ชีวิตช่วงแรก ของ แอนน์แห่งเดนมาร์ก

ภาพเหมือนของโซฟีแห่งเมคเลินบวร์ค-กึสโทร สมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์ พระราชมารดาของแอนน์แห่งเดนมาร์ก ราวปี ค.ศ. 1578 โดยฮันส์ คนีเพอร์

แอนน์แห่งเดนมาร์กประสูติเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1574 ที่ปราสาทสแกนเดอร์บอร์กบนคาบสมุทรจัตแลนด์ในราชอาณาจักรเดนมาร์ก-นอร์เวย์ แต่การกำเนิดของพระองค์เป็นเหตุการณ์ที่พระเจ้าเฟรดริคที่ 2พระราชบิดาทรงได้รับความผิดหวัง เพราะทรงหวังเป็นอย่างมากว่าจะเป็นพระราชโอรส[7] แต่ขณะนั้นพระราชินีโซฟีพระมารดามีพระชนมายุได้เพียง 17 พรรษา เพียงสามปีต่อมาพระองค์ก็ทรงให้กำเนิดแก่พระโอรส ผู้ต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าคริสเตียนที่ 4 แห่งเดนมาร์ก[8] แอนน์และเอลิซาเบธพระเชษฐภคินีทรงถูกส่งไปเลี้ยงดูโดยอุลริชที่ 3 ดยุกแห่งเม็คเลนบวร์ก-กึสโทรว์และเอลิซาเบธ ดัชเชสแห่งเม็คเลนบวร์ก-กึสโทรว์ผู้เป็นพระอัยกาและพระอัยกีทางฝ่ายพระมารดาที่กึสโทรว์ในประเทศเยอรมนี เมื่อเปรียบเทียบกับราชสำนักเดนมาร์กที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์สนุกสนานอันเลื่องชื่อของพระเจ้าเฟรดริค ที่เป็นราชสำนักที่เต็มไปด้วยการเลี้ยงรับรองด้วยอาหารและเครื่องดื่มอย่างใหญ่มโหฬาร และการมีความสัมพันธ์กันอย่างไม่มีแบบแผนอันเคร่งครัด รวมทั้งการนอกพระทัยในพระมเหสีของพระองค์แล้ว กึสโทรว์ก็ตรงกันข้าม ที่กลายมาเป็นสถานที่ที่ช่วยวางรากฐานของความสงบสำรวมในชีวิตเบื้องต้นของแอนน์[9] ต่อมาเจ้าชายคริสเตียนพระอนุชาก็ทรงถูกส่งไปกึสโทรว์เช่นกันแต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาราวสองปี ในปี ค.ศ. 1579 สภาองค์มนตรีริกสราเด็ท (Rigsraadet) ก็ยื่นคำร้องเรียกตัวพระราชโอรสธิดาในพระเจ้าเฟรดริคกลับมายังเดนมาร์กสำเร็จ[10]

แอนน์ทรงมีความสุขในครอบครัวที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันระหว่างที่ทรงเจริญพระพรรษาในราชสำนักเดนมาร์ก เพราะพระองค์ทรงถูกเลี้ยงดูโดยตรงโดยพระราชมารดาพระราชินีโซฟี ผู้ทรงดูแลพระราชโอรสธิดาด้วยพระองค์เองยามประชวร[11] แอนน์และเอลิซาเบธพระเชษฐภคินีต่างก็ทรงมีผู้ประสงค์ให้เป็นคู่หมายไปทั่วทั้งยุโรปรวมทั้งพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ผู้ทรงเลือกเดนมาร์กเพราะความที่เป็นประเทศที่ผ่านการปฏิรูปทางศาสนา และเป็นประเทศที่อาจจะมีผลประโยชน์ทางด้านการติดต่อค้าขายได้ด้วย[12] ในระยะแรกราชทูตสกอตแลนด์หมายตัวเจ้าหญิงเอลิซาเบธพระเชษฐภคินีของแอนน์[13] แต่พระเจ้าเฟรดริคทรงหมั้นเจ้าหญิงเอลิซาเบธกับเฮนรี จูเลียส ดยุกแห่งบรันสวิค-ลืนเนอบวร์ก และทรงสัญญามอบพระธิดาองค์ที่สองให้แทน “ถ้าพระเจ้าเจมส์จะทรงพอพระทัยก็จะยกให้” [14]

