ประวัติศาสตร์ ของ เกียวโต

จุดเริ่มต้น

แม้วาจะมีหลักฐานทางโบราณคดีว่ามีการตั้งถิ่นฐานที่เกาะญี่ปุ่นประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล แต่ก็แทบจะไม่พบหลักฐานกิจกรรมของมนุษย์ใด ๆ เลยในบริเวณนี้ จนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 6 ที่มีการค้นพบหลักฐานของมนุษย์ที่ศาลเจ้าชิโมงาโมะ

เฮอังเกียว

ดูบทความหลักที่: เฮอังเกียว

ศตวรรษที่ 8 นักบวชในพุทธศาสนามีอิทธิพลอย่างมากและได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการในราชสำนักของสมเด็จพระจักรพรรดิ ทำให้จักรพรรดิตัดสินพระทัยที่จะย้ายนครหลวงไปยังภูมิภาคที่ห่างไกลจากอิทธิพลของพุทธศาสนา จักรพรรดิคัมมุทรงเลือกชัยภูมิแห่งใหม่ที่หมู่บ้านอูดะ

นครหลวงแห่งใหม่นี้ได้รับนามว่า เฮอังเกียว (平安京, "นครหลวงแห่งสันติและสงบสุข") ซึ่งนครหลวงแห่งใหม่นี้ได้แนวคิดมาจากนครหลวงฉางอานแห่งราชวงศ์ถัง[1] เพียงแต่ปรับขนาดให้เล็กลง และต่อมาใน ค.ศ. 794 ก็ได้กลายเป็นนครที่ตั้งของราชสำนัก ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคเฮอังในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามแม้ว่าภายหลัง รัฐบาลทหารจะตั้งเมืองอื่น ๆ เป็นศูนย์กลางทางอำนาจการปกครองที่ไม่ใช่เกียวโต (รัฐบาลโชกุนมูโรมาจิ) เช่น คามากูระ (โดยรัฐบาลโชกุนคามากูระ) หรือ เอโดะ (โดยรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะ) แต่โดยทางนิตินัยแล้ว นครหลวงของญี่ปุ่นยังคงเป็นเกียวโตอันเป็นนครที่พระจักรพรรดิประทับอยู่ จนถึง ค.ศ. 1869 (ยุคฟื้นฟูจักรวรรดิ) ที่ราชสำนักได้ย้ายไปยังกรุงโตเกียว

เกียวโตได้รับความเสียหายอย่างหนักจากสงครามโอนินในช่วง ค.ศ. 1467-1477 และไม่ได้รับการบูรณะจนล่วงเข้าสู่กลางทศวรรษที่ 16 โทโยโตมิ ฮิเดโยชิได้บูรณะเมืองขึ้นมาอีกครั้งโดยการสร้างถนนสายใหม่กลางกรุงเกียวโตจนมีถนนเชื่อมเมืองฝั่งเหนือกับฝั่งใต้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และมีผังเมืองแบบบล็อกสี่เหลี่ยมแทนที่ผังเมืองแบบโบราณ ฮิเดโยชิยังได้สร้างกำแพงดินขึ้นมาเรียกว่า โอโออิ (御土居) รอบเมือง ถนนเทรามาจิในกลางกรุงเกียวโตจึงเป็นศูนย์กลางของวัดพุทธเมื่อฮิเดโยชิเริ่มรวบรวมวัดให้เป็นปึกแผ่น ในสมัยเอโดะ เกียวโตก็เป็นหนึ่งในสามเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น เช่นเดียวกับนครเอโดะและนครโอซากะ

ในช่วงกบฏฮามางูริ ในปี ค.ศ. 1864 บ้านเรือน 28,000 หลังได้รับความเสียหาย และการย้ายเมืองหลวงของพระจักรพรรดิในปี ค.ศ. 1869 ทำให้เศรษฐกิจของเกียวโตอ่อนแอลง จากนั้นมีการตั้งเมืองใหม่ของเกียวโตในวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1889 มีการขุดสร้างคลองทะเลสาบบิวะในปี ค.ศ. 1890 นำน้ำมาหล่อเลี้ยงเมืองจนกระทั่งพัฒนาไปเป็นเมืองที่เจริญก้าวหน้าจนมีประชากรเกินหนึ่งล้านคนในปี 1932[2]

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาเคยมีแผนจะทิ้งระเบิดปรมาณูที่เกียวโต ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นศูนย์กลางทางปัญญาของญี่ปุ่น และมีชาวเมืองที่ "ดูมีความสุขกับการสร้างอาวุธ" แต่ในท้ายที่สุด เฮนรี แอล. สติมสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสงคราม ในยุคของประธานาธิบดีรูสเวลต์และประธานาธิบดีทรูแมนได้ถอดชื่อเกียวโตออกจากรายชื่อเมืองที่จะทิ้งระเบิดปรมาณูในช่วงปลายสงคราม และเปลี่ยนเป็นเมืองนางาซากิแทน นอกจากนี้ เมืองยังรอดพ้นจากการทิ้งระเบิดสงครามในสงครามอีกด้วย แม้จะมีการโจมตีทางอากาศอยู่บ้างประปราย

ผลจากการตัดสินใจครั้งนั้น ทำให้เกียวโตเป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองในญี่ปุ่นที่ยังมีสิ่งก่อสร้างในยุคก่อนสงครามหลงเหลืออยู่มากมาย เช่น บ้านโบราณที่รู้จักกันในชื่อ มาจิยะ แต่อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเมืองก็กำลังทำให้วัฒนธรรมดั้งเดิมของเกียวโตค่อย ๆ ถูกสถาปัตยกรรมใหม่ ๆ กลืนหายไป

เกียวโตมีสถานะเป็นนครโดยรัฐบัญญัติของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1956 และในปี 1997 เกียวโตก็เป็นสถานที่จัดการประชุมครั้งสำคัญว่าด้วยเรื่องการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจก จนมีข้อบังคับออกมาเป็นพิธีสารเกียวโต

แหล่งที่มา

WikiPedia: เกียวโต http://www.artofjpn.com/kyoto/index.html http://en.j-cast.com/2007/08/09009922.html http://www.mbe.doe.gov/me70/manhattan/debate.htm http://www.data.jma.go.jp/obd/stats/etrn/view/nml_... http://www.data.jma.go.jp/obd/stats/etrn/view/rank... http://www.city.kyoto.jp/koho/eng/index.html http://www.city.kyoto.jp/koho/index_e.html http://www.city.kyoto.jp/sogo/toukei/guide/Faq/p_o... http://damien.douxchamps.net/photo/japan/kansai/ky... http://www.hyperhistory.net/apwh/bios/b4stimson-he...