ความเป็นมา ของ สังคมนิยมตลาด

เศรษฐศาสตร์คลาสสิค

ส่วนหนึ่งของชุด
ระบบเศรษฐกิจ

หัวใจสำคัญของสังคมนิยมตลาด คือการปฏิเสธหลักการพื้นฐานของการดึงเอามูลค่าส่วนเกินซึ่งมาจากวิถีการผลิตที่ขูดรีด ของแนวคิดเศรษฐศาสตร์อื่น ๆ ทฤษฎีสังคมนิยมที่สนับสนุนกลไกตลาดนั้น ย้อนไปได้ถึงยุคของนักเศรษฐศาสตร์สำนักริคาร์เดียนและสำนักอนาธิปไตย ซึ่งอุทิศตนกับแนวคิดที่ว่าตลาดเสรีนั้นเข้ากันได้กับการที่สาธารณะสามารถมีกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิต หรือให้มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในปัจจัยการผลิต

ผู้นำเสนอแนวคิดเรื่องสังคมนิยมตลาดในยุคต้น ได้แก่จอห์น สจ๊วต มิลล์ ผู้เป็นทั้งนักเศรษฐศาสตร์สังคมนิยมสายริคาร์เดียน และนักปรัชญาเสรีนิยมคลาสสิค กับปิแอร์-โจเซฟ พรูดอน นักปรัชญาสายอนาธิปไตย โมเดลของทั้งสองท่านนี้ให้แนวคิดที่เป็นมรดกตกทอดด้านการปรับปรุงกลไกตลาดและระบบการกำหนดราคาเสรีให้สมบูรณ์แบบ โดยกำจัดความบิดเบือนของสิ่งเหล่านี้ที่มีสาเหตุมาจากการขูดรีด การมีทรัพย์สินของเอกชน และความรู้สึกแปลกแยกของแรงงาน

สังคมนิยมตลาดรูปแบบนี้ได้รับการขนานนามว่า สังคมนิยมตลาดเสรี เนื่องจากไม่ได้มีกลไกการวางแผนใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง[10][11]

จอห์น สจ๊วต มิลล์

ปรัชญาเศรษฐศาสตร์ของมิลล์ในช่วงต้นนั้น คือแนวคิดตลาดเสรีซึ่งมิลล์ขยับให้โน้มเอียงไปทางสังคมนิยม และมีการเพิ่มบทในหนังสือ หลักการเศรษฐศาสตร์การเมือง ของตนหลายบทเพื่อปกป้องสังคมนิยมทั้งทางทัศนะและแรงจูงใจ[12] หนังสือฉบับที่พิมพ์ครั้งต่อมามิลล์มีข้อเสนอว่าควรยกเลิกระบบค่าแรงแบบเหมาเพื่อหลีกทางให้กับระบบค่าแรงเชิงปฏิบัติการ อย่างไรก็ดีทัศนะบางประการของมิลล์ที่เกี่ยวกับภาษีอากรแนวราบยังคงมีอยู่[13] แม้กระนั้นหนังสือ หลักการเศรษฐศาสตร์การเมือง ฉบับพิมพ์ครั้งที่สามก็มีการปรับแก้เนื้อหาเพิ่มเติม เพื่อให้สะท้อนความกังวลด้านข้อจำกัดของรายได้ค้างรับ ซึ่งมิลล์สนับสนุน เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ที่ได้รับแล้ว ซึ่งมิลล์ไม่สนับสนุนเท่าใดนัก[14]

หนังสือ นานาหลักการ ของมิลล์ตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในปี 1848 และกลายเป็นหนังสือเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างกว้างขวางที่สุดในยุคนั้น[15] มีวุฒิฐานะเสมอกับหนังสือ ความมั่งคั่งของประชาชาติ ของอดัม สมิธ นอกจากนี้ นานาหลักการ ของมิลล์ยังได้ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในฐานะตำราสอนเศรษฐศาสตร์อีกด้วย ในมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดนั้น นานาหลักการ เป็นที่รับรองให้เป็นตำราเรียนมาตรฐานจนถึงปี 1919 จนกระทั่งมีการเปลี่ยนตำราหลักไปเป็นหนังสือ หลักการเศรษฐศาสตร์ ของอัลเฟรด มาร์แชล

