เมนูนำทาง
ฮาเกียโซเฟีย ประวัติโบสถ์หลังแรกถูกสร้างในบริเวณที่มีชื่อว่า มักนา เอ็กเคลเซีย (ละติน: Magna Ecclesia กรีกโบราณ: Μεγάλη Ἐκκλησία)[28][29] โดยเปิดพิธีในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 360 (ในรัชสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนเชียสที่ 2) โดยยูโดเซียสแห่งแอนติออก บิชอปลัทธิเอเรียส[30]
โซกราตีสแห่งคอนสแตนติโนเปิลอ้างว่าโบสถ์ถูกสร้างโดยจักรพรรดิคอนสแตนเชียสที่ 2 ผู้ทรงดำเนินการใน ค.ศ. 346[30] ตามธรรมเนียมที่ว่ามันไม่ได้สร้างนานว่าศตวรรษที่ 7 หรือ 8 มีรายงานว่าคฤหาสน์ถูกสร้างโดยจักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช[30] โยอันเนส โซนาราส เขียนว่าจักรพรรดิคอนสแตนเชียสที่ 2 ได้บำรุงคฤหาสน์หลังจากที่มันถล่มแล้ว[30] ยูเซบีอุสเป็นบิชอปแห่งคอนสแตนติโนเปิลมาตั้งแต่ ค.ศ. 339 ถึง 341 และจักรพรรดิคอนสแตนตินสวรรคตใน ค.ศ. 337 จึงมีความเป็นไปได้ว่าโบสถ์แรกถูกสร้างในสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนเชียสที่ 2[30]
จอห์น คริสซอสตอม อัครบิดรแห่งคอนสแตนติโนเปิลมีปัญหากับจักรพรรดินีอีเลีย ยูด็อกเซีย พระมเหสีของจักรพรรดิอาร์กาดิอุส และถูกเนรเทศในวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 404 ในช่วงการก่อกบฎ โบสถ์หลังแรกถูกเผา[30] และไม่มีซากหลงเหลืออีกในปัจจุบัน
โบสถ์หลังที่สองถูกสั่งให้สร้างโดยจักรพรรดิเทออดอซิอุสที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เปิดพิธีในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 415 ใน Notitia Urbis Constantinopolitanae กล่าวถึงฮาเกียโซเฟียเป็น มักนา เอ็กเคลเซีย (ละติน: Magna Ecclesia) ในขณะที่อดีตอาสนวิหารฮาเกียอิเรเนถูกเรียกเป็น เอ็กเคลเซีย อันติควา (ละติน: Ecclesia Antiqua) ตัวมหาวิหารที่มีหลังคาไม้ถูกสร้างโดยสถาปนิกรูฟีนุส แต่เกิดไฟไหม้ในช่วงการจลาจลนีกะและเผาทำลายฮาเกียโซเฟียหลังที่สองลงไปในวันที่ 13–14 มกราคม ค.ศ. 532
มีบล็อกหินอ่อนบางส่วนจากโบสถ์ของจักรพรรดิเทออดอซิอุสที่ 2 อยู่รอดถึงปัจจุบัน ในบรรดาหินอ่อนเหล่านี้คือภาพสลักแกะ 12 ตัว แสดงถึงอัครทูตทั้ง 12 คน ซึ่งเคยอยู่ที่ทางเข้าด้านหน้า และถูกพบใต้ลานสนามตะวันตกใน ค.ศ. 1935 โดย อัลฟอนส์ มาเรีย ชไนเดอร์ (Alfons Maria Schneider) นักโบราณคดีชาวเยอรมัน แต่ไม่ได้มีการขุดเพิ่มเติม เพราะเกรงว่าจะทำลายความสมบูรณ์ในสมัยยุสติอานิกลงไป
ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 532 ไม่กี่สัปดาห์หลังมหาวิหารที่สองถูกทำลาย จักรพรรดิยุสตินิอานุสที่ 1 ตัดสินใจสร้างอันที่สามให้ดูแตกต่างและอลังการกว่าสองหลังแรก
