ความสัมพันธ์กับพระเจ้าเจมส์ ของ แอนน์แห่งเดนมาร์ก

จากหลักฐานทุกหลักฐานต่างก็กล่าวว่าพระเจ้าเจมส์ทรงหลงเสน่ห์แอนน์ แต่ความหลงที่ว่านี้ก็มิได้ยั่งยืนเท่าใดนัก และทั้งสองพระองค์ก็ทรงเริ่มมีเรื่องบาดหมางกันเพียงไม่กี่ปีหลังจากการเสกสมรส แต่ดูเหมือนว่าพระเจ้าเจมส์จะทรงปฏิบัติต่อแอนน์ด้วยความอดทนและความรัก[44] ระหว่างปี ค.ศ. 1593 ถึงปี ค.ศ. 1595พระเจ้าเจมส์ทรงมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับแอนน์ เมอร์เรย์ผู้ต่อมาได้เป็นเลดีกลามิส ทรงกล่าวถึงแอนน์ว่าเป็น “พระสนมและหัวใจของฉัน” (my mistress and my love) แอนน์เองก็ทรงมีเรื่องอื้อฉาวเป็นบางครั้งบางคราว[45]ใน “คู่มือการปกครองบาซิลิคอนโดรอน” (Basilikon Doron) ที่ทรงพระราชนิพนธ์ในปี ค.ศ. 1597 ถึงปี ค.ศ. 1598, พระเจ้าเจมส์ทรงบรรยายถึงชีวิตการสมรสว่าเป็น “ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกหรือความขมขื่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ประสบต่อผู้ชาย”[46]

ตั้งแต่นาทีแรกของการแต่งงานแอนน์ก็ได้รับความกดดันในการมีรัชทายาทให้แก่พระเจ้าเจมส์และสกอตแลนด์[47] แต่มาถึงปี ค.ศ. 1591 และ ค.ศ. 1592 ก็ยังไม่มีเค้าว่าจะทรงครรภ์ซึ่งทำให้มีข่าวลือว่าพระเจ้าเจมส์มัวแต่ทรงใช้ชีวิตอยู่ในกลุ่มผู้ชายและมีข่าวกระเส็นกระสายว่าเกี่ยวกับแอนน์ว่าไม่ทรงมีครรภ์ได้[48] ฉะนั้นจึงเป็นที่โล่งใจกันไปตามๆ กันเมื่อแอนน์ทรงให้กำเนิดแก่เฮนรี เฟรเดอริคพระโอรสองค์แรกเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1594[49]

สิทธิในตัวเจ้าชายเฮนรี

เจ้าชายเฮนรี เฟรเดอริค สจวต, ราว ค.ศ. 1608 โดย โรเบิร์ต พีค (ผู้พ่อ) (Robert Peake the Elder)

เพียงไม่นานแอนน์ก็ทราบว่าพระองค์ไม่มีสิทธิมีเสียงในการดูแลพระราชโอรสของพระองค์แต่อย่างใด พระเจ้าเจมส์ทรงแต่งตั้งเฮเล็น ลิตเติลผู้เคยเป็นพระพี่เลี้ยงของพระองค์เองให้เป็นพระพี่เลี้ยงของเจ้าชายเฮนรี เฟรเดอริค และให้บรรทมในพระอู่ไม้โอ้คที่เคยเป็นของพระองค์เองด้วย[50] แต่สิ่งที่ทำให้แอนน์ทรงรันทดที่สุดก็เมื่อพระเจ้าเจมส์มีพระราชโองการให้ย้ายเจ้าชายเฮนรี เฟรเดอริคไปอยู่ภายใต้การดูแลอารักขาโดยจอห์น เอิร์สคิน เอิร์ลแห่งมาร์ที่ 18 ที่ปราสาทสเตอร์ลิงตามพระราชประเพณีของสกอตแลนด์[51]