ส่วนหนังสือ หลักการเศรษฐศาสตร์การเมือง ฉบับพิมพ์ครั้งหลัง ๆ ของมิลล์นั้น มีข้อวิภาษสำคัญว่า “กล่าวถึงทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ต่าง ๆ นั้น ไม่มีหลักการในทฤษฎีใดที่สามารถขัดขวางระเบียบทางเศรษฐกิจที่มีพื้นฐานของนโยบายแบบสังคมนิยมได้”[16][17]

นอกจากนี้มิลล์ยังส่งเสริมแนวคิดที่จะให้วิสาหกิจแบบสหกรณ์แรงงานมาทดแทนธุรกิจแบบนายทุนอีกด้วย โดยระบุว่า:

"อย่างไรก็ดี ถ้ามนุษยชาติมีจะการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องแล้ว รูปแบบแห่งความร่วมมือกันจะต้องมุ่งหมายไปที่จุดจบของอิทธิพลที่ครอบงำ และมิใช่รูปแบบที่นายทุนดำรงอยู่ในฐานะหัวหน้าในขณะที่คนงานไม่มีสิทธิมีเสียงในการบริหาร แต่ควรจะเป็นรูปแบบการร่วมมือกันที่แรงงานเท่านั้นควรจะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในปัจจัยทุนร่วมกันอย่างเท่าเทียม ซึ่งเขาเหล่านั้นจะสานต่อการดำเนินกิจการ รวมถึงทำงานภายใต้ผู้จัดการที่ได้รับการเลือกตั้งและสามารถถอดถอนได้ด้วยพวกเขาเอง"[18]

ประโยชน์ร่วมนิยม

ปิแอร์-โจเซฟ พรูดอน ได้พัฒนาระบบทฤษฎีที่เรียกว่าประโยชน์ร่วมนิยม ซึ่งโจมตีความชอบธรรมของสิทธิในทรัพย์สิน เงินอุดหนุน บรรษัทยักษ์ใหญ่ ระบบธนาคาร หรือรายได้จากการเช่าที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน ทัศนะของพรูดอนกล่าวถึงกลไกตลาดแบบกระจายศูนย์ ที่ซึ่งผู้คนสามารถเข้าถึงตลาดได้ด้วยอำนาจที่เท่าเทียม และปราศจากความเป็นทาสจากอัตราค่าจ้าง[19] หลายฝ่ายเชื่อว่าระบบสหกรณ์ สหภาพเครดิต และกรรมสิทธิ์โดยคนงานในรูปแบบอื่น ๆ สามารถทำได้จริงโดยมิต้องตกอยู่ใต้อำนาจรัฐ สังคมนิยมตลาดยังเคยมีอรรถาธิบายถึงภารกิจของนักอนาธิปไตยเชิงปัจเจกบางราย ซึ่งโต้แย้งกับความเชื่อที่ว่าตลาดเสรีนั้นจะจุนเจือบรรดาคนงาน และจะบั่นทอนกำลังของนายทุน[20][21]

อนาธิปไตยเชิงปัจเจกในสหรัฐอเมริกา

นักอนาธิปไตยและนักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน ยูนิส มิเนตต์ ชูสเตอร์ กล่าวว่า “มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าอนาธิไตยสายพรูโดเนียนได้ลงหลักปักฐานในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ 1848 เป็นอย่างช้า ในขณะที่นักอนาธิปไตยเชิงปัจเจกโจเซฟ วอร์เรน และสตีเฟน เพิร์ล แอนดรูส์ มีทัศนะว่ากลุ่มเหล่านั้นมิได้ตระหนักถึงอัตลักษณ์ดังกล่าว แต่กระนั้นวิลเลี่ยม บี. กรีนน์เสนอว่ามันคือชุมชนประโยชน์ร่วมนิยมสายพรูโดเนียน ที่มีความบริสุทธิ์ที่สุด และอยู่ร่วมกันด้วยรูปแบบที่เป็นระบบ[22] เป็นที่ยอมรับร่วมกันอย่างกว้างขวางว่าโจไซอาห์ วอร์เรน คือนักอนาธิปไตยชาวอเมริกันคนแรก[23] และวารสารรายสัปดาห์ความยาว 4 หน้า นักปฏิวัติผู้รักสันติ ที่เขาเขียนในปี 1833 นั้น ถือเป็นสื่อสิ่งพิมพ์เชิงอนาธิปไตยฉบับแรกที่ได้รับการตีพิมพ์[24] กิจการโรงพิมพ์ที่วอเรนก่อตั้งขึ้นนั้นประดิษฐ์แท่นพิมพ์ ตัวพิมพ์ และจานพิมพ์ ด้วยตนเอง[24]