จักรพรรดิยุสตินิอานุสที่ 1 ทรงจ้างอิซิดอร์แห่งมิเลตุส นักเรขาคณิตและวิศวกร กับแอนเธมุสแห่งทรัลเลส นักคณิตศาสตร์ ไปเป็นสถาปนิก อย่างไรก็ตาม แอนเธมุส เสียชีวิตในช่วงปีแรกของความพยายาม โดยมีการนำเสาหินและหินอ่อนทั่วทั้งจักรวรรดิในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ความคิดเกี่ยวกับเสาหินถูกเปิดเผยจากเมืองต่าง ๆ เช่น โรมและเอฟิซัสว่าเป็นสิ่งที่คิดค้นในภายหลัง[31] ถึงแม้ว่าพวกมันถูกสร้างไว้สำหรับฮาเกียโซเฟีย ขนาดของเสาหินก็มีความหลากหลาย[32]
จักรพรรดิยุสตินิอานุสที่ 1 กับอัครบิดรเมนาส เปิดพิธีในวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 537 – หลังจากสร้างไปเป็นเวลา 5 ปี 10 เดือน – ด้วยพิธีเอิกเกริก[33][34][35] โมเสกในโบสถ์ทำเสร็จในรัชสมัยของจักรพรรดิยุสตีนุสที่ 2 (ค.ศ. 565–578)
ต่อมา เกิดแผ่นดินไหวในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 553 และในวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 557 ทำให้เกิดรอยแยกในโดมหลักและโดมครึ่งฝั่งตะวันออก โดมหลักพังทลายลงในช่วงแผ่นดินไหวในวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 558[36] ทำลายทั้งแอมบอน, แท่นบูชา และชิโบเรียม การทลายส่วนใหญ่เกิดจากโดมแบนเกินที่จะรับน้ำหนักมาก[33] องค์จักรพรรดิได้มีรับสั่งบูรณะทันที โดยมอบหน้าที่ให้กับอิซิดอรุสผู้เยาว์ หลานชายของอิซฺดอร์แห่งมิเลตุส ที่ใช้วัสดุที่เบากว่าและยกโดมขึ้น "30 ฟุต"[33] – ทำให้สิ่งก่อสร้างสูงถึง สคริปต์ลูอาผิดพลาด ใน มอดูล:Convert บรรทัดที่ 272: attempt to index local 'cat' (a nil value).[37] ที่มากไปกว่านั้น อิซิดอรุสได้เปลี่ยนประเภทของโดม โดยสร้างโครงโดมแบบเพนเด็นทีฟ ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 32.7 ถึง 33.5 เมตร[33] ภายใต้คำสั่งของจักรพรรดิยุสตินิอานุสที่ 1 มีการนำเสาแบบคอรินเทียน 8 อันมาจากบะอัลบิก, เลบานอน และขนมาทางเรือมาคอนสแตนติโนเปิลในช่วงทศวรรษที่ 560[38]
หลังจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 989 ซึ่งทำให้ซุ้มโดมตะวันตกพังทลาย จักรพรรดิเบซิลที่ 2ทรงเรียกTrdat สถาปนิกชาวอาร์มีเนีย ผู้สร้างอาสนวิหารแห่งอานิกับอาร์กินา เพื่อมาซ่อมแซม[39] เขาจึงสร้างฝั่งตะวันตกของโบสถ์ใหม่ด้วยโครงโดม 15 อัน[40] ซึ่งใช้เวลาซ่อมแซม 6 ปี ตัวโบสถ์เปิดใหม่อีกครั้งในวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 994 ในตอนนั้น ตัวโบสถ์ได้รับการบูรณะใหม่ เช่น เพิ่มเครูบสี่ตน; ภาพพระคริสต์บนโดม; ผ้าคลุมพระศพของพระคริสต์ที่จัดแสดงในวันศุกร์ และภาพพระแม่มารีย์พรหมจารีย์อุ้มพระเยซูแบบใหม่ ซึ่งนั่งอยู่ระหว่างปีเตอร์กับเปาโลอัครทูต[41] บนซุ้มใหญ่มีภาพของศาสดากับพระครูของโบสถ์ด้วย[41]
