วิทยาเขต ของ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์

ศูนย์กลางและส่วนด้านทิศตะวันออกของวิทยาเขต มุมมองจากอากาศเหนือถนนแมสซาชูเซตส์และแม่น้ำชาลส์ ตรงกลางเป็นส่วนของอาคารที่เรียกว่า มหาโดม (the Great Dome) ที่มองเห็นวิวของสนามคิลเลียน โดยที่มีจัตุรัสเค็นดัลล์ (Kendall Square) เป็นพื้นเพอาคาร 10 และส่วนของอาคารที่เรียกว่า มหาโดม (the Great Dome) ที่มองเห็นวิวของสนามคิลเลียน

วิทยาเขตขนาด 425 ไร่ของ MIT กว้างประมาณ 1.6 กิโลเมตร อยู่ทางด้านทิศเหนือของลุ่มแม่น้ำชาลส์ในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์[5] มีถนนแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Avenue, หรือรู้จักกันว่า Mass Ave) แบ่งครึ่งวิทยาเขตโดยประมาณ โดยมีหอพักนักศึกษาและอาคารที่สนับสนุนความเป็นอยู่ของนักศึกษาทางทิศตะวันตก และอาคารการศึกษาทางทิศตะวันออก มีสะพานที่อยู่ใกล้สถาบันมากที่สุดชื่อว่า สะพานฮาร์วาร์ด ซึ่งมีชื่อเสียงในการมีเครื่องหมายแสดงความยาวที่ไม่ใช่หน่วยมาตรฐาน คือมีหน่วยเป็นสมูท (smoot) ตามความสูงของนักศึกษาโอลิเวอร์ สมูท (รุ่นปี ค.ศ. 1962, เป็นอดีตประธานองค์กรมาตรฐาน ANSI)[89][90]

สถานีรถไฟ Kendall/MIT Station ที่รถไฟใต้ดินบอสตัน สายสีแดง ของการคมนาคมอ่าวแมสซาชูเซตส์ (MBTA) วิ่งผ่าน อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือสุดเขตของมหาวิทยาลัยในจัตุรัสเค็นดัลล์ (Kendall Square) บริเวณรอบ ๆ วิทยาเขตซึ่งเป็นส่วนของเมืองเคมบริดจ์ มีทั้งบริษัทไฮเถ็กที่อยู่ในอาคารนำสมัย และในอาคารอุตสาหกรรมเก่าที่ได้รับการบูรณะ มีทั้งบริเวณที่อยู่อาศัยของชุมชนที่มีฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจที่ต่าง ๆ กัน[91][92]

อาคารแต่ละอาคารของสถาบันใช้ตัวเลขเป็นเครื่องกำหนด (และอาจจะนำด้วย W, N, E, หรือ NW ตามทิศ) แต่ก็มีชื่อด้วยเช่นกัน โดยทั่ว ๆ ไปอาคารศึกษาและอาคารสำนักงานเรียกโดยใช้ตัวเลข แต่หอพักนักศึกษาต่าง ๆ เรียกโดยชื่อ ตัวเลขที่ใช้กำหนดจัดตามลำดับการสร้างอาคาร (โดยประมาณ) และตามตำแหน่ง (เช่นทิศเหนือ ทิศตะวันตก และทิศตะวันออก) ที่สัมพันธ์กับอาคารชุดแรก ๆ ที่เรียกว่า "อาคาร (อธิการบดี) แม็คคลอริน"[93] อาคารต่าง ๆ เชื่อมต่อกันทั้งเหนือดินทั้งใต้ดิน ผ่านเครือข่ายอุโมงค์ใต้ดินที่เชื่อมต่อกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันภูมิอากาศของเมืองเคมบริดจ์แล้ว ยังเป็นที่ทำการของนักสำรวจหลังคาและอุโมงค์ (ที่ปกติไม่ได้รับอนุญาต) อีกด้วย[94][95]

เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่อยู่ในวิทยาเขตของสถาบัน[96] เป็นเตาปฏิกรณ์ที่มีกำลังมากที่สุดเครื่องหนึ่งในบรรดาเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของมหาวิทยาลัยในสหรัฐ และความเด่นชัดของอาคารจำกัดความเสียหาย (containment building) ที่อาจเกิดจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ในเขตที่มีประชากรหนาแน่น ก่อให้เกิดความคิดเห็นไปต่าง ๆ กัน[97] แต่สถาบันก็ยังยืนยันว่า อาคารนั้นมีการรักษาความปลอดภัยดีแล้ว[98]ในปี ค.ศ. 1999 บิล เกตส์ได้บริจาคเงินจำนวน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างแล็บคอมพิวเตอร์โดยมีชื่อว่า "อาคาร์วิลเลียม เอช เกตส์ (William H. Gates Building)" และออกแบบโดยสถาปนิก แฟรงก์ เกห์รีแม้ว่าบริษัทไมโครซอฟท์ (ที่เกตส์เป็นผู้ก่อตั้ง) จะได้บริจาคเงินสนับสนุนสถาบันมาก่อนแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เกตส์ได้บริจาคทรัพย์ส่วนบุคคล[99]

อุปกรณ์เครื่องมืออย่างอื่นที่น่าสนใจในวิทยาเขตรวมทั้งอุโมงค์ลมและอ่างเรือจำลองเพื่อทดสอบแบบเรือและสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ในทะเล[100][101] มีเครือข่ายแลนไร้สายของสถาบันที่ทำเสร็จในฤดูใบไม้ตกในปี ค.ศ. 2005 มีแอคเซสพอยต์ไร้สายเกือบ 3,000 จุดครอบคลุมเนื้อที่ 546 ไร่[102]

ในปี ค.ศ. 2001 สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐฟ้อง MIT ในศาล เพราะทำผิดกฎหมายน้ำสะอาด (Clean Water Act) และกฎหมายอากาศสะอาด (Clean Air Act) มีสาเหตุมาจากวิธีการเก็บและทิ้งสิ่งปฏิกูลอันตราย[103] MIT ได้ระงับคดีโดยเสียค่าปรับ 155,000 ดอลลาร์สหรัฐและได้ริเริ่มโครงการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม 3 โครงการ[104] คือ

  1. โดยเชื่อมต่อกับการรณรงค์หาเงินทุนเพื่อขยายวิทยาเขต สถาบันได้บูรณะอาคารที่มีอยู่เป็นจำนวนมากเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของการใช้พลังงาน และได้ทำการต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยใช้ยานพาหนะขนส่งในวิทยาเขตที่ใช้เชื้อเพลิงทางเลือก (ที่ไม่ใช้น้ำมัน ถ่านหิน โพรเพน หรือแก๊สธรรมชาติเป็นต้น)
  2. โดยให้เงินสนับสนุนเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการใช้ระบบขนส่งมวลชน (เพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว)
  3. โดยสร้างโรงงานไฟฟ้าและความร้อน (cogeneration) มีมลพิษต่ำ และให้บริการทางด้านไฟฟ้า ความร้อน และแอร์คอนดิชั่น เกือบหมดทั้งวิทยาเขต[105]

ในระหว่างปี ค.ศ. 2009-2011 เจ้าหน้าที่ตำรวจของสถาบันพร้อมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งของพื้นที่และของรัฐแมสซาชูเซตส์ ได้สืบสวนการแจ้งความเกี่ยวกับการทำอนาจาร 12 กรณี การชิงทรัพย์ 6 กรณี การทำร้ายร่างกายจนได้รับอันตรายสาหัส 3 กรณี การชิงทรัพย์โดยบุกเข้าไปในเคหสถาน 164 กรณี การวางเพลิง 1 กรณี และการขโมยยานยนต์ 4 กรณี ในวิทยาเขต ซึ่งมีผลต่อชุมชนประมาณ 22,000 คนรวมทั้งนักศึกษาทั้งบุคคลากรของสถาบัน[106]

สถาปัตยกรรม

ศูนย์สตาตา (Stata Center) ออกแบบโดยแฟรงก์ เกห์รี เป็นอาคารที่อยู่ของแล็บวิทยาการคอมพิวเตอร์และแล็บปัญญาประดิษฐ์ (MIT Computer Science and Artificial Intelligence Laboratory) แล็บระบบสารสนเทศและการตัดสินใจ (MIT Laboratory for Information and Decision Systems) และคณะภาษาและปรัชญา