วอร์เรนนั้นเป็นผู้ติดตามของโรเบิร์ต โอเวน และเข้าร่วมอาศัยในชุมชนของโอเวนที่เมืองนิวฮาร์โมนี่ มลรัฐอินเดียนา โจไซอาห์ วอร์เรน เป็นผู้ประดิษฐ์วลีที่ว่า “ตั้งต้นทุนที่ข้อจำกัดของราคา” ซึ่ง “ต้นทุน” ในที่นี้มิได้หมายถึงราคาชำระในรูปตัวเงิน แต่หมายถึงแรงงานที่คน ๆ หนึ่งใช้ในการผลิตสิ่ง ๆ หนึ่ง[25] ดังนั้น “[วอร์เรน]จึงเสนอระบบที่ชำระคู่ธุรกรรมด้วยใบรับรองซึ่งระบุจำนวนชั่วโมงทำงานที่ได้ลงมือทำ” ทุกคนสามารถใช้เอกสารนี้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนสินค้า ที่ใช้จำนวนชั่วโมงทำงานเท่ากันในการผลิต ได้ที่ร้านค้าท้องถิ่นที่ยอมรับบันทึกเวลาดังกล่าว[23] เขาทดสอบทฤษฎีนี้ด้วยการก่อตั้ง “ร้านค้าแรงงานเพื่อแรงงาน” ชื่อว่า ร้านค้าเวลาซินซินเนติ ซึ่งยอมรับการแลกเปลี่ยนสินค้าด้วยเอกสารที่รับรองการทำงานของแรงงาน ร้านค้านี้ประสบความสำเร็จและเปิดดำเนินการกว่า 3 ปี หลังจากนั้นจึงปิดตัวลงเพื่อให้วอร์เรนสามารถไปจัดตั้งอาณานิคมเชิงประโยชน์นิยมที่อื่น เช่น ยูโทเปีย และ โมเดิร์นไทม์ส ท้ายที่สุดวอร์เรนเคยกล่าวว่าหนังสือ วิทยาศาตร์แห่งสังคม ของสตีเฟน เพิร์ล แอนดรูส์ ที่ตีพิมพ์ในปี 1852 นั้นสามารถอธิบายทฤษฎีของตัววอร์เรนเองได้อย่างชัดเจนและสมบูรณ์ที่สุด[26]

หลังจากนั้น เบนจามิน ทัคเกอร์ ได้หลอมรวมแนวคิดเศรษฐศาสตร์ของวอร์เรนและพรูดอนเข้าด้วยกัน และตีพิมพ์แนวคิดเหล่านั้นในวารสาร เสรีภาพ โดยเรียกแนวคิดเหล่านี้ว่า “สังคมนิยม-อนาธิปัตย์”[27] ทัคเกอร์กล่าวว่า “ความจริงที่ว่า ในขณะที่ความเป็นอยู่ของชนชั้นหนึ่งพึ่งพิงการขายแรงงานของตนนั้น อีกชนชั้นหนึ่งกลับได้รับอภิสิทธิ์จากการขายสิ่งที่มิใช่แรงงาน […] ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับความเป็นไปเช่นนี้เท่า ๆ กับคนอื่น ๆ แต่เมื่อคนเรายกอภิสิทธิ์เหล่านี้ออกไป […] ทุกคนจะกลายเป็นแรงงานที่แลกเปลี่ยนกับมิตรแรงงานด้วยกัน […] ดังนั้นส่วนเกินที่มาจากการขูดรีด จึงเป็นสิ่งที่สังคมนิยม-อนาธิปัตย์เล็งที่จะกำจัด […] และช่วงชิงรางวัลที่บรรดาทุนเคยได้รับ”[27] นักอนาธิปไตยเชิงปัจเจกชาวอเมริกันเช่นทัคเกอร์มองตนเองในฐานะนักสังคมนิยมเศรษฐกิจกลไกตลาด พอ ๆ กับในฐานะปัจเจกชนทางการเมือง ในขณะเดียวกันก็ชี้ข้อโต้แย้งว่าความเป็นนัก “สังคมนิยม-อนาธิปัตย์” หรือ “สังคมนิยมเชิงปัจเจก” ของตนนั้นเป็นแนวคิดที่ “สอดคล้องกับแนวคิดแมนเชสเตอร์นิยม[28] ส่วนอนาธิปไตยตลาดปีกซ้ายนั้นคือสาขาใหม่ของอนาธิปไตยตลาดเสรี ที่มีพื้นฐานของการรื้อฟื้นทฤษฎีเช่นสังคมนิยมตลาด[29][30][31][32]

เศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิค

ต้นศตวรรษที่ 20

ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิคได้มอบองค์ความรู้พื้นฐานเชิงทฤษฎีที่ครอบคลุมกว่าเดิมแก่โมเดลสังคมนิยมตลาด โมเดลสังคมนิยมแบบนีโอคลาสสิคในยุคต้นนั้นกล่าวถึงบทบาทของคณะกรรมการวางแผนส่วนกลางในการกำหนดราคาให้เท่ากับต้นทุนส่วนเพิ่ม เพื่อให้บรรลุประสิทธิภาพพาเรโต้ในท้ายที่สุด แม้ว่าโมเดลในช่วงต้นเหล่านี้ไม่ได้มีการพึ่งพาตลาดแบบเดิม ๆ แต่ก็ยังนับว่าเป็นสังคมนิยมตลาดเนื่องจากมีการใช้ประโยชน์จากราคาและการคำนวณที่เป็นตัวเงิน ส่วนแนวคิดอื่น ๆ ของสังคมนิยมตลาดกล่าวถึงวิสาหกิจที่ถือกรรมสิทธิ์โดยสังคม หรือโดยสหกรณ์ผู้ผลิตที่ดำเนินการในระบบตลาดเสรี ภายใต้บรรทัดฐานของความสามารถในการทำกำไร ในขณะที่โมเดลในยุคหลังส่วนใหญ่เป็นข้อเสนอจากนักเศรษฐศาสตร์สำนักนีโอคลาสสิคชาวอเมริกัน ที่กล่าวว่ากรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิตโดยสาธารณะนั้น สามารถบรรลุได้โดยการเข้าไปถือกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์และเข้าไปมีอำนาจควบคุมการลงทุน

โมเดลสังคมนิยมนีโอคลาสสิคช่วงแรกสุดนั้นพัฒนาโดยเลออง วอลรัส, เอ็นริโค บาโรเน่ (1908)[33][34] และออสการ์ อาร์. แลงจ์ (1936)[35] โดยที่แลงจ์และเฟรด เอ็ม. เทย์เลอร์ (1929)[36] เสนอว่าคณะกรรมการวางแผนส่วนกลางควรกำหนดราคาด้วยการลองผิดลองถูก และเข้าไปปรับแก้เมื่อเกิดภาวะขาดแคลนหรือภาวะล้นตลาด แทนที่จะต้องพึ่งพากลไกราคาเสรี กรณีที่เกิดภาวะขาดแคลน ราคาควรปรับสูงขึ้น และถ้าเกิดภาวะล้นตลาด ราคาควรปรับให้ต่ำลง[37] การปรับราคาให้สูงขึ้นจะส่งเสริมให้ธุรกิจต่าง ๆ เพิ่มการผลิต เพราะหน่วยผลิตเหล่านั้นขับเคลื่อนด้วยแรงจูงใจที่จะเพิ่มกำไร และเมื่อการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นก็จะสามารถแก้ปัญหาภาวะขาดแคลนได้ ในขณะที่การปรับราคาให้ต่ำลงจะทำให้กิจการต่าง ๆ บีบตัวการผลิตให้ลดลงเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน ซึ่งสามารถทำให้กำจัดภาวะล้นตลาดได้ ดังนั้นแนวทางปฏิบัติแบบนี้จะทำหน้าที่เสมือนแบบจำลองของกลไกตลาด ซึ่งแลงจ์คิดว่าจะเอื้อให้สามารถบริหารจัดการอุปสงค์และอุปทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ[38]