ในตอนที่คอนสแตนติโนเปิลถูกยึดในช่วงสงครามครูเสดครั้งที่สี่ ตัวโบสถ์ถูกปล้นสดมและถูดูหมิ่นโดยพวกครูเสด ในช่วงที่พวกลาตินครอบครองคอนสแตนติโนเปิล (ค.ศ. 1204–1261) ตัวโบสถ์กลายเป็นอาสนวิหารโรมันคาทอลิก จักรพรรดิบอลด์วินที่ 1 แห่งคอนสแตนติโนเปิล ทรงปราบดาภิเษกเป็นจักรพรรดิในวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1204 ในฮาเกียโซเฟีย เอ็นริโก ดันโดโล (Enrico Dandolo) ดอเจแห่งเวนิสที่ให้โจมตีและปล้นสดมตัวเมือง ถูกฝังในโบสถ์ และตัวสุสานเดิมถูกพวกออตโตมันทำลายในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงจากโบสถ์เป็นมัสยิด[42]
คอนสแตนติโนเปิลถูกโจมตีโดยกองทัพออตโตมันในวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1453 โดยที่สุลต่านเมห์เหม็ดผู้พิชิตอนุญาตให้กองทัพและคณะผู้ติดตามของพระองค์ปล้นสะดมในเมืองหลังถูกยึดได้เป็นเวลาสามวัน หลังจากนั้น พระองค์จึงเก็บส่วนที่เหลือเป็นของพระองค์เอง[43][44]ฮาเกียโซเฟียไม่ได้รับการยกเว้นในการปล้นสดม เพราะเป็นจุดที่เชื่อว่ามีสมบัติอันล้ำค่าของเมืองอยู่ในนี้[45] ไม่นานหลังจากการป้องกันของตัวเมืองล่มสลาย และกองทัพออตโตมันเข้ามายังตัวเมือง พวกปล้นสดมได้เดินทางไปที่ฮาเกียโซเฟีย และทำลายประตูก่อนที่จะบุกเข้าไป[46] โดยในช่วงสงคราม ผู้แสวงบุญที่ถูกขังกำลังทำพิธีศีลมหาสนิทและขอพรหลายชั่วโมงในฮาเกียโซเฟีย และผู้ลี้ภัยที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการป้องกันเมือง ซึ่งรวมไปถึงผู้หญิง, เด็ก, คนชรา และคนป่วยกับผู้บาดเจ็บ[47][48] เหล่าสาธุชนกับผู้ลี้ภัยหลายคนกลายเป็นสินทรัพย์ตอนสงครามที่ถูกแบ่งแก่ผู้บุกรุก สิ่งก่อสร้างถูกทำลายและถูกปล้นเป็นจำนวนมาก และผู้ที่อยู่ในนี้ก็กลายเป็นทาส[45] ในขณะที่คนชราและผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่ถูกฆ่า และกลุ่มที่เหลือ (ส่วนใหญ่เป็นชายวัยรุ่นกับเด็กชาย) ถูกล่ามโซ่แล้วขายเป็นทาส[46] นักบวชและบุคลากรทางศาสนายังคงทำหน้าที่ต่อ จนถูกผู้บุกรุกบังคับให้หยุด[46] เมื่อสุลต่านเมห์เหม็ดผู้พิชิตและคณะผู้ติดตามเข้าไปในโบสถ์ พระองค์ยืนยันว่ามันควรเปลี่ยนเป็นมัสยิด หนึ่งในอุละมาอ์ (นักวิชาการอิสลาม) ปีนขึ้นบนแท่นเทศน์และกล่าวชะฮาดะฮ์ด้วยเสียงดัง ("ไม่มีพระเป็นเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์") ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนโบสถ์ให้เป็นมัสยิด[23][49]
น้ำพุ (Şadırvan) สำหรับเอาน้ำละหมาดมีรายงานจากชาวตะวันตกบางรายที่มาเยี่ยมเมืองนี้ (เช่น Pero Tafur ขุนนางจากกอร์โดบา[50] และCristoforo Buondelmonti ชาวฟลอเรนซ์)[51] ตัวโบสถ์อยู่ในสภาพทรุดโทรม โดยมีบางประตูตกลงบนพื้น; สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ทรงสั่งให้บูรณะพร้อมกับเปลี่ยนแปลง และละหมาดวันศุกร์ครั้งแรกในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1453[52] อายาโซฟยากลายเป็นมัสยิดหลวงแห่งแรกในอิสตันบูล[53]
