรงเรียนวิศวกรรมศาสตร์ของ MIT เป็นอันดับหนึ่งของสหรัฐและ/หรือของโลก และแม้แต่รายงานประจำทศวรรษของคณะกรรมการงานวิจัยแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (United States National Research Council) พิมพ์ในปี ค.ศ. 1995 ก็เช่นกัน[190] และแหล่งข้อมูลเดียวกันนั่นแหละแสดงว่า ส่วนการศึกษาที่เด่นที่สุดนอกเหนือจากวิศวกรรมศาสตร์สาขาต่าง ๆ ก็คือ วิทยาการคอมพิวเตอร์, สาขาต่าง ๆ ของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ, การบริหาร, เศรษฐศาสตร์, ภาษาศาสตร์, คณิตศาสตร์, และสาขาที่มีลำดับต่ำลงไปบ้าง คือรัฐศาสตร์ และปรัชญา[9][10][11][12][191]

ในปี ค.ศ. 2014 นิตยสาร Money ยกสถาบันให้เป็นที่ 3 ในรายการ "วิทยาลัยที่คุ้มค่าเงินที่สุด (Best Colleges for Your Money)" โดยประเมินคุณภาพการศึกษา ค่าใช้จ่ายที่พอสู้ได้ และผลที่ได้ในการทำงาน[192]ส่วนนิตยสาร ฟอบส์ ในปีเดียวกัน ยกสถาบันให้เป็นที่ 2 ในรายการ "มหาวิทยาลัยที่มีวัฒนธรรมในการเริ่มกิจการธุรกิจที่ดีที่สุด (Most Entrepreneurial University)" โดยกำหนดอัตราศิษย์เก่าและนักศึกษาที่บ่งชี้ตัวเองว่า เป็นผู้จัดตั้งหรือเป็นเจ้าของกิจการในเว็บไซต์สังคมลิงด์อิน[193]ในปี ค.ศ. 2015 Brookings Institution รายงานในบทความ "เหนือไปจากลำดับวิทยาลัย (Beyond College Rankings)" ยก MIT ให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 3 ในสหรัฐ ที่เพิ่มคุณค่าทางเงินเดือนให้ประมาณ 45% ในช่วงกลางอาชีพ[194]

การประสานงานกับองค์กรอื่น

หอประชุมเครสก์ (Kresge Auditorium ค.ศ. 1955) ออกแบบโดย Eero Saarinen เป็นตัวอย่างคลาสสิกของสถาปัตยกรรมหลังสงคราม

ตามประวัติแล้ว สถาบันมักจะริเริ่มการร่วมมือกันทางงานวิจัยและการศึกษา กับองค์กรการศึกษา อุตสาหกรรม และรัฐ[lower-alpha 10][lower-alpha 11] ในปี ค.ศ. 1946 อธิการบดีคอมป์ตัน, ศาสตราจารย์สาขาการบริหารของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดจอร์จส โดรีอ็อท, และประธาน Massachusetts Investor Trust เมอร์ริล์ล กริสส์โวลด์ ก่อตั้งบริษัท American Research & Development Corp ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุน (venture capital) อเมริกันเป็นบริษัทแรก (ในประเทศ)[197][198] ในปี ค.ศ. 1948 อธิการบดีคอมป์ตันก่อตั้งโปรแกรมการประสานงานกับอุตสาหกรรมเอ็มไอที (MIT Industrial Liaison Program)[lower-alpha 12]

ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 นักการเมืองและผู้นำทางธุรกิจชาวอเมริกันโทษ MIT และมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในฐานมีส่วนร่วมทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่เริ่มตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980 โดยทรานสเฟอร์งานวิจัยและเทคโนโลยีที่ได้ทุนมาจากภาษีของประชาชน ไปยังบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะของชาวญี่ปุ่น ที่เป็นคู่แข่งของบริษัทอเมริกันที่กำลังเดือดร้อน[200][201]

