การวิจัย ของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา_2019

ยังไม่มียาหรือวัคซีนใดได้รับอนุญาตให้รักษาโรค[164] การวิจัยระหว่างประเทศด้านวัคซีนและยาในโควิด-19 กำลังดำเนินอยู่โดยองค์การรัฐบาล กลุ่มวิชาการและนักวิจัยอุตสาหกรรม[280][281] ในเดือนมีนาคม องค์การอนามัยโลกริเริ่ม "การทดลองซอลิแดริตี" เพื่อประเมินผลการรักษาของสารต้านไวรัส 4 ชนิดที่มีอยู่แล้วซึ่งมีหวังประสิทธิภาพสูงสุด[282] องค์การอนามัยโลกยับยั้งไฮดร็อกซีคลอโรควินจากการทดลองยาทั่วโลกสำหรับการรักษาโควิด-19 ในวันที่ 26 พฤษภาคท 2563 ก่อนหน้านี้องค์การฯ ขึ้นทะเบียนผู้ป่วย 3,500 คนจาก 17 ประเทศในการทดลองซอลิแดริตี[283] ประเทศฝรั่งเศส อิตาลีและเบลเยียมห้ามใช้ไฮดร็อกซีคลอโรควินสำหรับรักษาโควิด-19[284]

วัคซีน

ยังไม่มีวัคซีนให้ใช้ แต่หน่วยงานต่าง ๆ กำลังพัฒนาสูตรวัคซีนที่มีคุณสมบัติอย่างแข็งขัน มีการนำงานก่อนหน้านี้เกี่ยวกับ SARS-CoV มาใช้ประโยชน์เพราะ SARS-CoV และ SARS-CoV-2 ต่างใช้ตัวรับ ACE2 เพื่อเข้าสู่เซลล์มนุษย์ทั้งคู่[285] กำลังมีการสอบสวนยุทธศาสตร์การฉีดวัคซีนสามยุทธศาสตร์ อย่างแรก ผู้วิจัยมุ่งสร้างวัคซีนไวรัสทั้งตัว การใช้ไวรัสดังกล่าวไม่ว่าเป็นแบบชนิดเชื้อตายมุ่งกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองของภูมิคุ้มกันร่างกายมนุษย์ต่อการติดเชื้อโควิด-19 ใหม่ในทันที ยุทธศาสตร์ที่สอง เสนอวัคซีนหน่วยย่อยซึ่งมึ่งสร้างวัคซีนที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันไวต่อหน่วยย่อยบางหน่วยของไวรัส ในกรณีของ SARS-CoV-2 การวิจัยมุ่งเน้นโปรตีนหนามเอสที่ช่วยให้ไวรัสรุกล้ำตัวรับเอ็นไซม์ ACE2 ยุทธศาสตร์ที่สามคือวัคซีนกรดนิวคลีอิก (วัคซีนดีเอ็สเอหรืออาร์เอ็นเอ ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่สำหรับสร้างวัคซีน) วัคซีนขั้นทดลองจากยุทธศาสตร์ใด ๆ ข้างต้นจะต้องทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิผลก่อนทั้งสิ้น[286]

วันที่ 16 มีนาคม 2563 การทดลองทางคลินิกครั้งแรกของวัคซีนเริ่มต้นจากอาสาสมัครสี่คนในซีแอตเทิล วัคซีนดังกล่าวมีรหัสพันธุกรรมที่ไม่เป็นอันตรายที่คัดลอกมาจากไวรัสที่ก่อโรค[287]

มีการเสนอการส่งเสริมโดยอาศัยสารภูมิต้านทานว่าเป็นความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นสำหรับการพัฒนาวัคซีนแก่ SARS-COV-2 แต่ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่[288]

ยา

มีการสรุปการทดลองประสิทธิผลระยะที่ 2–4 ในโควิด-19 จำนวน 29 การทดลองในเดือนมีนาคม 2563 หรือมีกำหนดได้ผลลัพธ์มนเดือนเมษายนจากโรงพยาบาลในประเทศจีน[289][290] มีการทดลองทางคลินิกดำเนินอยู่กว่า 300 การทดลองในเดือนเมษายน 2563[109] การทดลองเจ็ดการทดลองกำลังประเมินผลการรักษาโรคมาลาเรียที่ได้รับอนุมัติแล้ว ตลอดจนการศึกษาเกี่ยวกับไฮดร็อกซีคลอโรควินหรือคลอโรควิน[290] ยาต้านไวรัสที่มีการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ใหม่เป็นการวิจัยของจีนที่พบมากที่สุด โดยมีการทดลองยาเร็มเดสซิเวียระยะที่ 3 จำนวน 9 การทดลองในหลายประเทศที่มีกำหนดรายงานในปลายเดือนเมษายน[289][290] สารอื่นที่มีศักยภาพในการทดลอง ได้แก่ ยาขยายหลอดเลือด คอร์ติโคสเตียรอยด์ ภูมิคุ้มกันบำบัด กรดไลโออิก เบวาซิซูแมบ, และเอ็นไซม์แปลงแอนจิโอเทนซิน 2 สายผสม (recombinant ACE2)[290]