โรงเรียนสถาปัตยกรรม ซึ่งปัจจุบันคือโรงเรียนสถาปัตยกรรมและการวางแผน (School of Architecture and Planning) เป็นโรงเรียนสถาปัตยกรรมแห่งแรกในสหรัฐ[107] และสถาบันเองก็มีประวัติในการสร้างอาคารมีสถาปัตยกรรมทันสมัย[108][109] กลุ่มอาคารแรกสุดในวิทยาเขตเมืองเคมบริดจ์ที่สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1916 ที่บางครั้งเรียกว่า "อาคารแม็คคลอริน" (Maclaurin buildings) ตามชื่อของอธิการบดีริชาร์ด แม็คคลอริน ผู้ดูแลการก่อสร้าง เป็นกลุ่มอาคารออกแบบโดยวิลเลียม บอสเวอร์ธ อาคารน่าเกรงขามเหล่านี้สร้างด้วยคอนกรีตเสริมแรง เป็นอาคารที่ไม่ใช่อาคารอุตสาหกรรมแห่งแรกในสหรัฐที่สร้างโดยวิธีนี้[110]

การออกแบบของบอสเวิร์ธได้รับอิทธิพลจากขบวนการสร้างเมืองให้สวย (City Beautiful Movement) ที่เป็นไปในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1900[110] และสร้างเน้นอาคารที่เรียกว่า "มหาโดม" (the Great Dome) โดยสร้างคล้ายกับวิหารแพนธีอันในกรุงโรม เป็นที่อยู่ของห้องสมุดวิศวกรรมศาสตร์บาร์กเกอร์ (Barker Engineering Library) ที่มองลงมาเห็นสนามคิลเลียน (Killian Court) ซึ่งเป็นที่ที่จัดพิธีรับปริญญาทุกปี รอบ ๆ อาคารซึ่งฉาบด้วยหินปูนรอบ ๆ สนามคิลเลียน มีชื่อสลักของนักวิทยาศาสตร์และนักปราชญ์คนสำคัญ[lower-alpha 4] ส่วนห้องโถงใหญ่ที่น่าเกรงขามในอาคาร 7 ที่อยู่ติดกับถนนแมสซาชูเซตส์ ถือกันว่า เป็นทางเข้าหลักของระเบียงไม่มีที่สิ้นสุด (Infinite Corridor, ซึ่งเชื่อมต่ออาคาร 7, 3, 10, 4 และ 8) และส่วนที่เหลือของวิทยาเขต[92]

หอพักนักศึกษา บ้านเบเกอร์ (Baker House ค.ศ. 1947) ที่ออกแบบโดยอัลวา อัลโต, โบสถ์เอ็มไอที (MIT Chapel) และหอประชุมเครสก์ (Kresge Auditorium ค.ศ. 1955) ที่ออกแบบโดย Eero Saarinen, และอาคารกรีน (Green Building) อาคารเดรย์ฟัส (Dreyfus Building) และอาคารไวส์เนอร์ (Wiesner Building เป็นที่อยู่ของมีเดียแล็บ) ที่ออกแบบโดยไอ. เอ็ม. เพ (ศิษย์เก่า) ทั้งหมดล้วนแต่เป็นตัวอย่างที่สำคัญของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่หลังสงครามโลก[113][114][115]

อาคารใหม่ ๆ เช่น ศูนย์สตาตา (ค.ศ. 2004) ที่ออกแบบโดยแฟรงก์ เกห์รี, หอพักนักศึกษาซิมมอนส์ (Simmons Hall ค.ศ. 2002) ที่ออกแบบโดย Steven Holl, อาคาร 46 (ค.ศ. 2005) ที่ออกแบบโดย Charles Correa, และส่วนต่อเติมของอาคารมีเดียแล็บ (ค.ศ. 2009) ที่ออกแบบ Fumihiko Maki ล้วนแต่เป็นสถาปัตยกรรมคลาสสิกที่เด่นในเขตมหานครบอสตัน และเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมวิทยาเขตร่วมสมัยออกแบบโดยดาราสถาปนิก (starchitect)[108][116]

แต่ว่า อาคารเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจะได้รับความนิยมเสมอไป[117][118] ในปี ค.ศ. 2010 บริษัทที่พิมพ์หนังสือแนะนำมหาวิทยาลัย The Princeton Review รวม MIT เข้าในกลุ่มมหาวิทยาลัย 20 แห่ง ที่มีวิทยาเขตที่ "เล็ก ๆ, ไม่น่าดู, หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง"[119]