โดยอีกมุมมองหนึ่ง การร่วมมืออย่างใกล้ชิดอย่างกว้างขวางของสถาบันกับรัฐบาลกลางในงานวิจัยต่าง ๆ มีผลให้ผู้นำสถาบันหลายคนได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ของประธานาธิบดีสหรัฐตั้งแต่ปี ค.ศ. 1940[202]

MIT จัดตั้งสำนักงานในเมืองหลวงวอชิงตัน ดี.ซี. ในปี ค.ศ. 1991 เพื่อรักษาประสิทธิภาพในการวิ่งเต้นกับรัฐบาลกลาง เพื่อเงินทุนงานวิจัยและนโยบายวิทยาศาสตร์ของชาติ[203][204]

กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐ (Justice Department) เริ่มการสืบสวนคดีในปี ค.ศ. 1989 และในปี ค.ศ. 1991 ยกคดีการผูกขาดฟ้อง MIT ในศาล, มหาวิทยาลัยไอวีลีกทั้ง 8, และสถาบันอื่น ๆ อีก 11 แห่ง ฐานรวมหัวกันกำหนดราคา (ค่าเรียน) ในงานประชุมประจำปีที่เรียกว่า Overlap Meetings ที่จัดเพื่อป้องกันสงครามประมูลราคาระหว่างสถาบันเพื่อนักศึกษาคุณภาพ ซึ่งจะดึงทุนไปจากทุนการศึกษาที่ให้ตามความจำเป็นของนักศึกษา[205][206] ถึงแม้ว่ามหาวิทยาลัยไอวีลีกจะประนีประนอมยอมความนอกศาล[207] MIT ได้สู้ความในศาล โดยโต้ว่าวิธีเช่นนี้ไม่ได้ต่อต้านการแข่งขัน เพราะว่าเป็นวิธีที่สามารถให้การช่วยเหลือแก่นักศึกษาเป็นจำนวนมากที่สุด[208][209] ในที่สุด MIT ก็ชนะคดีเมื่อกระทรวงยุติธรรมถอนคำฟ้องในปี ค.ศ. 1994[210][211]

อาคารอนุสรณ์อธิการบดีวอล์กเกอร์ (Walker Memorial) เป็นอนุสรณ์ของอธิการบดีคนที่ 4 ของสถาบันคือฟรานซิส วอล์กเกอร์วิทยาเขตส่วนหลัก มองจากถนนวาซซ่าร์ (Vassar Street) มองเห็นมหาโดมไกล ๆ และศูนย์สตาตาทางขวามือ

การมีวิทยาเขตอยู่ใกล้ชิดกับ[lower-alpha 13] มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (ที่ชุมชน MIT เรียกว่า "the other school up the river ไอ้อีกมหา'ลัยหนึ่งที่อยู่เหนือแม่น้ำ") มีผลให้สถาบันทั้งสองร่วมมือกัน เช่น ร่วมสร้างหน่วยการศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสุขภาพฮาร์วาร์ด-เอ็มไอที (Harvard-MIT Division of Health Sciences and Technology) และสถาบันบรอด (Broad Institute)[212] นอกจากนั้นแล้ว นักศึกษาจากทั้งสองสถาบันสามารถลงทะเบียนวิชาของอีกสถาบันหนึ่ง เพื่อหน่วยกิตสำหรับสถาบันของตนโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม[212]

ยิ่งไปกว่านั้น โปรแกรมการลงทะเบียนเรียนวิชาข้ามสถาบันระหว่าง MIT และวิทยาลัยเวลล์สลีย์ (Wellesley College) ก็มีมาแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 1969 ในปี ค.ศ. 2002 สถาบันเคมบริดจ์-เอ็มไอที (Cambridge-MIT Institute) ได้เริ่มโปรแกรมแลกเปลี่ยนนักศึกษาปริญญาตรีระหว่าง MIT และมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์แห่งประเทศอังกฤษ[212] นอกจากนั้นแล้ว MIT ยังมีโปรแกรมการลงทะเบียนเรียนวิชาข้ามสถาบันกับมหาวิทยาลัยบอสตัน (Boston University) มหาวิทยาลัยแบรนไดส์ (Brandeis University) มหาวิทยาลัยทัฟส์ วิทยาลัยศิลปศาสตร์แมสซาชูเซตส์ (Massachusetts College of Art) และโรงเรียนพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ในเมืองบอสตัน (School of the Museum of Fine Arts) อีกด้วย แม้จะอยู่ในระดับที่น้อยกว่าสถาบันอื่นที่กล่าวมาก่อน[212]