การหมั้นและการเสกสมรสโดยฉันทะ

พระสุขภาพพลานามัยของพระราชินีโซฟีเริ่มทรุดลงหลังจากพระเจ้าเฟรดริคเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1588[15] นอกจากนั้นแล้วการสวรรคตของพระสวามีก็ยังทำให้สถานะของพระราชินีโซฟีอยู่ในสภาวะที่ลำบาก เมื่อทรงมีความขัดแย้งกับสภาองคมนตรีเกี่ยวกับอำนาจการควบคุมพระเจ้าคริสเตียน แต่ยังรวมไปถึงปัญหาในเรื่องการหาคู่ให้แก่พระราชธิดาด้วย แต่ในกรณีหลังนี้พระองค์ทรงมีตั้งมั่นมากกว่าพระสวามีและทรงประสบความสำเร็จในการตกลงเรื่องสินสมรสและสถานะภาพของหมู่เกาะออร์คนีย์[16] พระราชินีโซฟีทรงลงพระนามในการตกลงการหมั้นหมายในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1589[17]

แอนน์เองก็ทรงตื่นเต้นกับการที่จะได้เป็นเจ้าสาวของพระเจ้าเจมส์[18] เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1589 ทอมัส เฟาว์เลอร์สายลับอังกฤษรายงานว่าแอนน์ทรงตกหลุมรักพระเจ้าเจมส์อย่างถอนพระองค์ไม่ขึ้น[19] คำกล่าวของเฟาว์เลอร์ที่เป็นนัยว่าพระเจ้าเจมส์โปรดผู้ชายมากกว่าผู้หญิง[20] คงถูกซ่อนจากแอนน์ผู้มีพระชนมายุเพียง 14 พรรษาและทรงหมกมุ่นอยู่กับการปักพระภูษาสำหรับคู่หมั้น ในขณะที่ช่างอีกสามร้อยคนเตรียมชุดสำหรับพระราชพิธีเสกสมรสของพระองค์[21] ไม่ว่าข่าวลือที่ว่านี้จะจริงหรือไม่ แต่ที่เป็นจริงคือการที่พระเจ้าเจมส์ทรงมีความจำเป็นที่จะต้องแสวงหาคู่ที่เหมาะสมเพื่อการสืบสายของราชวงศ์สจวตต่อไป[22] พระเจ้าเจมส์ทรงเปรยว่า “พระเจ้าเป็นพยานด้วยเถิด ข้าเองนั้นสามารถคอยให้เนิ่นนานกว่าที่ประเทศชาติจะยอมให้คอยได้ แต่ถ้าไอ้การรอคอยแล้วมันจะไปทำให้ผู้คนที่มีแต่ความอิจฉากังขาในความสามารถของข้า ราวกับว่าข้าเป็นคนที่ไม่มีความสามารถจะมีลูกได้”[23] เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1589 แอนน์ก็ทรงเสกสมรสโดยฉันทะกับพระเจ้าเจมส์ที่ปราสาทโครนบอร์กโดยมีจอร์จ คีธ เอิร์ลแห่งมาริสคาลเป็นผู้แทนพระองค์ของพระเจ้าเจมส์นั่งบนเตียงข้างแอนน์[24]

การเสกสมรส

พระเจ้าเจมส์ 6 แห่งสกอตแลนด์เมื่อมีพระชนมายุ 20 พรรษาในปี ค.ศ. 1586 สามปีก่อนที่จะทรงเสกสมรสกับแอนน์แห่งเดนมาร์ก