ก่อน ค.ศ. 1481 มีการสร้างมินาเร็ตขนาดเล็กบริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของสื่งก่อสร้างเหนือหอบันได[23] จากนั้น สุลต่านบาเยซิดที่ 2 (ค.ศ. 1481–1512) ทรงสร้างมินาเร็ตอีกอันในบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือ[23] หนึ่งในนั้นพังทลายหลังจากแผ่นดินไหวใน ค.ศ. 1509[23] และช่วงกลางศตวรรษที่ 16 ก็ถูกเปลี่ยนไปสร้างมินาเร็ตสองอันใหม่ในบริเวณตะวันออกและตะวันตกของอาคาร[23]
ในรัชสมัยของสุลต่านเซลิมที่ 2 (ค.ศ. 1566–1574) สิ่งก่อสร้างเริ่มเสื่อมสภาพและถูกเสริมความแกร่งรอบนอกโดยมิมาร์ ซินาน สถาปนิกออตโตมัน[54] เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของโครงสร้างไบแซนไทน์ ซินานได้สร้างมินาเร็ตขนาดใหญ่สองอันในฝั่งตะวันตก เพื่อที่จะทำแบบนั้น บริเวณของอัครบิดรทางตอนใต้ของสิ่งก่อสร้างถูกรื้อถอนไป[23] ที่มากไปกว่านั้น มีการตั้งดวงจันทร์เสี้ยวทองคำไว้บนโดม[23] สุลต่านมูราดที่ 3 (ครองราช ค.ศ. 1574–1595) นำโกศที่ทำมาจากอะลาบาสเทอร์ขนาดใหญ่ 2 อัน จากเพอร์กามอนและตั้งที่สองฝั่งบริเวณกลางโบสถ์[23] ใน ค.ศ. 1594 / ฮ.ศ. 1004 มิมาร์ (ศาลสถาปนิก) Davud Ağa สร้างตืรเบ (สุสาน) ของสุลต่านมูราดที่ 3 ในนี้[23] สุสานรูปแปดเหลี่ยมของสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 3 (ค.ศ. 1595–1603) ถูกสร้างใน ค.ศ. 1608 / ฮ.ศ. 1017 โดยสถาปนิกหลวง Dalgiç Mehmet Aĝa[55] และสุลต่านมุสตาฟาที่ 1 (ค.ศ. 1617–1618; 1622–1623) ได้เปลี่ยนหอล้างบาปไปเป็นตืรเบของพระองค์[55]
สุลต่านอับดุล เมจิดที่ 1 ให้บูรณะฮาเกียโซเฟีย และใช้แรงงาน 800 คน ทำงานระหว่าง ค.ศ. 1847 ถึง 1849 ภายใต้การสังเกตการณ์ของพี่น้องสถาปนิกชาวสวิส-อิตาลี Gaspare กับ Giuseppe Fossati โดยได้เสริมความแกร่งของโดมกับโครงสร้างทรงโค้ง, ทำเสาให้ตรง และฟื้นฟูการตกแต่งทั้งด้านนอกและด้านใน มีการเปลี่ยนโคมระย้าเก่าไปเป็นอันใหม่ มีภาพวงกลมหรือเหรียญใหม่ไปแขวนบนเสา ซึ่งมีชื่อของอัลลอฮ์, มุฮัมมัด, เคาะลีฟะฮ์ทั้งสี่ อะบูบักร์, อุมัร, อุษมาน และอะลี และหลานชายสองคนของมุฮัมมัด: ฮะซันกับฮุซัยน์ ที่เขียนโดยนักอักษรวิจิตร Kazasker Mustafa İzzed Effendi (ค.ศ. 1801–1877) ใน ค.ศ. 1850 พี่น้องสถาปนิก Fossati ได้สร้างโรงแรมพำนักรับรองใหม่ในแบบสถาปัตยกรรมฟื้นฟูไบแซนไทน์เชื่อมกับพลับพลาหลังมัสยิด บูรณะมินบัรกับมิฮ์รอบ และปรับเสามินาเร็ตให้สูงเท่ากัน[56][57]
