สงครามโลกครั้งที่สอง ของ สากลที่สี่

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองปะทุในปี 1939 สำนักเลขาธิการสากลย้ายไปยังนครนิวยอร์ก คณะกรรมการบริหารสากลในสหรัฐไม่สามารถจัดประชุมได้ ส่วนใหญ่เนื่องจากการต่อสู้ในพรรคกรรมกรสังคมนิยม (Socialist Workers Party, SWP) ระหว่างผู้สนับสนุนของทรอตสกีกับแนวทางของแม็กซ์ ชากต์มัน, มาร์ติน แอเบิร์น และเจมส์ เบอร์นัม สำนักเลขาธิการประกอบด้วยสมาชิกคณะกรรมการเหล่านี้ซึ่งปรากฏว่าอยู่ในนคร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ร่วมคิดของชากต์มัน[22] ความไม่ลงรอยกันนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่ความไม่เห็นด้วยของชากต์มันต่อนโยบายภายในของพรรค[23] และต่อการแก้ต่างอย่างไม่มีเงื่อนไขของ FI ต่อสหภาพโซเวียต[24]

ทรอตสกีเปิดการโต้วาทีสาธารณะกับชากต์มันและเบอร์นัม และพัฒนาจุดยืนของเขาในบทโจมตีชุดที่เขียนขึ้นระหว่างปี 1939–1940 และต่อมารวบรวมในชื่อ ในการแก้ต่างลัทธิมากซ์ (In Defense of Marxism) ผู้โน้มเอียงไปในทางของชากต์มันและเบอร์นัมลาออกจากองค์การสากลในต้นปี 1940 ร่วมกับสมาชิก SWP ประมาณร้อยละ 40[25]

การประชุมฉุกเฉิน

ในเดือนพฤษภาคม 1940 การประชุมฉุกเฉินขององค์การสากลจัดขึ้นในสถานที่ลับ "ที่ไหนสักที่ในซีกโลกตะวันตก" ที่ประชุมรับรองคำประกาศเจตนาที่ทรอตสกีร่างขึ้นไม่นานก่อนเขาถูกลอบสังหาร และมีนโยบายต่าง ๆ ที่อยู่ในงานขององค์การสากล รวมทั้งการเรียกร้องให้สร้างเอกภาพของกลุ่มสากลที่สี่ในบริเตนที่แตกแยกกันอยู่ในเวลานั้น[26] สมาชิกสำนักเลขาธิการที่สนับสนุนชากต์มันถูกที่ประชุมฉุกเฉินขับออก ด้วยการสนับสนุนของทรอตสกีเอง[27] ขณะที่หัวหน้า SWP เจมส์ พี. แคนนอน ต่อมากล่าวว่าเขาไม่เชื่อว่าการแตกแยกจะเป็นที่สุด แต่ทั้งสองกลุ่มก็มิได้กลับมารวมกัน มีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสากล ซึ่งมาอยู่ภายใต้อิทธิพลของพรรคกรรมกรสังคมนิยมที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ[27]

สากลที่สี่ได้รับผลกระทบหนักระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ทรอตสกีถูกลอบสังหาร เครือข่ายยุโรปของ FI จำนวนมากถูกนาซีทำลายและเครือข่ายเอเชียจำนวนมากถูกจักรวรรดิญี่ปุ่นทำลายเช่นกัน ผู้รอดชีวิตทั้งในยุโรป เอเชีย และที่อื่น ๆ ถูกตัดขาดออกจากกันและจากสำนักเลขาธิการองค์การสากล ฌ็อง วาน แอแยนอร์ต (Jean Van Heijenoort) เลขาธิการคนใหม่ ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักนอกจากพิมพ์เผยแพร่บทความในวารสารทฤษฎีของ SWP ชื่อ สากลที่สี่[27] แต่ถึงแม้มีการพลัดถิ่น หลายกลุ่มยังต่อสู้เพื่อรักษาความเชื่อมโยงและสายสัมพันธ์ตลอดช่วงต้นของสงครามโดยกะลาสีที่สมัครอยู่ในกองทัพเรือสหรัฐ ซึ่งมีเหตุผลให้ไปเยือนมาร์แซย์[28] การติดต่อยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้ไม่มีระยะเวลาแน่นอน ระหว่าง SWP กับนักลัทธิทรอตสกีบริติช ผลลัพธ์คือชาวอเมริกันใช้อิทธิพลที่มีอยู่กระตุ้นสันนิบาตสากลกรรมกรรวมเข้ากับองค์การสากลผ่านการรวมกับสันนิบาตสังคมนิยมปฏิวัติ ซึ่งเป็นสหภาพที่การประชุมฉุกเฉินขอมา[29]

ในปี 1942 มีการโต้วาทีในเรื่องปัญหาชาติในทวีปยุโรประหว่างสมาชิกส่วนใหญ่ของ SWP กับขบวนการที่มีวาน แอแยนอร์ต, แอลเบิร์ต โกลด์แมน และฟีลิกซ์ มอร์โรว์ เป็นผู้นำ[30] กลุ่มส่วนน้อยกลุ่มหลังนี้คาดว่าเผด็จการนาซีจะถูกแทนที่ด้วยทุนนิยมมิใช่การปฏิวัติสังคมนิยม นำไปสู่การฟื้นตัวของลัทธิสตาลินและประชาธิปไตยสังคมนิยม ในเดือนธันวาคม 1943 พวกเขาวิจารณ์ทัศนะของ SWP ว่าประเมินเกียรติภูมิที่กำลังเพิ่มขึ้นของลัทธิสตาลินและโอกาสสำหรับนักทุนนิยมที่จะมีการยอมผ่อนปรนตามแบบประชาธิปไตยต่ำเกินไป[31] คณะกรรมการกลางของ SWP ให้เหตุผลว่าทุนนิยมประชาธิปไตยไม่อาจฟื้นตัวได้ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดเผด็จการทหารโดยนักทุนนิยมหรือการปฏิวัติของกรรมกร[32] และมองว่าจะยิ่งส่งเสริมความจำเป็นสำหรับการสร้างสากลที่สี่ และยึดมั่นอย่างเข้มงวดต่อการตีความงานของทรอตสกีตามแบบของคณะกรรมการฯ