แม้ว่าโมเดลแลงจ์-เลิร์นเนอร์นั้นนับว่ามีฐานะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนิยมตลาด อย่างไรก็ดี ควรมีอรรถธิบายเพิ่มเติมถึงแบบจำลองของกลไกตลาด เนื่องจากตลาดซื้อขายปัจจัยการผลิตนั้นมิได้ดำรงอยู่เพื่อจัดสรรสินค้าทุนจริง ๆ แต่วัตถุประสงค์ของโมเดลแลงจ์-เลิร์นเนอร์นั้นคือการปรับเปลี่ยนจากการใช้กลไกตลาด ไปสู่กลไกไร้ตลาดเพื่อจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ[39][40]

เอช. ดี. ดิ๊กกินสัน ตีพิมพ์บทความสองชิ้นที่กล่าวถึงรูปแบบหนึ่งของสังคมนิยมตลาด เรียกว่า “รูปแบบราคาในชุมชนสังคมนิยม” (The Economic Journal 1933) และ “ปัญหาของเศรษฐกิจสังคมนิยม” (The Economic Journal 1934) ดิ๊กกินสันได้เสนอทางออกเชิงคณิตศาสตร์ประการหนึ่งเพื่อแก้โจทย์ทางเศรษฐกิจสังนิยมที่คณะกรรมการวางแผนส่วนกลางกำลังประสบอยู่ คณะกรรมการฯควรต้องมีข้อมูลเชิงสถิติด้านเศรษฐศาสตร์ที่จำเป็น ตลอดจนควรต้องมีขีดความสามารถในการใช้สถิติที่ได้ไปในการชี้นำการผลิต นอกจากนี้เศรษฐกิจควรเขียนบรรยายได้ด้วยระบบสมการ มูลค่าของคำตอบจากสมการเหล่านี้สามารถนำไปใช้เพื่อกำหนดราคาสินค้าต่าง ๆ ให้เท่ากันกับต้นทุนส่วนเพิ่ม และนำไปใช้เพื่อกำหนดทิศทางการผลิต อย่างไรก็ดี ฮาเยค (1935) ได้โต้แย้งแนวคิดการจำลองตลาดด้วยสมการแบบนี้ ดิ๊กกินสัน (1939) จึงรับเอาข้อเสนอของโมเดลแลงจ์-เทย์เลอร์ในการทำแบบจำลองตลาดด้วยวิธีปฏิบัติแบบลองผิดลองถูก

โมเดลสังคมนิยมตลาดฉบับแลงจ์-ดิ๊กกินสันนั้น ยังรักษาไว้ซึ่งการลงทุนนอกกลไกตลาด แลงจ์ (1926 p65) ยืนกรานว่าคณะกรรมการวางแผนส่วนกลางควรมีสิทธิในการตั้งอัตราการสะสมทุนตามที่เห็นสมควร นอกจากนี้แลงจ์และดิ๊กกินสันยังเล็งเห็นปัญหาการบริหารจัดการแบบราชการในระบบสังคมนิยมตลาดอีกด้วย ตามที่ดิ๊กกินสันเคยกล่าวไว้ว่า “ความพยายามที่จะตรวจสอบความรับผิดรับชอบของผู้จัดการวิสาหกิจที่มากเกินไป จะทำให้ผู้จัดการเหล่านั้นถูกตรึงไว้ด้วยระบบระเบียบแบบราชการ อันจะทำให้สูญเสียความคิดริเริ่มและความอิสระในการดำเนินงาน” (Dickinson 1938, p.214) ในหนังสือ เศรษฐศาสตร์แห่งการมีอำนาจควบคุม: หลักการของเศรษฐศาสตร์สวัสดิการ (1944) แอ๊บบ้า เลิร์นเนอร์ยอมรับว่าในระบบสังคมนิยมตลาดนั้นอาจมีความเป็นไปได้ว่าการลงทุนมีสิทธิที่จะถูกบิดเบือนด้วยวาระทางการเมือง