MIT มีความสัมพันธ์ด้านการวิจัยและการแลกเปลี่ยนบุคคลากรผู้สอน กับองค์กรการวิจัยอิสระในเขตมหานครบอสตันอีกหลายสถาบัน เช่นแล็บชาลส์สตาร์กเดรปเปอร์ (เพื่อการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการทหาร การสำรวจอวกาศ สุขภาพ และพลังงาน), สถาบันไวท์เฮดเพื่อการวิจัยชีวเวช (Whitehead Institute for Biomedical Research เพื่องานวิจัยเกี่ยวกับชีวเวชและจีโนมิกส์), สถาบันสมุทรศาสตร์วูดสโฮล (เพื่องานวิจัยเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ทางทะเล) และองค์กรการวิจัยและการศึกษานานาชาติที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องอื่น ๆ รวมทั้ง โครงการพันธมิตรสิงคโปร์-เอ็มไอที (Singapore-MIT Alliance กับมหาวิทยาลัยสิงคโปร์แห่งชาติและมหาวิทยาลัยเทคนิคนานยางของประเทศสิงคโปร์, MIT-Politecnico di Milano (กับมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคมิลาน)[212][213] โปรแกรมโลจิสติกส์สากลเอ็มไอที-ซาราโกซา (MIT-Zaragoza International Logistics Program กับมหาวิทยาลัยซาราโกซาแห่งประเทศสเปน) และโครงการต่าง ๆ อื่นกับประเทศอื่น ๆ โดยดำเนินการผ่านโปรแกรมริเริ่มทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (MIT International Science and Technology Initiatives)[212][214]

สถาบันมีนิตยสารที่พิมพ์ขายโดยทั่วไปคือ Technology Review ซึ่งพิมพ์โดยบริษัทในเครือ และมีฉบับที่พิมพ์พิเศษเป็นนิตยสารสำหรับศิษย์เก่า[215][216]

โรงพิมพ์ MIT Press เป็นโรงพิมพ์มหาวิทยาลัยที่สำคัญโรงพิมพ์หนึ่ง ตีพิมพ์หนังสือกว่า 200 เล่ม และวารสารกว่า 30 ฉบับต่อปี โดยเน้นประเด็นทั้งทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งทางศิลปศาสตร์ สถาปัตยกรรม สื่อใหม่ ๆ เหตุการณ์ปัจจุบัน และปัญหาสังคม[217]

ห้องสมุดและพิพิธภัณฑ์

สถาบันมีห้องสมุด 5 แห่งแบ่งตามสาขาวิชา คือ ห้องสมุดบาร์กเกอร์ (วิศวกรรมศาสตร์) ห้องสมุดดิวอี้ (เศรษฐศาสตร์) ห้องสมุดเฮเด็น (มนุษยศาสตร์และวิทยาศาสตร์) ห้องสมุดลิวอิส (การดนตรี) และห้องสมุดร็อตช์ (ศิลปศาสตร์และสถาปัตยกรรม) นอกจากนั้นแล้ว ยังมีห้องสมุดพิเศษและสถานที่เก็บเอกสารอื่น ๆ รวม ๆ กันแล้ว ห้องสมุดทั้งหมดมีหนังสือตีพิมพ์มากกว่า 2.9 ล้านเล่ม เอกสารพิมพ์ย่อลงในฟิลม์หรือสื่ออื่น ๆ (microform) กว่า 2.4 ล้านชิ้น เป็นสมาชิกวารสารที่เป็นทั้งสิ่งตีพิมพ์ทั้งสื่ออิเล็กทรอนิกส์กว่า 49,000 ฉบับ และฐานข้อมูลอ้างอิงคอมพิวเตอร์ 670 ฐาน ในทศวรรษที่ผ่านมา สื่อดิจิทัล (สื่ออิเล็กทรอนิกส์) ได้รับความสนใจมากขึ้นเทียบกับสื่อตีพิมพ์[218]

