มรดก ของ อัศวินเทมพลาร์

โบสถ์เทมเพิล ลอนดอน เป็นเสมือนวิหารของเทมเพิลใหม่ในลอนดอน เป็นสถานที่สำหรับจัดพิธีรับเข้าเป็นสมาชิกของเทมพลาร์ ในปัจจุบันเป็นโบสถ์ของเทมเพิลกลางและเทมเพิลใน สองในเนติบัณฑิตยสภาของอังกฤษ เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยว

ด้วยภารกิจทางทหารและแหล่งการเงินที่แผ่กว้าง อัศวินเทมพลาร์มีกองทุนมหาศาลสำหรับสร้างสิ่งก่อสร้างจำนวนมากทั่วยุโรปและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สิ่งก่อสร้างหลายแห่งยังคงยืนหยัดอยู่จนถึงปัจจุบัน หลายแห่งมีคำว่า "เทมเพิล (Temple)" อยู่ในชื่อเพราะมีความเกี่ยวข้องกับเทมพลาร์มาหลายศตวรรษ[56] เช่น ผืนดินของเทมพลาร์บางแห่งในลอนดอนซึ่งภายถูกเช่าโดยทนายความ เป็นเหตุนำมาซึ่งชื่อของประตูเทมเพิลบาร์ (Temple Bar) และสถานีรถไฟใต้ดินเทมเพิล รวมถึงสองในสี่แห่งของเนติบัณฑิตยสภาของอังกฤษ (Inns of Court) ซึ่งเป็นสถานฝึกสอนเนติบัณฑิตคือเทมเพิลใน (Inner Temple) และ เทมเพิลกลาง (Middle Temple)

สิ่งที่โดดเด่นทางสถาปัตยกรรมของสิ่งก่อสร้างของเทมพลาร์คือการใช้รูปของ "อัศวินสองนายขี่ม้าตัวเดียวกัน" ซึ่งเป็นตัวแทนความขัดสนของอัศวิน และสิ่งก่อสร้างทรงกลมที่ออกแบบคล้ายกับโบสถ์แห่งสุสานศักดิ์สิทธิ์ (Church of the Holy Sepulchre) ในเยรูซาเลม[57]

องค์กรเทมพลาร์ในปัจจุบัน

เรื่องราวของการประหัตประหารและการสลายตัวอย่างฉับพลันของเหล่าเทมพลาร์ยุคกลางที่ลึกลับแต่ทรงพลังได้ดึงเอากลุ่มอื่น ๆ มากมายมาใช้การกล่าวอ้างถึงความเชื่อมโยงกับเทมพลาร์เพื่อปรับปรุงภาพลักษณ์และความลึกลับของตนเอง[58] ไม่มีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนระหว่างอัศวินเทมพลาร์ซึ่งถูกลบออกจากม้วนบันทึกของคริสตจักรคาทอลิกใน ค.ศ. 1309 ด้วยการตายของฌักแห่งมอแล และองค์กรยุคใหม่ต่างๆ ซึ่งปรากฏต่อสาธารณะครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 18[59][60][61][62]