สิบวันหลังจากการเสกสมรสโดยฉันทะที่เดนมาร์กแอนน์ก็เสด็จไปสกอตแลนด์ทางเรือแต่กองเรือของพระองค์ประสบเหตุการณ์ร้ายต่างๆ[25] ในที่สุดขบวนของคณะผู้เดินทางก็จำต้องแล่นกลับไปยังฝั่งทะเลนอร์เวย์ และจากฝั่งทะเลพระองค์ก็เสด็จพระราชดำเนินทางบกไปยังออสโลเพื่อไปพำนักชั่วคราวพร้อมด้วยเอิร์ลแห่งมาริสคาลและผู้แทนจากสกอตแลนด์และเดนมาร์ก[26]

เมื่อวันที่ 12 กันยายน ลอร์ดดิงวอลล์ผู้ร่วมเดินทางมากับแอนน์ แต่บนเรือคนละลำก็มาขึ้นฝั่งที่ลีธได้ และรายงานว่าเมื่อเดินทางมากับกองเรือของแอนน์ได้ 300 ไมล์ ก็มาคลาดกันเมื่อโดนมรสุม และลอร์ดดิงวอลล์มีความเกรงว่าแอนน์ยังคงจะตกอยู่ในอันตราย[27] เมื่อทราบข่าวพระเจ้าเจมส์ก็มีพระราชโองการให้มีการอดอาหารและสวดมนต์ให้แก่พระราชินีกันทั่วประเทศ ส่วนพระองค์เองก็เสด็จไปรอแอนน์ที่เฟิร์ธออฟฟอร์ธ[28] นอกจากนั้นก็ทรงประพันธ์เพลงหลายเพลง เพลงหนึ่งเปรียบเทียบสถานะการณ์ที่บรรยายในตำนานกรีกเรื่อง “ฮีโรและลีแอนเดอร์” (Hero and Leander) และทรงส่งคณะผู้ค้นหาที่ถือพระราชสาส์นที่ทรงเขียนถึงแอนน์เป็นภาษาฝรั่งเศส: “ให้แก่พระองค์เพียงผู้เดียวที่รู้จักหม่อมฉันเช่นเงาของหม่อมฉันเองบนแก้วเท่านั้นที่หม่อมฉันจะบรรยายความรู้สึกได้, สุดที่รักของหม่อมฉัน, ความกลัวที่หม่อมฉันรู้สึกที่เกิดจากลมที่พัดผิดทิศทางและพายุที่โหมกระหน่ำตั้งแต่พระองค์ได้เริ่มเดินทาง...".[29]” ในเดือนตุลาคมพระองค์ก็ทรงได้รับข่าวว่ากองเรือของเดนมาร์กยุติความพยายามที่จะข้ามมายังสกอตแลนด์ระหว่างฤดูหนาว วิลล์สันกล่าวว่าเป็นช่วงเวลาที่โรแมนติคที่สุดในชีวิตของพระเจ้าเจมส์[30] พระเจ้าเจมส์จึงเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคจากลีธพร้อมกับผู้ติดตามอีกสามร้อยคนเพื่อไปรับแอนน์ด้วยพระองค์เอง พระเจ้าเจมส์เสด็จไปถึงออสโลเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน หลังจากที่เสด็จพระราชดำเนินทางบกจาก Flekkefjord ทาง Tønsberg[31] ตามหลักฐานของสกอตแลนด์กล่าวว่าเมื่อเสด็จไปถึงพระเจ้าเจมส์ก็รีบเสด็จไปเฝ้าแอนน์ทั้งที่ยังมิได้เปลี่ยนเครื่องทรงจากการเดินทาง -- “ทั้งรองพระบาทบูทและเครื่องทรงอื่นพร้อม” -- และประทานจูบแอนน์ตามแบบสกอต[32]