ใน ค.ศ. 1935 มุสทาฟา เคมัล อาทาทืร์ค ประธานาธิบดีคนแรกและผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐตุรกี ได้เปลี่ยนฮาเกียโซเฟียไปเป็นพิพิธภัณฑ์ มีการนำพรมออก ทำให้เห็นหินอ่อนบนพื้น ในขณะที่พลาสเตอร์ขาวที่คลุมโมเสกก็ถูกเอาออกด้วย แม้กระนั้น โครงสร้างก็ดูทรุดโทรม และกองทุนโบราณสถานโลก (World Monuments Fund) ยกฮาเกียโซเฟียอยู่ใน1996 World Monuments Watch และอีกครั้งใน1998 หลังคาทองแดงของสิ่งก่อสร้างเริ่มมีรอยร้าว ทำให้มีน้ำหยดลงมาทำลายภาพเฟรสโกกับโมเสก และก่อให้เกิดความชื้น แล้วระดับน้ำบาดาลที่สูงขึ้นทำให้ความชื้นเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้เกิดสภาวะที่ไม่เหมาะสมต่อหินและสี ทาง WMF ได้ดำเนินการบูรณะโดมใน ค.ศ. 1997 ถึง 2002 แล้วเสร็จใน ค.ศ. 2006 ถึงแม้ว่าบริเวณอื่นของฮาเกียโซเฟียยังต้องการพัฒนา บูรณะ และป้องกันไว้ก็ตาม[58] ฮาเกียโซเฟียเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้เข้าชมมากเป็นอันดับสอง (ค.ศ. 2014) โดยมีผู้เข้าชมเกือบ 3.3 ล้านคนต่อปี[24]
ถึงแม้ว่าการใช้เป็นสถานที่สักการะ (มัสยิดหรือโบสถ์) เป็นที่ต้องห้าม[59] ใน ค.ศ. 2006 รัฐบาลตุรกีอนุญาตให้การจัดสรรห้องขนาดเล็กสำหรับที่สักการะของเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ที่เป็นชาวคริสต์และมุสลิม[60] และตั้งแต่ ค.ศ. 2013 มีมุอัซซินกล่าวอะซานสองครั้งต่อวันในตอนบ่าย[61]
ใน ค.ศ. 2007 นักการเมืองอเมริกันเชื้อสายกรีก Chris Spirou ริเริ่มองค์การนานาชาติ "ปลดปล่อยสภาอาเกียโซเฟีย" (Free Agia Sophia Council) เพื่อเรียกร้องให้เปลี่ยนฮาเกียโซเฟียให้เป็นโบสถ์อีกครั้ง[62][63][64] ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2010 มีการเรียกร้องหลายครั้ง โดยครั้งที่โดดเด่นที่สุดคือ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2013 รองนายกรัฐมนตรี Bülent Arınç ได้เรียกร้องให้เปลี่ยนฮาเกียโซเฟียให้เป็นมัสยิดอีกครั้ง[65][66][67] ใน ค.ศ. 2015 ในการตอบโต้เพื่อรับทราบโดยสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสในเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอาร์มีเนีย Mefail Hızlı มุฟตีแห่งอังการา กล่าวว่าเขาเชื่อว่าการเปลี่ยนฮาเกียโซเฟียไปเป็นมัสยิดจะถูกเลี่อนออกไป[68][69]
ในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2016 มีการละหมาดครั้งแรกในฮาเกียโซเฟีย ซึ่งมีระยะเวลาจากละหมาดครั้งสุดท้ายถึง 85 ปี[70] ในเดือนพฤศจิกายน องค์การนอกภาครัฐตุรกี Association for the Protection of Historic Monuments and the Environment ได้ดำเนินคดีต่อการเปลี่ยนพิพิธภัณฑ์ไปเป็นมัสยิด[71] ท้ายที่สุด ทางสภาตัดสินให้เป็น 'พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์' ต่อไป[72]
ในวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 มีกลุ่มคนที่ควบคุมโดย Anatolia Youth Association (AGD) รวมตัวหน้าฮาเกียโซเฟียและละหมาดตอนเช้า โดยมีการเรียกร้องให้เปลี่ยนพิพิธภัณฑ์ให้เป็นมัสยิด[73] ในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 2017 ประธานฝ่ายศาสนา (Presidency of Religious Affairs; Diyanet) ได้จัดรายการพิเศษ ซึ่งรวมไปถึงการอ่านอัลกุรอานและละหมาดในฮาเกียโซเฟีย เพื่อเป็นเครื่องหมายของลัยละตุลก็อดร์ โดยมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ด้วย[74]
ตั้งแต่ ค.ศ. 2018 เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ประธานาธิบดีตุรกีได้กล่าวว่า ตนจะเปลี่ยนสถานะฮาเกียโซเฟียไปเป็นมัสยิดใหม่ ซึ่งได้รับความนิยมจากกลุ่มที่นิยมศาสนา[75] ในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2018 แอร์โดอันได้อ่านโองการแรกของอัลกุรอานในฮาเกียโซเฟีย และเข้าร่วมละหมาด โดยมีขบวนการทางการเมืองในการเปลี่ยนฮาเกียโซเฟียให้เป็นมัสยิดอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้การทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์ของอาทาทืร์คเป็นโมฆะ[76]
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2019 แอร์โดอันกล่าวว่า เขาจะเปลี่ยนสถานะฮาเกียโซเฟียจากพิพิธภัณฑ์ไปเป็นมัสยิด[77] โดยกล่าวเพิ่มว่า มันเป็น "ความผิดพลาดอันใหญ่หลวง" ที่เปลี่ยนมันไปเป็นพิพิธภัณฑ์[78] เนื่องจากสถานที่นี้เป็นมรดกโลกของยูเนสโก การเปลี่ยนแปลงสถานะจะต้องได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการมรดกโลกของยูเนสโกเสียก่อน[79]
ใน ค.ศ. 2020 รัฐบาลตุรกีจัดงานฉลองครบรอบ 567 ปีการเสียกรุงคอนสแตนติโนเปิล โดยการละหมาดในฮาเกียโซเฟีย เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ประธานาธิบดีตุรกีกล่าวในรายการโทรทัศน์ว่า "จะมีการอ่านซูเราะฮ์อัลฟัตฮ์ตอนละหมาดในฮาเกียโซเฟีย..."[80] ในเดือนพฤษภาคม ในช่วงวันครบรอบ มีการอ่านกุรอานในฮาเกียโซเฟีย ทางกรีซได้ประณามสิ่งนี้ ในขณะที่ตุรกีกล่าวหากรีซว่าได้กล่าว “คำพูดที่ไร้ประโยชน์และไม่มีประสิทธิภาพ”[81]
ในวันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 2020 คณะรัฐมนตรีได้ตัดสินใจยกเลิกการเป็นพิพิธภัณฑ์ของฮาเกียโซเฟียและแอร์โดอันลงนามว่าการเป็นพิพิธภัณฑ์ของฮาเกียโซเฟียเป็นโมฆะ แล้วเริ่มเปลี่ยนเป็นมัสยิด สร้างเสียงวิจารณ์ทั่งฝ่ายฆราวาสและทั่วโลก[82][83] หลังประกาศไม่นานก็มีเสียงอะซานขึ้น[83] สื่อสังคมของพิพิธภัณฑ์ฮาเกียโซเฟียถูกปิดลงในวันเดียวกัน โดยแอร์โดอันประกาศว่าจะมีการละหมาดในวันที่ 24 กรกฎาคม[83] โฆษกประธานาธิบดีกล่าวว่า มันจะเป็นมัสยิดเปิดที่ทำหน้าที่คล้ายโบสถ์ปารีสสองแห่งคือ มหาวิหารซาเคร-เกอร์กับอาสนวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส และกล่าวอีกว่าการเปลี่ยนนี้ไม่มีผลต่อสถานะแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก และ "สัญลักษณ์คริสเตียน" ข้างในจะถูกป้องกันต่อไป[75] โฆษกประธานาธิบดีอ้างว่าพรรคการเมืองทุกกลุ่มสนับสนุนการตัดสินใจของแอร์โดอัน[84] อย่างไรก็ตาม พรรคประชาธิปัตย์ของประชาชนได้ปฏิเสธการตัดสินใจนี้ โดยกล่าวว่า "ไม่สามารถทำตามรากฐานของเกมการเมืองที่เล่นโดยรัฐบาล"[85]ประเทศกรีซประณามการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้และถือว่าเป็นการละเมิดความเป็นมรดกโลกของยูเนสโก[75] ทางสภาคริสตจักรสากลประณามการเปลี่ยนสิ่งก่อสร้างไปเป็นมัสยิด โดยกล่าวว่า "อาจสร้างความไม่เชื่อมั่น, ความสงสัยและความไม่ไว้วางใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้";[15][16] และได้สั่งให้แอร์โดอันล้มเลิกการตัดสินใจด้วย[16] สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงตรัสว่าพระองค์รู้สึก "เจ็บปวด"[16] และอัครบิดรคีริลล์แห่งมอสโก ผู้นำคริสตจักรรัสเซียออร์ทอดอกซ์ ประณามการตัดสินใจในการเปลี่ยนสิ่งก่อสร้างไปเป็นมัสยิดว่า "เป็นภัยต่ออารยธรรมคริสเตียนทั้งมวล"[17] ทางยูเนสโกประกาศว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ "น่าผิดหวังอย่างมาก"[86][83] และออร์ฮัน พามุค นักประพันธ์ที่โด่งดังของตุรกี ประกาศต่อสาธารณะว่าตนประณามการตัดสินใจนี้[83]
ในวันที่ 17 กรกฎาคม แอร์โดอันประกาศว่าการละหมาดวันแรกจะรองรับผู้ศรัทธา 1,000 ถึง 1,500 คน และย้ำว่าปัญหาที่ต้องแก้คืออำนาจอธิปไตยของตุรกี และปฏิกิริยาจากนานาชาติไม่สามารถยับยั้งเขาได้[87] และได้เชิญผู้นำต่างชาติมาดูการละหมาดครั้งแรกในวันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 2020 ที่ฮาเกียโซเฟีย[88]
ในวันที่ 22 กรกฎาคม มีการปูพรมทับพื้นหินอ่อน; Ali Erbaş หัวหน้า Diyanet ได้มีส่วนร่วมในการปูด้วย[89] เนื่องจากการระบาดทั่วของไวรัสโคโรนาในตุรกี Erbaş กล่าวว่าฮาเกียโซเฟียจะรองรับสูงสุดแค่ 1,000 คน และบอกให้นำ "หน้ากากอนามัย, พรมละหมาด, ความอดทน และความเข้าใจ" มาด้วย[89] ตัวมัสยิดเปิดละหมาดวันศุกร์ในวันที่ 24 กรกฎาคม[89] โดยเป็นโบสถ์ไบแซนไทน์ที่สี่ที่ถูกเปลี่ยนจากพิพิธภัณฑ์เป็นมัสยิดในช่วงการปกครองของแอร์โดอัน[90]
เมนูนำทาง
ฮาเกียโซเฟีย ประวัติใกล้เคียง
ฮาเกียโซเฟีย ฮาเก้น-ดาส ฮาเวียร์ โรเมโร-ฟริแอส ฮาเก็ง อนิเมะ! ฮกเกี้ยน ฮาเกิน ฮาเก เกนก็อบ ฮาเวียร์ เอร์นันเดซ บัลกาซาร์ ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ ฮาเวียชอฟแหล่งที่มา
WikiPedia: ฮาเกียโซเฟีย //www.amazon.com/dp/B0000CO5IL //www.amazon.com/dp/B0006E2O2M //www.amazon.com/dp/B0007CAVA0 //www.amazon.com/dp/B0007CBGYA //www.amazon.com/dp/B0007G5RBY //www.amazon.com/dp/B0007GZTKS //www.amazon.com/dp/B000889GIG //www.amazon.com/dp/B0008C47EA //www.amazon.com/dp/B000K5QN9W http://www.christiantoday.com/article/turkey.press...