สิ่งเก็บรวบรวมที่น่าสนใจมีทั้งงานดนตรีคริสต์ศตวรรษที่ 20 และ 21 กับงานดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ ของห้องสมุดลิวอิส[219] ทั้งนิทรรศการศิลปะร่วมสมัยที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ของศูนย์ทัศนศิลป์ลิสต์ (List Visual Arts Center)[220] ทั้งนิทรรศการข้ามศาสตร์ของหอศิลป์คอมป์ตัน[221]

สถาบันแบ่งส่วนหนึ่งของงบประมาณการสร้างและการบูรณะ เพื่อว่าจ้างการทำและการรักษา งานศิลป์และงานประติมากรรมกลางแจ้งเป็นจำนวนมาก โดยเป็นศิลป์สะสมที่เปิดให้ชนทั่วไปชม[222][223]

พิพิธภัณฑ์ MIT เปิดขึ้นในปี ค.ศ. 1971 เพื่อสะสม รักษา และจัดแสดงวัตถุต่าง ๆ ที่สำคัญต่อวิถีชีวิตในสถาบัน หรือประวัติของสถาบัน และยังดำเนินการร่วมกับพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ของเมืองบอสตันที่อยู่ใกล้ ๆ อีกด้วย[224]

งานวิจัย

สถาบันได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของสมาคมมหาวิทยาลัยอเมริกัน[41][145] ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ความกว้างขวางและคุณภาพของโปรแกรมงานวิจัยและการศึกษาของสถาบัน ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับงานวิจัยทั้งหมดรวมเป็นเงิน 718.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2009[225] รัฐบาลกลางเป็นผู้สนับสนุนงานวิจัยรายใหญ่ที่สุด โดยกระทรวงต่าง ๆ คือ กระทรวงการบริการเกี่ยวกับสุขภาพและเกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์อื่น ๆ (Department of Health and Human Services) ให้ทุนเป็นจำนวน 255.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กระทรวงกลาโหมให้ 97.5 ล้านเหรียญ กระทรวงพลังงานให้ 65.8 ล้านเหรียญ และโดยองค์กรอิสระต่าง ๆ คือ มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐอเมริกา ให้ 61.4 ล้านเหรียญ และองค์การนาซา ให้ 27.4 ล้านเหรียญ[225]

MIT มีผู้ทำงานวิจัยอีก 1,300 คนนอกเหนือจากคณะอาจารย์[226] ในปี ค.ศ. 2011 คณะอาจารย์และนักวิจัยของสถาบันประกาศสิ่งประดิษฐ์ใหม่ 632 อย่าง รับสิทธิบัตร 153 บัตร ได้เงินรายได้ 85.4 ล้านเหรียญ และรับค่าสิทธิ (royalties) เป็นจำนวนเงิน 69.6 ล้านเหรียญ[227] โดยดำเนินการผ่านโปรแกรมของสถาบันเช่น Deshpande Center คณะอาจารย์ได้โอกาสในการใช้ผลงานวิจัยและสิ่งค้นพบ ในการสร้างธุรกิจมีค่าเป็นหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ[228]

โปรเจ็กต์กนู และขบวนการซอฟต์แวร์เสรี มีกำเนิดที่ MIT

อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์เช่นหน่วยความจำวงแหวนแม่เหล็ก (magnetic core memory), เรดาร์, single electron transistor, และระบบนำวิถีอาศัยหลักความเฉื่อย เป็นสิ่งที่ประดิษฐ์หรือพัฒนาขึ้นอย่างสำคัญที่ MIT[229][230] ศ.แฮโรลด์ ยูจีน เอ็ดเกอร์ตัน เป็นผู้นำในงานวิจัยเกี่ยวกับการถ่ายภาพความเร็วสูงและโซนาร์[231][lower-alpha 14] ดร. คล็อด แชนนอน คิดค้นทฤษฎีสารสนเทศ และค้นพบการประยุกต์ใช้ตรรกะแบบบูล (Boolean logic) เพื่อใช้ในทฤษฎีการออกแบบวงจรดิจิตัล (digital circuit)[233]

ในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะอาจารย์และนักวิจัยของสถาบันมีส่วนสำคัญในการพัฒนาหลักวิทยาการพื้นฐาน เช่น นอร์เบิร์ต ไวน์เนอร์ มีส่วนในทฤษฎีไซเบอร์เนติกส์ ศ.มาร์วิน มินสกี ในปัญญาประดิษฐ์ ศ.โจเซ็ฟ ไวเซ็นบอม ในภาษาคอมพิวเตอร์ ศ.แพ็ททริก วินสตัน ในการเรียนรู้ของเครื่อง ศ.ร็อดนีย์ บรุกส์ ในวิทยาการหุ่นยนต์ และ ศ.โรนัลด์ ไรเวสต์ (ผู้ค้นพบขั้นตอนวิธีการเข้ารหัสลับ RSA) ในวิทยาการเข้ารหัสลับ[230][234]ในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะอาจารย์และนักวิจัยของสถาบันมีส่วนสำคัญในการพัฒนาหลักวิทยาการพื้นฐาน เช่น นอร์เบิร์ต ไวน์เนอร์ มีส่วนในทฤษฎีไซเบอร์เนติกส์ ศ.มาร์วิน มินสกี ในปัญญาประดิษฐ์ ศ.โจเซ็ฟ ไวเซ็นบอม ในภาษาคอมพิวเตอร์ ศ.แพ็ททริก วินสตัน ในการเรียนรู้ของเครื่อง ศ.ร็อดนีย์ บรุกส์ ในวิทยาการหุ่นยนต์ และ ศ.โรนัลด์ ไรเวสต์ (ผู้ค้นพบขั้นตอนวิธีการเข้ารหัสลับ RSA) ในวิทยาการเข้ารหัสลับ[230][235]

สถาบันมีบุคคลที่ได้รับรางวัลทัวริงอย่างน้อย 9 คน และที่ได้รับรางวัลเดรปเปอร์ (Draper Prize, ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นรางวัลโนเบลของสาขาวิศวกรรมศาสตร์) อย่างน้อย 7 คน ที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบัน[236][237]

ทั้งคณะอาจารย์ฟิสิกส์ชุดปัจจุบันและชุดก่อน ๆ รวมกันแล้วได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ 8 รางวัล[238] เหรียญ Dirac Medals ขององค์กร Abdus Salam International Centre for Theoretical Physics (ITCP) 4 รางวัล[239] และรางวัลวูล์ฟ 3 รางวัลโดยหลักเพื่องานในทฤษฎีอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม และทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัม[240]

ส่วนคณะอาจารย์เคมีได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี 3 รางวัล และรางวัลวูล์ฟ 1 รางวัล สำหรับการคิดค้นการสังเคราะห์และวิธีการสังเคราะห์สารเคมีใหม่ ๆ[238]

ส่วนคณะอาจารย์ชีววิทยาได้รับรางวัลโนเบลสาขาแพทย์ศาสตร์ 6 รางวัล สำหรับงานในสาขาพันธุศาสตร์ วิทยาภูมิคุ้มกัน วิทยามะเร็ง และอณูชีววิทยา[238] ศ.อีริก แลนด์เดอร์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำในโครงการจีโนมมนุษย์[241][242]

อะตอมของระบบ Positronium[243] เพนิซิลลินสังเคราะห์[244] และโมเลกุลสังเคราะห์ที่ขยายพันธุ์เอง (synthetic self-replicating molecules)[245] และเหตุทางพันธุกรรมของโรคเซลล์ประสาทสั่งการ Lou Gehrig's disease และโรคฮันติงตัน ล้วนแต่ค้นพบก่อนที่ MIT[246]