แอนน์และพระเจ้าเจมส์ทรงเสกสมรสกันอย่างเป็นทางการที่วังสังฆราชเก่าที่ออสโล เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 1589, “อย่างหรูหราเท่าที่ทำได้ในสมัยนั้นและที่นั้น”[33] เดวิด ลินซีย์นักบวชจากลีธเดินทางไปทำพิธีเป็นภาษาฝรั่งเศสเพื่อให้ทั้งสองพระองค์เข้าใจ และบรรยายแอนน์ว่าทรงเป็น “เจ้าหญิงที่ทรงคุณธรรมและมีพระสิริโฉมงดงาม...พระองค์ทำความพอใจให้แก่พระเจ้าเจมส์”[34] การเสกสมรสมีการฉลองกันเดือนหนึ่งและเมื่อวันที่ 22 ธันวาคมพระเจ้าเจมส์ทรงลดผู้ติดตามลงเหลือเพียง 50 คนเพื่อเสด็จไปเยี่ยมพระญาติที่ปราสาทโครนบอร์ก แอนน์และพระเจ้าเจมส์ทรงได้รับการต้อนรับจากพระพันปีโซฟีและพระเจ้าคริสเตียนผู้มีพระชนมพรรษาได้ 12 พรรษาและผู้สำเร็จราชการแผ่นดินของพระองค์สี่คน[35] หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 7 มีนาคมทั้งสองพระองค์ก็ทรงย้ายไปโคเปนเฮเกนเพื่อทรงเข้าร่วมพิธีเสกสมรสระหว่างเอลิซาเบธพระเชษฐภคินีของแอนน์กับเฮนรี จูเลียส ดยุกแห่งบรันสวิค-ลืนเนอบวร์ก สองวันต่อมาก็เสด็จลงเรือ “กิดเดียน” ที่ได้รับการซ่อมแซมแล้วกลับสกอตแลนด์[36] และเสด็จถึงลีธเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ห้าวันต่อมาแอนน์ก็เสด็จเข้าเมืองเอดินบะระห์อย่างเป็นทางการในราชรถม้าเงินแท้ที่ทรงนำมาจากเดนมาร์กโดยมีพระเจ้าเจมส์ทรงม้าตามข้างราชรถ[37]

ราชาภิเษก

ตราของแอนน์แห่งเดนมาร์ก[38]

แอนน์ทรงเข้าพิธีสวมมงกุฎเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 1590 ภายในแอบบีโฮลีรูดที่พระราชวังโฮลีรูด ซึ่งเป็นพระราชพิธีการสวมมงกุฎที่ทำแบบโปรเตสแตนต์เป็นครั้งแรกในสกอตแลนด์[39] พระราชพิธีสวมมงกุฎใช้เวลาทั้งสิ้นเจ็ดชั่วโมง เคานทเตสแห่งมาร์เป็นผู้เปิดพระภูษาเพื่อให้นักบวชโรเบิร์ต บรูซหลั่ง “น้ำมันหอมพอได้” ลงบนส่วนหนึ่งของพระถันและพระหัตถ์เพื่อเจิมให้เป็นพระราชินี[40] นักบวชสกอตแลนด์ประท้วงพิธีส่วนนี้เพราะเห็นว่ามาจากประเพณีของผู้นอกรีตและจากประเพณีของชาวยิวแต่พระเจ้าเจมส์ทรงยืนยันว่าเป็นพิธีที่มีรากฐานมาจากพันธสัญญาเดิม[41] พระเจ้าเจมส์ประทานมงกุฎแก่อัครมหาเสนาบดีเมทแลนด์ผู้วางบนพระเศียรของแอนน์[42] จากนั้นแอนน์ก็ทรงกล่าวคำสัตยาบันว่าจะทรงเป็นผู้พิทักษ์ศาสนาอันแท้จริงและจะทรงมีความศรัทธาต่อพระเจ้า และจะทรงต่อต้านและเป็นปฏิปักษ์ต่อความเชื่อต่างๆ ของโรมันคาทอลิกและพิธีกรรมต่างๆ ที่ไม่ตรงกับพระวจนะของพระเจ้า[43]