ในปลายปี ค.ศ. 1594 แอนน์ก็เริ่มรณรงค์เรียกร้องสิทธิในการปกครองดูแลพระราชโอรสจากผู้ที่สนับสนุนความต้องการของพระองค์รวมทั้งอัครมหาเสนาบดีจอห์น เมทแลนด์ ลอร์ดเมทแลนด์แห่งเทิร์ลสเตนที่ 1[52] ความที่ไม่ทรงแน่ใจว่าแอนน์จะทรงทำเรื่องให้บานปลายไปได้เท่าใด พระเจ้าเจมส์จึงมีพระราชโองการอย่างเป็นทางการห้ามมิให้เอิร์ลแห่งมาร์มอบตัวเจ้าชายเฮนรี เฟรเดอริคแก่ผู้ใดนอกไปจากเมื่อได้รับคำสั่งโดยตรงจากพระองค์เอง และไม่ให้มอบตัวเจ้าชายเฮนรี เฟรเดอริคแก่พระราชินีแม้ในกรณีที่พระองค์เองจะเสด็จสวรรคตไปแล้ว[53] แอนน์ยื่นคำร้องให้เสนอเรื่องต่อสภาองคมนตรีแต่พระเจ้าเจมส์ไม่ทรงฟัง[54] หลังจากที่ทรงมีเรื่องกันต่อหน้าธารกำนัลพระเจ้าเจมส์ก็ทรงข่มเหงน้ำพระทัยจนแอนน์พิโรธและกรรแสง[55] แอนน์ก็ทรงโศรกเศร้าจนทรงแท้งเมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1595 [56] หลังจากนั้นก็ทรงเลิกเรียกร้องสิทธิแต่ความเสียหายครั้งนี้มีผลกระทบกระเทือนต่อความสัมพันธ์ของพระองค์กับพระสวามีเป็นอย่างมาก[57] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1595 จอห์น โคลวิลล์บันทึกว่าบรรยากาศระหว่างสองพระองค์เต็มไปด้วยความเกลียดชัง[58]

ในปี ค.ศ. 1603 แอนน์ทรงเห็นช่องทางที่จะได้รับสิทธิในการดูแลพระราชโอรสเมื่อพระเจ้าเจมส์เสด็จลงไปยังลอนดอนพร้อมกับเอิร์ลแห่งมาร์เพื่อไปสืบราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ที่เพิ่งเสด็จสวรรคต[59] แอนน์ซึ่งขณะนั้นทรงครรภ์รีบเสด็จไปยังปราสาทสเตอร์ลิงพร้อมกับกองกำลังขุนนางผู้สนับสนุนเพื่อจะนำตัวเจ้าชายเฮนรีผู้ทรงมิได้พบปะเกือบห้าปีกลับมากับพระองค์ แต่มารดาของเอิร์ลแห่งมาร์ยอมให้คนของพระองค์เข้ามาในปราสาทได้ไม่เกินสองคน[60] การแข็งข้อของผู้ดูแลเจ้าชายเฮนรีทำให้แอนน์ทรงพิโรธจนทำให้ทรงแท้งอีกครั้งหนึ่งตามบันทึกของเดวิด คาลเดอร์วูดกล่าวว่าแอนน์เสด็จเข้าห้องบรรทมทั้งที่ทรงพิโรธ และทรงจากพระโอรสเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม[61]

เมื่อเอิร์ลแห่งมาร์กลับมาพร้อมกับพระราชสาส์นจากพระเจ้าเจมส์ให้แอนน์เสด็จมาอังกฤษเพื่อมาเคียงข้างพระองค์ในราชอาณาจักรอังกฤษ แอนน์ก็ทรงโต้ตอบกลับไปว่าจะไม่ยอมเสด็จนอกจากว่าพระเจ้าเจมส์จะทรงยกสิทธิในการดูแลเจ้าชายเฮนรีให้พระองค์[62] ความรู้สึกในความเป็นแม่ที่รุนแรงที่นักประวัติศาสตร์พอลลีน ครอฟต์กล่าวถึงนี้ทำให้พระเจ้าเจมส์ทรงยอม แต่ก็ทรงบรรยายในพระราชสาส์นถึงเอิร์ลแห่งมาร์ว่าแอนน์มีพระทัยมุ่งมั่น[63] หลังจากการพักฟื้นหลังจากที่ทรงแท้ง แอนน์ก็เสด็จไปลอนดอนพร้อมกับเจ้าชายเฮนรี,[64] การเสด็จมาถึงลอนดอนเป็นเหตุการณ์ที่ใหญ่โต เลดี้แอนน์ คลิฟฟอร์ดบันทึกว่าเธอกับมารดาต้องฆ่าม้าไปสามตัวเพราะความที่รีบจะไปดูตัวแอนน์ พระเจ้าเจมส์ทรงไปพบแอนน์ไม่ไกลจากวินด์เซอร์ และมีขุนนางเป็นจำนวนมากมายอย่างที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน[65]

ความขัดแย้งกับพระเจ้าเจมส์

เจ้าหญิงเอลิซาเบธ สจวต พระราชธิดา ค.ศ. 1606 โดย โรเบิร์ต พีค (ผู้พ่อ)