ฟรีเมสัน

ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18[2] ฟรีเมสันได้รวมสัญลักษณ์และพิธีกรรมของภาคีทหารยุคกลางหลายภาคีไว้ในองค์กรเมสันย่อย (Masonic bodies) ต่างๆ ที่โดดเด่นสุดคือ กางเขนแดงแห่งคอนสแตนติน (Red Cross of Constantine) ซึ่งได้แรงบรรดาลใจจาก Military Constantinian Order ภาคีแห่งมอลตา (Order of Malta) ได้แรงบันดาลใจจากอัศวินฮอสปิทัลเลอร์ และภาคีแห่งวิหาร (Order of the Temple) ได้แรงบันดาลใจจากอัศวินเทมพลาร์ โดยเฉพาะสองภาคีหลังมีชื่อเสียงอย่างมากใน York Rite ทฤษฎีหนึ่งอ้างว่าฟรีเมสันสืบสายตรงมาจากอัศวินเทมพลาร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ผู้อพยพหลบหนีข้อกล่าวหาไปยังประเทศสกอตแลนด์และช่วยโรเบิร์ต เดอะ บรูซ (Robert the Bruce) ให้ได้รับชัยชนะที่แบนน็อคเบิร์น ทฤษฎีนี้ถูกปฏิเสธทั้งจากผู้มีอำนาจในองค์กรเมสันย่อย[63] และนักประวัติศาสตร์ [64]เนื่องจากไม่มีหลักฐาน มีคำพูดของนักวิชาการคนหนึ่งกล่าวว่า "ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงอัศวินเทมพลาร์เข้ากับฟรีเมสัน"[65]

ตำนานและวัตถุศักดิ์สิทธิ์

ดูบทความหลักที่: ตำนานอัศวินเทมพลาร์

อัศวินเทมพลาร์ถูกนำไปเชื่อมโยงกับตำนานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความลึกลับเหนือหลักการทั่วไปที่สืบย้อนไปตั้งแต่สมัยโบราณ มีการกระพือข่าวลือแม้แต่ช่วงสมัยของเทมพลาร์เอง นักเขียนฟรีเมสันได้เพิ่มความคิดคาดเดาของพวกเขาลงไปในงานเขียนในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และยังมีการเพิ่มเติมเสริมแต่งในนวนิยายยอดนิยม เช่น ไอแวนโฮ (Ivanhoe) ฟูโกล์ แพนดูลัม (Foucault's Pendulum) และ รหัสลับดาวินชี[2] ภาพยนตร์สมัยใหม่ เช่น ปฏิบัติการเดือดล่าขุมทรัพย์สุดขอบโลก และ ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 3 ตอน ศึกอภินิหารครูเสด หรือในวิดีโอเกม เช่น Broken Sword และ Assassin's Creed[66]

โดมทองแห่งเยรูซาเลม หนึ่งในสิ่งก่อสร้างบนภูเขาเทมเพิล

หลายตำนานของเทมพลาร์เกี่ยวข้องกับกองบัญชาการในยุคต้น ๆ บนภูเขาเทมเพิลในเยรูซาเลมซึ่งมีการคาดเดากันว่าเทมพลาร์อาจพบเรลิกบางอย่างที่นั่น เช่น จอกศักดิ์สิทธิ์ หรือ หีบแห่งพันธสัญญา[2][12][54] นั่นก็คือเทมพลาร์ต้องครอบครองสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางอย่างอยู่แน่นอน โบสถ์หลายแห่งนั้นยังคงแสดงวัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์ เช่น กระดูกนักบุญ เศษผ้าสวมใส่โดยนักบวชผู้ศักดิ์สิทธิ์ หรือกะโหลกของมรณสักขี (martyr) เทมพลาร์ก็ทำเช่นเดียวกัน มีบันทึกของเทมพลาร์ว่ามีกางเขนแท้ (True Cross) ชิ้นหนึ่งที่มุขนายกแห่งเอเคอร์นำติดตัวเข้าสู่การรบที่พบกับความย่อยยับที่เขาแห่งฮัททิน[67] เมื่อการรบยุติลง ศอลาฮุดดีนได้ยึดเรลิกชิ้นนี้ไป ภายหลังนักรบสงครามครูเสดได้ไถ่คืนกลับมาเมื่อมุสลิมยอมจำนนที่เมืองเอเคอร์ในปี ค.ศ. 1191[68] นอกจากนี้เป็นที่รู้กันว่าเทมพลาร์ได้ครอบครองศีรษะของนักบุญยูฟีเมียแห่งคาล์เซดอน (Saint Euphemia of Chalcedon)[69] มีประเด็นของเรลิกที่พบระหว่างการสืบสวนพวกเทมพลาร์ ตามเอกสารการพิจารณาคดีหลายฉบับระบุบการสักการะรูปเคารพบางชนิด เช่น แมว ศีรษะมนุษย์ที่มีเครา หรือในบางกรณีเป็นบาโฟเมต (Baphomet) ข้อกล่าวหาเหล่านี้ นำไปสู่ความเชื่อในปัจจุบันที่ว่าเทมพลาร์ฝึกฝนการใช้เวทมนตร์คาถา[70] อย่างไรก็ตาม นักวิชาการส่วนใหญ่ในปัจจุบันได้อธิบายว่าชื่อบาโฟเมตจากเอกสารพิจารณาคดีเป็นการสะกดชื่อมุหัมมัด (Mahomet) ผิดในภาษาฝรั่งเศส[2][71]