ที่อยู่ของนักศึกษา

หอพักนักศึกษาซิมมอนส์ (Simmons Hall) ที่สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 2002

สถาบันให้ประกันว่านักศึกษาระดับปริญญาตรีจะได้ที่อยู่เป็นเวลา 4 ปี ในหอพักนักศึกษาปริญญาตรีที่มีอยู่ 12 แห่ง[120] ผู้ที่อยู่ในหอพักนักศึกษามีโอกาสที่จะได้รับความช่วยเหลือและคำแนะนำจากนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ผู้ให้คำปรึกษา และอาจารย์หัวหน้าหอพัก ที่ล้วนแต่อาศัยอยู่ที่หอพัก[121] เพราะว่าการแจกหอพักเป็นไปตามความชอบใจของนักศึกษาเองโดยส่วนหนึ่ง จึงมีกลุ่มนักเรียนมากมายหลายแบบที่รวมกลุ่มกันที่หอพักต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น หนังสือ คู่มือวงในในการเลือกมหาวิทยาลัย ค.ศ. 2010 เขียนโดยคณะทำงานของหนังสือพิมพ์ เยลเดลินิวส์ ของมหาวิทยาลัยเยล กล่าวไว้ว่า

ความแตกต่างกัน (ของหอพัก) ระหว่างวิทยาเขตตะวันออกและทิศตะวันตกเป็นจุดเด่นของ MIT โดยที่ฝั่งทิศตะวันออกมีชื่อเสียงว่า มีกลุ่มนักศึกษานิยมวัฒนธรรมต่อต้านที่กำลังแพร่หลาย"[122]

นอกจากหอพักนักศึกษาระดับปริญญาตรีแล้ว ก็ยังมีที่พักสำหรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาด้วย คือ มีหอพักโสด 5 หอพัก และมีอาคารชุด 2 อาคารสำหรับนักศึกษาที่มีครอบครัว[123]

นักศึกษามีทางเลือกเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยอื่นที่สืบเนื่องกับสถาบันแต่สถาบันไม่ได้เป็นผู้ดำเนินงาน คือ มี fraternity[lower-alpha 5], sorority, และกลุ่มที่พักอาศัยอิสระ (independent living group) รวม ๆ กันเรียกว่า FSILGs ให้เลือกกว่า 36 แห่ง[124]ในปี ค.ศ. 2015 นักศึกษาระดับปริญญาตรีทั้งหมด 87% อาศัยในที่พักอาศัยตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด โดย 50% ของนักศึกษาชายอยู่ใน fraternity และ 32% ของนักศึกษาหญิงอยู่ใน sorority[125]ที่อยู่ดำเนินการโดย FSILGs นั้น โดยมากจะอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำชาลส์ในย่านแบล็กเบย์ของเมืองบอสตันที่เป็นแหล่งกำเนิดของสถาบัน แต่ก็ยังมี fraternity กลุ่มหนึ่งที่วิทยาเขตทิศตะวันตกด้วย[126]

หลังจากการเสียชีวิตเพราะการดื่มสุรา ของนักศึกษาสก็อตต์ ครูเกอร์ ในปี ค.ศ. 1997 ผู้เป็นสมาชิกใหม่ของ Phi Gamma Delta fraternity สถาบันได้เริ่มบังคับให้นักศึกษาปี 1 ทุกคน ให้อยู่ที่หอพักนักศึกษาของสถาบันเริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002[127] เหตุของความล่าช้าของกฎบังคับใหม่ก็เพราะว่า ในปีก่อน ๆ นักศึกษาปีหนึ่งได้อาศัยอยู่ที่ FSILGs เป็นจำนวนกว่า 300 คน มหาวิทยาลัยจึงไม่ได้เริ่มใช้นโยบายนี้จนกระทั่งเมื่อหอพักนักศึกษาซิมมอนส์ที่สร้างใหม่เปิดใช้ในปี ค.ศ. 2002[128]

ระบบการบริหาร

ล็อบบี้ 7 (มีหมายเลขที่อยู่เป็น 77 ถ. แมสซาชูเซตส์) ถือกันว่าเป็นทางเข้าหลักของวิทยาเขต

MIT จัดตั้งขึ้นเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรมี MIT Corporation เป็นเจ้าของและบริหารโดยคณะทรัสตี (board of trustees) คณะทรัสตีปัจจุบันมีสมาชิก 43 คนที่ได้รับการเลือกตั้งมีวาระ 5 ปี[129] มีสมาชิกตลอดชีวิต 25 คนที่สามารถโหวตได้จนถึงวันเกิดที่ 75[130] มีเจ้าหน้าที่สถาบัน 3 คนที่ได้จากการรับเลือก (คืออธิการบดี เหรัญญิก และเลขาธิการ)[131] และมีสมาชิกโดยตำแหน่ง 4 คน คือประธานสมาคมศิษย์เก่า ผู้ว่าการรัฐแมสซาชูเซตส์ เลขาธิการการศึกษารัฐแมสซาชูเซตส์ และหัวหน้าผู้พิพากษาของศาลสูงสุดของรัฐแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Supreme Judicial Court)[132][133]

ประธานคณะทรัสตีคนปัจจุบันคือ โรเบิรต์ มิลลาร์ด ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะผู้จัดตั้งบริษัท L-3 Communications[134][135]คณะทรัสตีมีอำนาจอนุมัติเงินงบประมาณ โปรแกรมการศึกษา ปริญญาใหม่ และการแต่งตั้งอาจารย์ และเลือกอธิการบดีให้เป็นประธานบริหารสถาบันและเป็นประธานของคณะการศึกษา[92][136]

กองทุนสั่งสมและทรัพย์สินทางการเงินอื่น ๆ ของสถาบัน มีการบริหารโดยบริษัทย่อยคือ บริษัทบริหารการลงทุนเอ็มไอที (MIT Investment Management Company)[137] ในปี ค.ศ. 2015 กองทุนสั่งสมของสถาบันมีค่าประมาณ 13,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[2] เป็นกองทุนที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 2014[138]

MIT แบ่งออกเป็น 5 โรงเรียน (school) และ 1 วิทยาลัย (college) คือโรงเรียนวิทยาศาสตร์ โรงเรียนวิศวกรรมศาสตร์ โรงเรียนสถาปัตยกรรมและการวางแผน โรงเรียนการบริหารสโลน โรงเรียนมนุษยศาสคร์ ศิลปศาสตร์ และสังคมศาสตร์ และวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสุขภาพวิทะเกอร์ แต่สถาบันไม่มีโรงเรียนเกี่ยวกับกฎหมายหรือการแพทย์[139][lower-alpha 6] แม้ว่าคณะอาจารย์ต่าง ๆ จะมีอิทธิพลในเรื่องหลักสูตรการสอน งานวิจัย วิถีชีวิตของนักศึกษา และการบริหารสถาบันด้านอื่น ๆ[141] แต่ประธานของคณะศึกษากว่า 32 คณะก็ยังอยู่ใต้บังคับบัญชาของคณบดี ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของ Provost (ซึ่งดำเนินงานเป็นรองอธิการบดี) ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของอธิการบดีอีกทีหนึ่ง[142]

อธิการบดีคนปัจจุบันคือ ศ.แอ็ล ราฟาเอล รีฟ ผู้เคยทำหน้าที่เป็น provost ของอธิการบดีซูซาน ฮ็อกฟิลด์ ที่เป็นอธิการบดีหญิงคนแรกของสถาบัน[143][144]

ใกล้เคียง

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันการบินพลเรือน สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ สถาบันวิทยาลัยชุมชน สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน สถาบันพระบรมราชชนก

แหล่งที่มา

WikiPedia: สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ http://scitech.people.com.cn/GB/10294899.html http://news.163.com/09/1031/17/5MVIKNT90001124J.ht... http://www.american-school-search.com/safety/massa... http://www.bbc.com/news/business-29086590 http://www.bloomberg.com/news/2011-03-10/harvard-m... http://www.boston.com/lifestyle/articles/2008/07/1... http://www.boston.com/news/education/higher/articl... http://www.boston.com/news/globe/magazine/articles... http://www.boston.com/news/globe/magazine/articles... http://www.boston.com/news/local/articles/2007/02/...