ผู้สังเกตการณ์เริ่มสังเกตเห็นความแตกร้าวระหว่างแอนน์และพระเจ้าเจมส์ เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า "การคบคิดเกาว์รี’’ (Gowrie plot) ในปี ค.ศ. 1600 ที่จอห์น รูธเว็น เอิร์ลแห่งเกาว์รีที่ 3 และน้องชายอเล็กซานเดอร์ รูธเว็นถูกสังหารโดยองครักษ์ของพระเจ้าเจมส์เพราะถูกกล่าวหาว่าพยายามจะทำร้ายพระองค์ เป็นการทำให้น้องสาวสองคนเบียทริกซ์และบาร์บารา รูธเว็นผู้เป็นนางสนองพระโอษฐ์ของพระราชินีแอนน์ต้องถูกปลดตามไปด้วย[66] แอนน์ผู้ขณะนั้นทรงครรภ์ได้ห้าเดือน[67] ไม่ทรงยอมลุกจากพระแท่นไม่ยอมเสวยไปสองวันนอกจากเสียว่าจะเรียกตัวทั้งสองคนคืน เมื่อพระเจ้าเจมส์ทรงพยายามที่จะบังคับพระองค์ พระองค์ก็ทรงแว้งว่าที่ทรงทำเช่นนั้นเพราะเห็นว่าพระองค์ไม่ใช่เอิร์ลแห่งเกาว์รี[68] พระเจ้าเจมส์ทรงพยายามเอาพระทัยโดยการจ้างนักเล่นกายกรรมผู้มีชื่อเสียงมาแสดงให้พระชายาดู[69] แต่แอนน์ก็ยังไม่ทรงยอมและทรงสนับสนุนพี่น้องรูธเว็นต่อไปอีกสามปี และเป็นเรื่องใหญ่โตพอที่รัฐบาลจะพิจารณาว่าเป็นเรื่องของความปลอดภัยของประเทศชาติ[70] ในปี ค.ศ. 1602 หลังจากที่พบว่าแอนน์ทรงลักลอบเอาเบียทริซเข้ามาในพระราชวังโฮลีรูด พระเจ้าเจมส์ก็มีพระราชโองการให้ไต่สวนพนักงานในพระราชวังทุกคน[71] ในปี ค.ศ. 1603 พระองค์ก็ทรงยอมและพระราชทานเบี้ยบำนาญแก่เบียทริซเป็นจำนวน £200[72]

การประจันพระพักตร์กันเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1613 เมื่อแอนน์ทรงยิงสุนัขตัวโปรดของพระเจ้าเจมส์ระหว่างการล่าสัตว์ หลังจากที่พิโรธแล้วพระเจ้าเจมส์ก็ทรงพยายามทำสถานการณ์ให้ดีขึ้นโดยพระราชทานของขวัญเป็นเพ็ชรที่มีมูลค่า £2000 เพื่อเป็นอนุสรณ์ต่อสุนัขที่ชื่อ “Jewel” (อัญมณี) [73] ในปี ค.ศ. 1603, พระเจ้าเจมส์ทรงมีปากมีเสียงกับแอนน์ในเรื่องการจัดการในเรื่องพนักงานในอังกฤษและทรงส่งข่าวถึงพระราชินีว่าไม่ทรงพอพระทัยในการกระทำของพระราชินี[74] ในการโต้ตอบแอนน์ก็ทรงวิพากษ์วิจารณ์การดื่มน้ำจัณฑ์ของพระสวามี ในปี ค.ศ. 1604 แอนน์ทรงเปรยเป็นการส่วนพระองค์กับราชทูตฝรั่งเศสว่า, “พระองค์ทรงดื่มน้ำจัณฑ์เป็นจำนวนมาก และมีพระกิริยาที่ไม่เหมาะไม่ควรในทุกกรณี และฉันหวังว่าคงจะมีผลในทางร้ายที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์”[75]