จอกศักดิ์สิทธิ์ได้เข้ามาเกี่ยวพันกับเทมพลาร์ราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 นิยายวีรคติที่เกี่ยวกับจอกศักดิ์สิทธิ์เรื่องแรก Le Conte du Graal (เรื่องเล่าของจอกศักดิ์สิทธิ์) ซึ่งเขียนขึ้นราว ค.ศ. 1180 โดยเครเตียง เดอ ทรัว ผู้มาจากที่แห่งเดียวกันกับสถานที่ซึ่งที่ประชุมสภาสังคายนาแห่งทรอยส์ (Council of Troyes) ได้สนับสนุนคณะเทมพลาร์อย่างเป็นทางการ สิบสองปีหลังจากนั้น Parzival นิทานของวอลฟรัม ฟอน เอสเชนบัค (Wolfram von Eschenbach) ได้อ้างถึงเหล่าอัศวินที่เรียกว่า "Templeisen (เทมไพลเซน)" ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องอาณาจักรแห่งจอกศักดิ์สิทธิ์[72] วีรบุรุษอื่นที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาจอกศักดิ์สิทธิ์ เซอร์กาลลาเฮด (วรรณกรรมศตวรรษที่ 13 ประพันธ์โดยนักพรตจากคณะซิสเตอร์เชียนแห่งนักบุญแบร์นาร์) ที่ได้รับการพรรณาภาพที่ปรากฏบนโล่เป็นรูปกางเขนแห่งนักบุญจอร์จ ซึ่งคล้ายกับตราของเทมพลาร์ นอกจากนี้ วรรณกรรมชิ้นนี้ยังได้แสดงถึงว่าจอกศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเรลิกศาสนาคริสต์ ตำนานเริ่มมาจากเทมพลาร์มีกองบัญชาการอยู่ที่ภูเขาเทมเพิลในเยรูซาเลม พวกเขาต้องมีการขุดเพื่อค้นหาเรลิกและพบจอกศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นนำไปเก็บรักษาในที่รับและพิทักษ์มันไว้ด้วยชีวิต อย่างไรก็ตาม ในเอกสารสอบสวนเทมพลาร์ที่แพร่หลาย ไม่มีประโยคใดเอ่ยถึงสิ่งใดที่มีส่วนคล้ายจอกศักดิ์สิทธิ์นั้นเลย[10] มันอาจถูกทิ้งไว้ในการครอบครองของเทมพลาร์ และไม่มีหลักฐานว่าเทมพลาร์เขียนนิยายวีรคติเรื่องจอกศักดิ์สิทธิ์[73] ในความเป็นจริง นักวิชาการกระแสหลักส่วนใหญ่เห็นว่าเรื่องของจอกศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงที่นิยายวรรณกรรมที่เริ่มแพร่หลายในยุคกลาง[2][12]