ปลายศตวรรษที่ 20 และต้นศตวรรษที่ 21

ฮยาโรสลาฟ ฟานเน็ก ชาวเช็ค และบรังโก ฮอร์วาท ชาวโครแอท คือนักเศรษฐศาสตร์สองท่านที่นำสังคมนิยมตลาดไปเผยแพร่ในอดีตประเทศยูโกสลาเวีย และขนานนามใหม่ว่าโมเดลอิลลิเรียน มีลักษณะสำคัญว่าวิสาหกิจหรือหน่วยผลิตนั้นถือกรรมสิทธิ์โดยลูกจ้าง และจัดวางโครงสร้างให้คนงานบริหารจัดการตนเอง อีกทั้งแข่งขันกันเองในตลาดเปิดเสรี

นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 มีการพัฒนาฐานโมเดลเช่นสังคมนิยมที่ใช้คูปอง (โดยนักเศรษฐศาสตร์จอห์น โรมเมอร์) และประชาธิปไตยเชิงเศรษฐกิจ (โดยนักปรัชญาเดวิด ชไวการ์ต)

ประนาภ พรฐาน และจอห์น โรเมอร์ ยังได้นำเสนอสังคมนิยมตลาดอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีตลาดหุ้นทำหน้าที่จัดสรรทุนเรือนหุ้นไปสู่พลเมืองเท่า ๆ กัน อย่างไรก็ดี ไม่มีการซื้อหรือขายจริงที่ตลาดหุ้นแห่งนี้ เพราะจะทำให้เกิดผลกระทบด้านลบจากการกระจุกตัวของกรรมสิทธิ์ในทุน ปรากฏว่าโมเดลของพรฐานและโรมเมอร์ตอบโจทย์ข้อเรียกร้องหลักของทั้งสังคมนิยม (คนงานถือกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิตทั้งปวง มิใช่แค่ปัจจัยแรงงาน) และเศรษฐกิจแบบกลไกตลาด (ราคาเป็นตัวกำหนดความมีประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากรทั้งปวง) นักเศรษฐศาสตร์ชาวนิวซีแลนด์สตีเว่น โอ’ดอนเนล ขยายความโมเดลของพรฐานและโรมเมอร์ไปอีกขั้น ด้วยการแยกองค์ประกอบการทำงานของทุนในระบบดุลยภาพทั่วไป ให้เชื่อมโยงกับกิจกรรมเชิงวิสาหกิจภายใต้เศรษฐกิจแบบสังคมนิยมตลาด โอ’ดอนเนล (2003) ยังได้สร้างโมเดลที่สามารถนำไปใช้เป็นพิมพ์เขียวในประเด็นเรื่องเศรษฐกิจช่วงเปลี่ยนผ่าน ผลของโมเดลชี้ให้เห็นว่าแม้โดยธรรมชาตินั้นโมเดลสังคมนิยมตลาดจะไม่เสถียรในระยะยาว แต่ก็สามารถจัดหาสิ่งที่จำเป็นที่เอื้อให้การเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจแบบวางแผนไปเป็นเศรษฐกิจกลไกตลาด ให้กับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะสั้นได้

ช่วงต้นของศตวรรษที่ 21 นักเศรษฐศาสตร์มาร์กเซียนริชาร์ด ดี. วูลฟ์ ได้นำหลักการเศรษฐศาสตร์มาร์กเซียนกลับมาศึกษาใหม่ โดยเจาะลึกไปที่ระดับฐานย่อยขององค์ความรู้ แนวคิดหลักของวูลฟ์คือ การเปลี่ยนผ่านจากทุนนิยมไปสู่สังคมนิยมนั้น จำเป็นต้องมีการปรับผังองค์กรของวิสาหกิจจากระบบบนสู่ล่างตามแบบฉบับโมเดลของทุนนิยม ไปสู่โมเดลที่การตัดสินใจที่สำคัญของกิจการทั้งหมดนั้น (ว่าจะเรื่องการผลิตอะไร อย่างไร ที่ไหน และจะทำอะไรกับผลผลิต) เป็นไปได้ด้วยระบบคนงานหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง วูลฟ์เรียกสิ่งนี้ว่า วิสาหกิจคนงานดูแลตนเอง (WSDEs) คนงานเหล่านั้นจะมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันหรือกับลูกค้าอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจที่เปิดเผยแบบสังคมประชาธิปไตย อันจะส่งผลไปถึงตลาดหรือการวางแผน หรือทั้งสองอย่าง

ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมนิยมตลาดเช่นฮยาโรสลาฟ ฟานเน็ก อ้างว่าตลาดเสรีที่แท้จริงนั้นเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ ภายใต้เงื่อนไขการถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเพื่อการผลิตโดยเอกชน ในทางกลับกัน ฟานเน็กยืนยันว่าความแตกต่างและความไม่เท่าเทียมทางชนชั้นในเชิงรายได้หรืออำนาจควบคุมอันเป็นผลจากการถือกรรมสิทธิ์โดยเอกชนนั้น เอื้อประโยชน์แก่ชนชั้นที่เป็นผู้ครอบงำ และทำให้ชนชั้นนี้สามารถชี้นำตลาดให้เป็นคุณต่อพวกตนได้ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบการผูกขาดตลาดและรูปแบบอำนาจในการควบคุมตลาด หรือโดยใช้ประโยชน์จากความร่ำรวยและทรัพยากรในการให้ภาครัฐออกกฏหมายเชิงนโยบายที่เอื้อประโยชน์ที่เฉพาะเจาะจงให้กับกิจการของชนชั้นนี้ นอกจากนั้น ฟานเน็กยังระบุด้วยว่า คนงานในเศรษฐกิจสังคมนิยมรูปแบบสหกรณ์และวิสาหกิจดูแลตนเองนั้น จะมีแรงจูงใจที่ชัดเจนกว่า ที่จะทำงานให้บรรลุผลิตภาพสูงสุด เพราะคนงานเหล่านั้นจะได้รับส่วนแบ่งกำไร (ในฐานของผลลัพธ์โดยรวมของกิจการ) เพิ่มเติมจากรายได้จากค่าจ้างหรือเงินเดือนตามปกติ แรงจูงใจดังกล่าวอาจสัมฤทธิ์ผลได้ภายใต้เศรษฐกิจตลาดเสรีหากการที่ลูกจ้างถือกรรมสิทธิ์ในบริษัทเป็นค่านิยมปกติ จากการกล่าวอ้างของนักคิดเช่นหลุยส์ โอ. เคลโซ และเจมส์ เอส. อัลบัส[41]

เศรษฐศาสตร์ปรปักษ์ดุลยภาพ

มีโมเดลสังคมนิยมตลาดอีกรูปแบบหนึ่งที่เผยแพร่โดยนักวิพากษ์แนวคิดเรื่องการวางแผนจากส่วนกลาง และนักวิพากษ์แนวคิดเรื่องทฤษฎีดุลยภาพทั่วไปสายนีโอคลาสสิค นักเศรษฐศาสตร์ที่ควรกล่าวถึงได้เหล่านี้แก่ อาเลค โนเฟอ และฮยานอส คอร์ไน โดยที่ อาเลค โนเฟอ เสนอสิ่งที่ตนเรียกว่า สังคมนิยมที่ปฏิบัติได้จริง ซึ่งกอรปด้วยแนวคิดแบบรัฐวิสาหกิจภายใต้เศรษฐกิจผสม บริษัทมหาชนที่พึ่งพาตนเอง สหกรณ์ และวิสาหกิจเอกชนขนาดเล็ก ที่ดำเนินงานในเศรษฐกิจกลไกตลาด แนวคิดนี้ยังรวมไปถึงบทบาทของการวางแผนในระดับเศรษฐกิจมหภาคอีกด้วย[42]

แหล่งที่มา

WikiPedia: สังคมนิยมตลาด http://links.org.au/node/14 http://mutualist.blogspot.com/2006/01/eugene-plawi... http://mutualist.blogspot.com/2006/07/js-mill-mark... http://sheldonfreeassociation.blogspot.com/2006/07... http://bradspangler.com/blog/archives/473 http://us.ft.com/ftgateway/superpage.ft?news_id%3D... http://radgeek.com/gt/2010/03/02/liberty-equality-... http://www.slate.com/id/2279457/ http://www.theamericanconservative.com/blog/libert... http://invisiblemolotov.wordpress.com/2009/09/12/s...