ศ.เจโรม เล็ตต์วิน ปฏิรูปประชานศาสตร์ (cognitive science) ด้วยงานของเขาที่มีชื่อว่า "What the frog's eye tells the frog's brain (สิ่งที่ตาของกบบอกสมองของกบ)"[247]

ในสาขามนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ และสังคมศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ของสถาบันได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ 5 รางวัล และเหรียญ John Bates Clark Medal 9 รางวัล[238][248] ส่วนนักภาษาศาสตร์ ศ.โนม ชัมสกี และ ศ.มอร์ริส ฮัลเล เขียนหนังสือที่มีอิทธิพลเกี่ยวกับไวยากรณ์เพิ่มพูน (generative grammar) และสัทวิทยา[249][250]

มีเดียแล็บ (MIT Media Lab) ที่ตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1985 ภายใต้โรงเรียนสถาปัตยกรรมและการวางแผน เป็นแล็บที่รู้จักกันดีโดยงานวิจัยที่ไม่เหมือนใคร[251][252] เป็นที่ทำการของนักวิจัยที่มีชื่อเสียง เช่น ศ.เซมอร์ เพเปอรต์ ผู้เป็นอาจารย์สอนทฤษฎีการเรียนรู้ Constructivism และผู้ประดิษฐ์ภาษาโปรแกรม Logo[253]

บุคคลที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน 38 บุคคลได้รับ รางวัล MacArthur Fellowship (มีชื่อเล่นว่า รางวัลอัจฉริยะ) โดยครอบคลุมหลายสาขาวิชาที่ได้กล่าวมาแล้ว[254] มีผู้รับรางวัลพูลิตเซอร์ 4 คนที่กำลังทำงานหรือเคยทำงานที่สถาบัน[255] อาจารย์ปัจจุบันหรือในอดีต 4 คนเป็นสมาชิกของสถาบันศิลปศาสตร์และอักษรศาสตร์อเมริกัน (American Academy of Arts and Letters)[256]

การกล่าวหาถึงการกระทำไม่ชอบหรือไม่สมควรในงานวิจัย มักได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก คือ ศ.เดวิด บัลติมอร์ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาแพทย์ศาสตร์ในปี ค.ศ. 1975 ถูกตรวจสอบเกี่ยวกับการกระทำไม่ชอบในงานวิจัยในปี ค.ศ. 1986 จนกระทั่งถึงกับถูกตรวจสอบโดยรัฐสภาสหรัฐในปี ค.ศ. 1991[257][258] ส่วน ศ.เท็ด โพสต์ตัล (เป็น ศ. วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และความมั่นคงนานาชาติ ของสถาบัน) ได้กล่าวหาผู้บริหารสถาบันตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 ว่าพยายามปกปิดสิ่งที่อาจเป็นการกระทำไม่ชอบในงานวิจัยที่แล็บลิงคอล์น เกี่ยวข้องกับการทดสอบระบบป้องกันขีปนาวุธ แม้ว่าการสืบสวนประเด็นนี้จะยังไม่สิ้นสุดลง[259][260]

ในปี ค.ศ. 2005 สถาบันไล่รองศาสตราจารย์ Luk Van Parijs ออกจากตำแหน่งหลังจากได้รับการกล่าวหาว่าทำการไม่ชอบในงานวิจัย ผู้หลังจากนั้นก็ถูกตัดสินโดยศาลว่าทำผิดในปี ค.ศ. 2009[261][262]

ใกล้เคียง

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันการบินพลเรือน สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ สถาบันวิทยาลัยชุมชน สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน สถาบันพระบรมราชชนก

แหล่งที่มา

WikiPedia: สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ http://scitech.people.com.cn/GB/10294899.html http://news.163.com/09/1031/17/5MVIKNT90001124J.ht... http://www.american-school-search.com/safety/massa... http://www.bbc.com/news/business-29086590 http://www.bloomberg.com/news/2011-03-10/harvard-m... http://www.boston.com/lifestyle/articles/2008/07/1... http://www.boston.com/news/education/higher/articl... http://www.boston.com/news/globe/magazine/articles... http://www.boston.com/news/globe/magazine/articles... http://www.boston.com/news/local/articles/2007/02/...