แยกกันอยู่

เมื่อประทับในลอนดอนแอนน์ก็ทรงใช้ชีวิตของการอยู่ในเมืองหลวง ในขณะที่พระเจ้าเจมส์ทรงพอพระทัยที่จะหนีออกจากเมือง โดยเฉพาะไปยังตำหนักล่าสัตว์ที่รอยสตันในฮาร์ทฟอร์ดเชอร์[76] กอดฟรีย์ กูดมันอนุศาสนาจารย์ประจำพระองค์ของแอนน์สรุปความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองพระองค์ว่า: “พระเจ้าเจมส์เองทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ และไม่ทรงมีอะไรที่แอนน์ทรงกระทำที่จะทรงทำให้ขาดความอุทิศพระองค์ให้แก่แอนน์ แต่ทั้งสองพระองค์ก็มิได้มีความรักกันเช่นที่สามีภรรยาที่ควรจะรักกัน และไม่ทรงพูดจากัน[77] ในที่สุดแอนน์ก็ทรงย้ายไปประทับที่พระราชวังกรีนิชและต่อมาคฤหาสน์ซัมเมอร์เซ็ท ที่ทรงตั้งชื่อใหม่ว่า คฤหาสน์เดนมาร์ก หลังจากปี ค.ศ. 1607 แอนน์และพระเจ้าเจมส์ก็แทบจะไม่ได้ประทับร่วมกัน[78] ในขณะนั้นพระองค์มีพระโอรสธิดาได้เจ็ดพระองค์แล้ว นอกจากการทรงแท้งสามครั้ง หลังจากที่ทรงรอดมาได้จากการให้กำเนิดแก่เจ้าหญิงโซฟี พระราชธิดาองค์สุดท้องที่เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1607 แล้วแอนน์ก็ทรงตัดสินพระทัยว่าจะไม่มีพระโอรสธิดาอีก ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งสองพระองค์ยิ่งห่างเหินกันหนักยิ่งขึ้นไปอีก[79]

การสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายเฮนรี ในปี ค.ศ. 1612 (อาจจะจากไทฟอยด์) เมื่อพระชนมายุได้ 18 พรรษา และการจากไปของเจ้าหญิงเอลิซาเบธพระธิดาผู้มีพระชนมายุได้ 16 พรรษาไปยังไฮเดลแบร์ก ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1613 เพื่อไปเสกสมรสกับเฟรเดอริคที่ 5 เจ้าชายอีเล็คเตอร์แห่งพาเลไทน์,[80] ก็ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแอนน์และพระเจ้าเจมส์ยิ่งห่างเหินกันยิ่งขึ้น[81] การสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายเฮนรีเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวงของแอนน์ ราชทูตเวนิสได้รับการเตือนไม่ให้แสดงความเสียใจในการสูญเสียต่อพระราชินีเพราะไม่ทรงทนรับฟังได้ หรือถ้าทรงได้ยินก็จะไม่ทรงสามารถควบคุมพระองค์จากการกรรแสงได้[82] ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพระสุขภาพพลานามัยของพระองค์ก็เริ่มเสื่อมโทรมลง และทรงถอนพระองค์จากการสังคมและการเมืองโดยทั่วไป และทรงจัดละครสวมหน้ากากครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1614[83] อิทธิพลที่มีต่อพระสวามีก็ลดถอยลงอย่างเห็นได้ชัด และพระเจ้าเจมส์ก็ทรงพึ่งพาผู้ที่โปรดผู้มีอำนาจมากขึ้น[84]

ปฏิกิริยาต่อคนโปรดของพระสวามี

แม้ว่าจะทรงมีคนโปรดอยู่เรื่อย ๆ แต่ก็เป็นการภายใน แต่ในระยะหลังพระเจ้าเจมส์ทรงสนับสนุนให้บุคคลเหล่านี้มีบทบาทในทางการเมืองด้วย แอนน์ทรงมีปฏิกิริยาแตกต่างกันระหว่างคนโปรดสองคนผู้มีอิทธิพลต่อครึ่งหลังของสมัยของโรเบิร์ต คารร์ เอิร์ลที่ 1 แห่งซัมเมอร์เซต พระสวามี และจอร์จ วิลเลิร์ส ผู้ซึ่งต่อมาเป็นคนโปรดแทนคารร์ แอนน์ไม่โปรดคารร์เอาเลย[85] และทรงสนับสนุนการขึ้นอำนาจของจอร์จ วิลเลิร์ส ผู้ที่พระเจ้าเจมส์พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นขุนนางในห้องพระบรรทมของแอนน์[86] และทรงสร้างความสัมพันธ์อันดีกับวิลเลียรส์และประทานนามว่าเป็น “สุนัข” ของพระองค์[87] แต่กระนั้นวิลเลียรส์ก็เริ่มหันหลังให้แอนน์จนแอนน์ทรงมีความโดดเดี่ยวในบั้นปลายของชีวิตของพระองค์[88]