สำหรับตำนานอื่นที่มีการอ้างว่ามีความเกี่ยวข้องกับเทมพลาร์คือผ้าห่อศพแห่งตูริน ในปี ค.ศ. 1357 ผ้าห่อศพแห่งตูรินปรากฏตนต่อสาธารณชนครั้งแรกโดยขุนนางที่รู้จักกันในชื่อเชอฟฟรีย์แห่งชาร์เนย์ (Geoffrey of Charney)[74] ซึ่งแหล่งข่าวบางแหล่งกล่าวว่าเป็นสมาชิกในครอบครัวของหลานชายเชอฟเฟรย์แห่งชาร์เนย์ผู้ถูกเผาทั้งเป็นที่หลักประหารพร้อมฌักแห่งมอแล[75] ต้นกำเนิดของผ้าห่อศพยังคงเป็นที่ขัดแย้ง แต่ใน ค.ศ. 1988 การวิเคราะห์ด้วยการหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสีแสดงว่าผ้าห่อศพสร้างขึ้นในระหว่าง ค.ศ. 1260 - 1390 ซึ่งเป็นช่วงครึ่งศตวรรษสุดท้ายในการคงอยู่ของเทมพลาร์[76] ความเที่ยงตรงของวิธีการตรวจสอบอายุยังก่อให้เกิดคำถาม และอายุของผ้าห่อศพแห่งตูรินยังคงเป็นหัวข้อในการอภิปรายอย่างแพร่หลาย[77]

วัฒนธรรมร่วมสมัย

อัศวินเทมพลาร์มีความเกี่ยวข้องกับตำนานที่เกี่ยวกับความลับและความลึกลับที่สืบทอดมาจากยุคโบราณ ข่าวลือได้แพร่สะพัดแม้แต่ในช่วงเวลาของเทมพลาร์เอง นักเขียนเมซันนิกได้เพิ่มการคาดเดาของตนเองในศตวรรษที่ 18 และได้รับการปรุงแต่งเพิ่มเติมจนเป็นนวนิยายในนวนิยายยอดนิยม เช่น Ivanhoe, Foucault's Pendulum, และ รหัสลับดาวินชี,[2] ภาพยนตร์สมัยใหม่ เช่น National Treasure, The Last Templar, ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 3 ตอน ศึกอภินิหารครูเสด, ซีรีส์ทางโทรทัศน์ Knightfall, รวมถึงวิดีโอเกม เช่น Broken Sword, Deus Ex และ อัสแซสซินส์ครีด[78]

สิ่งนี้เริ่มขึ้นในทศวรรษที่ 1960 มีการคาดเดาถึงสาเหตุในการยึดครองเนินพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม และการคาดเดาเกี่ยวกับเรลิกที่อัศวินเทมพลาร์อาจค้นพบ เช่น การเสาะหาจอกศักดิ์สิทธิ์หรือหีบแห่งพันธสัญญา[79] หรือการกล่าวหาซึ่งเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ในพิธีสักการะเทวรูป (บาโฟเมต) ก่อนกลายเป็นบริบทของ "มด"[80]

ความคิดที่เชื่อมโยงจอกศักดิ์สิทธิ์กับอัศวินเทมพลาร์มีตัวอย่างอยู่ในนิยายศตวรรษที่ 12 Parzival ของ Wolfram von Eschenbach ที่เรียกผู้พิทักษ์อาณาจักรจอกศักดิ์สิทธิ์ ว่า templeisen เป็นการประพันธ์นวนิยายถึง templarii[81]

แหล่งที่มา

WikiPedia: อัศวินเทมพลาร์ http://journals.sfu.ca/loading/index.php/loading/a... http://urbanlegends.about.com/cs/historical/a/frid... http://www.freemasonrytoday.com/19/p07.php http://books.google.com/books?id=GEu58-OIT1MC&lpg=... http://www.imdb.com/title/tt0843844/ http://www.sacred-texts.com/sro/hkt/index.htm http://www.slate.com/id/2140307/ http://www.snopes.com/luck/friday13.asp http://www.templarhistory.com/praise.html http://www.uthscsa.edu/mission/spring96/shroud.htm