การประชุมยุโรป

การโต้วาทียามสงครามเกี่ยวกับทัศนะหลังสงครามถูกเร่งด้วยข้อมติของการประชุมยุโรปในเดือนกุมภาพันธ์ 1944 ของสากลที่สี่ ที่ประชุมแต่งตั้งเลขาธิการยุโรปคนใหม่และเลือกตั้งมีคาลิส รัปติส ชาวกรีกซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่ามีเชล ปาโบล เป็นเลขาธิการองค์การในยุโรป รัปติสและสมาชิกคนอื่นเริ่มการติดต่ออีกครั้งระหว่างพรรคการเมืองสายทรอตสกี การประชุมยุโรปขยายบทเรียนของการปฏิวัติที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศอิตาลี และสรุปว่าคลื่นปฏิวัติจะกวาดทั่วทวีปยุโรปเมื่อสงครามยุติ[33] SWP มีทัศนะคล้ายกัน[34] พรรคคอมมิวนิสต์ปฏิวัติบริติชไม่เห็นด้วย และมองว่าทุนนิยมจะไม่ตกลงสู่วิกฤตใหญ่ แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจกำลังเกิดขึ้นแล้ว[35] กลุ่มหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์สากลนิยมฝรั่งเศสให้เหตุผลคล้ายกันจนกระทั่งถูกขับออกจาก PCI ในปี 1948[36]

การประชุมระหว่างประเทศ

ในเดือนเมษายน 1946 ผู้แทนจากภาคส่วนยุโรปที่สำคัญและกลุ่มอื่นมีจำนวนหนึ่งเข้าร่วม "การประชุมใหญ่สากลครั้งที่สอง" ซึ่งมีริเริ่มการตั้งสำนักเลขาธิการสากลของสากลที่สี่ใหม่โดยมี มีคาลิส รัปติส เป็นเลขาธิการ และแอร์เนสต์ มันเดล ชาวเบลเยียม มีบทบาทนำ

ปาโบลและมันเดลมุ่งตอบโต้ฝ่ายต่อต้านของฝ่ายข้างมากในพรรคคอมมิวนิสต์ปฏิวัติบริติชและพรรคคอมมิวนิสต์สากลนิยมฝรั่งเศส เดิมทีพวกเขากระตุ้นสมาชิกพรรคให้ออกเสียงขับหัวหน้าพรรคออก พวกเขาสนับสนุนฝ่ายต่อต้านของเจร์รี ฮีลี ใน RCP ส่วนในประเทศฝรั่งเศส พวกเขาสนับสนุนสมาชิกบางส่วน รวมทั้งปีแยร์ ฟร็องก์ และมาร์แซล ไบลพ์ทร็อย คัดค้านหัวหน้าพรรคคนใหม่ของ PCI แต่ด้วยเหตุผลต่างกัน[37]

การยึดครองยุโรปตะวันออกของสตาลินเป็นประเด็นความกังวลหลัก และได้ก่อให้เกิดปัญหาการตีความ ทีแรก องค์การสากลมองว่าแม้ว่าสหภาพโซเวียตเป็นรัฐกรรมกรเสื่อมสภาพ แต่รัฐยุโรปตะวันออกหลังสงครามโลกครั้งที่สองยังเป็นรัฐของกระฎุมพี เนื่องจากการปฏิวัติจากข้างบนเป็นไปไม่ได้ และทุนนิยมยังคงอยู่รอด[38]

อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องจัดการคือความเป็นไปได้ของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งทีแรกมันเดลปฏิเสธ (แต่ถูกบีบให้ทบทวนความเห็นของตนอย่างรวดเร็ว และต่อมาอุทิศดุษฎีนิพนธ์ของเขาให้กับทุนนิยมขั้นปลาย โดยวิเคราะห์ "ยุคที่สาม" ที่ไม่ได้คาดคิดของการพัฒนาทุนนิยม) ทัศนะของมันเดลสะท้อนความไม่แน่นอนในเวลานั้นเกี่ยวกับการคงอยู่ได้และการคาดการณ์ในอนาคตของทุนนิยม ไม่เพียงแต่ในกลุ่มนักลัทธิทรอตสกีต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำด้วย[39]

แหล่งที่มา

WikiPedia: สากลที่สี่ http://www.marx2mao.com/Stalin/ICRD28.html http://www.marxists.de/trotism/callinicos/2-2_cris... http://listserv.cddc.vt.edu/marxists/cd/cd1/Librar... http://listserv.cddc.vt.edu/marxists/history/etol/... http://www.istendency.net/pdf/Regroupment.pdf http://www.socialistworld.net/publications/history... http://www.bolshevik.org/history/Tr-breit.htm http://www.fifthinternational.org/LFIfiles/LFIcall... http://marx.org/history/etol/document/1930s/four.h... http://marxists.org/history/etol/writers/frank/wor...