บทความนี้ใช้ระบบคริสต์ศักราช เพราะอ้างอิงคริสต์ศักราชและคริสต์ศตวรรษ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง
โรคจอตามีสารสี[2]หรือ
โรคอาร์พี[3] (
อังกฤษ: Retinitis pigmentosa ตัวย่อ
RP)เป็นความผิดปกติทาง
พันธุกรรมทาง
ตาที่ทำให้เสียสายตา
[1]อาการรวมทั้งตาฟางกลางคืน (nyctalopia) และการเสียการเห็นรอบนอก (peripheral vision) คือเห็นข้าง ๆ หรือรอบ ๆ ได้น้อยลง
[1]อาการปกติจะค่อย ๆ ปรากฏ
[4]เมื่อเห็นรอบนอกได้แย่ลง บางคนอาจลานสายตาแคบลงเหมือนมองผ่านอุโมงค์ (tunnel vision)
[1]แต่ตาบอดสนิทจะไม่สามัญ
[4]โรคปกติจะสืบทอดมาจากพ่อแม่
[1]โดยมี
การกลายพันธุ์ของยีนหนึ่ง ๆ ในบรรดา 50 ยีนที่ได้ระบุแล้วเป็นอย่างน้อย
[1]วิถีการดำเนินของโรครวมการค่อย ๆ เสีย
เซลล์รับแสงรูปแท่งที่
ด้านหลังของตา[1]แล้วปกติจะตามด้วยการเสีย
เซลล์รูปกรวยต่อมา
[1]การวินิจฉัยจะทำเมื่อตรวจ
จอตาแล้วพบสารสี/รอยเปรอะดำ
[1]วิธีการตรวจยืนยันอื่น ๆ รวมทั้ง
electroretinography,
การตรวจลานสายตา และการตรวจยีน
[1]ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคนี้
[4]วิธีช่วยบรรเทาปัญหาในชีวิตรวมทั้งอุปกรณ์ช่วยการมองเห็น (เช่น
แว่นขยาย) ไฟส่องที่พกพาได้ (เช่น
ไฟฉาย) และสุนัขนำทาง
[1]อาหารเสริมคือ vitamin A palmitate อาจช่วยให้สายตาแย่ช้าลง
[1]ตาเทียม (visual prosthesis) อาจเป็นทางเลือกอย่างหนึ่งสำหรับคนที่มีโรครุนแรงมาก
[1]ประเมินว่าคน 1 คนใน 4,000 คนมีโรค
[1]โรคจะเริ่มตั้งแต่วัยเด็กแต่บางคนอาจไม่ได้รับผลกระทบจนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่
[1][4]ผลของโรคเห็นได้ง่ายถ้าเปรียบเทียบกับ
ทีวีหรือ
จอคอมพิวเตอร์คือ แสงจาก
พิกเซลที่สร้างภาพบนจอเหมือนกับ
เซลล์รับแสงเป็นล้าน ๆ ตัวใน
จอตายิ่งมีพิกเซลน้อยลงเท่าไร ภาพที่เห็นก็ชัดน้อยลงเท่านั้นมีเซลล์รับแสงจำนวนน้อยกว่า 10% ที่สามารถรับภาพสีโดยเป็นแสงสว่างดังที่มีในช่วง
กลางวันเซลล์เหล่านี้อยู่ตรงกลางของจอตาเซลล์รับแสงกว่า 90% ที่เหลือสามารถรับแสงสลัวเป็นภาพขาวดำซึ่งใช้ในที่สลัวและในตอนกลางคืน เป็นเซลล์ซึ่งอยู่รอบ ๆ จอตาโรคทำลายเซลล์รับแสงจากนอกเข้ามาส่วนตรงกลาง หรือจากส่วนตรงกลางออกไปส่วนนอกหรือทำลายเป็นย่อม ๆ ที่ทำให้เซลล์ส่วนตรงนั้นมีประสิทธิภาพตรวจจับแสงได้น้อยลงความเสื่อมจากโรคนี้จะลุกลามโดยยังไม่มีวิธีรักษา