แนวร่วมการวิจัยคลินิกโควิด-19 มีเป้าหมายเพื่อ 1) อำนวยความสะดวกให้คณะกรรมการจริยธรรมและหน่วยงานกำกับระดับชาติทบทวนข้อเสนอการทดลองทางคลินิกอย่างรวดเร็ว 2) เร่งรัดการอนุมัติสารประกอบเพื่อการรักษาที่ได้รับการพิจารณา 3) รับประกันการวิเคราะห์ที่เป็นมาตรฐานและรวดเร็วของข้อมูลประสิทะผลและความปลอดภัยที่เกิดขึ้นใหม่ และ 4) อำนวยความสะดวกในการแบ่งปันผลการทดลองทางคลินิกก่อนตีพิมพ์[291][292] ณ เดือนเมษายน 2563 มีการทบทวนแบบพลวัตซึ่งการพัฒนาทางคลินิกสำหรับสารที่ได้รับการพิจารณาเป็นวัคซีนและยา โควิด-19 ของผู้สมัครอยู่ในขณะที่เมษายน 2563

ขณะนี้กำลังมีการประเมินยาต้านไวรัสที่มีอยู่หลายตัวสำหรับการรักษาโควิด-19[164] รวมถึงเรมเดซิเวียร์, คลอโรควินและไฮดร็อกซีคลอโรควิน, โลปินาเวียร์/ริโตนาเวียร์ และโลปินาเวียร์/ริโตนาเวียร์ร่วมกันอินเตอร์เฟียรอนบีตา[282][293] ในเดือนมีนาคม 2563 มีหลักฐานเบื้องต้นสำหรับประสิทธิผลของเรมเดซิเวียร์[294][295] พบอาการทางคลินิกดีขึ้นในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยเรมเดซิเวียร์ซึ่งเป็นการใช้อย่างการุณ (compassionate-use)[296] เรมเดซิเวียร์ยับยั้ง SARS-CoV-2 นอกกาย[297] กำลังมีการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ในสหรัฐ ประเทศจีนและอิตาลี[164][289][298]

ในปี 2563 การทดลองหนึ่งพบว่าโลปินาเวียร์/ริโตนาเวียร์ไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาโควิด-19 รุนแรง[299] นิทาโซซาไนด์ (Nitazoxanide) ได้รับคำแนะนำให้ศึกษาในกายต่อหลังแสดงว่ามีการยับยั้ง SARS-CoV-2 ความเข้มข้นต่ำ[297]

ณ วันที่ 3 เมษายน 2020 การทดลองประสิทธิภาพของการใช้ไฮดร็อกซีคลอโรควินเป็นการรักษาโควิด-19 ให้ผลลัพธ์ออกมาคละกัน[300][301] และการศึกษาหนึ่งยังแสดงว่าอัตราตายเพิ่มขึ้นร่วมกับมีผลข้างเคียงมากขึ้นด้วย[302][303] การศึกษาคลอโรควินและไฮดร็อกซีคลอโรควินทั้งที่ใช้ร่วมหรือไม่ใช้กับอะซิโทรมัยซินมีข้อจำกัดสำคัญที่ทำให้ชุมชนการแพทย์ไม่ยอมรับการบำบัดดังกล่าวโดยยอมให้มีการศึกษาเพิ่มเติม[109]

โอเซลทามิเวียร์ ไม่ยับยั้ง SARS-CoV-2 นอกกายและไม่มีบทบาทเท่าที่ทราบในการรักษาโควิด-19[109]

ผลลัพธ์การทดลองทางคลินิกขั้นต้นซึ่งศึกษาเดกซาเมทาโซนในสหราชอาณาจักรที่เปิดเผยในเดือนมิถุนายนแสดงว่าผู้ป่วยวิกฤตที่ต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจมีอัตราตายลดลงหนึ่งในสาม และผู้ป่วยที่ต้องรักษาด้วยอ็อกซืเจนมีอัตราตายลดลงหนึ่งในห้าในการทดลองแบบสุ่มโดยมีผู้ป่วย 11,500 คน และมีการรักษา 6 ชนิด[304]

การต้านพายุไซโตไคน์

พายุไซโตไคน์อาจเป็นภาวะแทรกซ้อนในระยะหลังของโควิด-19 ที่รุนแรง มีหลักฐานว่าไฮดร็อกซีคลอโรควินมีคุณสมบัติต้านพายุไซโตไคน์[305]

โทซิลิซูแมบ (Tocilizumab) รวมอยู่ในแนวทางการรักษาโดยคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนหลังจากการศึกษาขนาดเล็กเสร็จสมบูรณ์[306][307] ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบแบบไม่สุ่มระดับชาติระยะที่ 2 ในประเทศอิตาลีหลังแสดงผลบวกในบุคคลที่ป่วยรุนแรง[308][309] เมื่อรวมกับการตรวจเลือดเฟอร์ริตินซีรัมเพื่อหาพายุไซโตไคน์ ตั้งใจให้ยาใช้โต้ตอบพายุไซโตไคน์ซึ่งเชื่อว่าเป็นสาเหตุตายของผู้ป่วยบางราย[310][311][312] FDA อนุมัติสารต้านตัวรับอินเตอร์ลิวคิน-6 โดยอาศัยการศึกษาผู้ป่วยย้อนหลังสำหรับการรักษากลุ่มอาการหลั่งไซโตไคน์ดื้อสเตียรอยด์ (steroid refractory cytokine release syndrome, CRS) ซึ่งมีการชักนำจากอีกสาเหตุหนึ่ง คือ การบำบัดยีน Chimeric antigen receptor T cell (CAR T cell) ในปี 2560[313] จวบจนปัจจุบันไม่มีหลักฐานแบบสุ่มและมีการควบคุมว่าโทซิลิซูแมบเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับ CRS การให้โทซิลิซูแมบเพื่อป้องกันโรคมีการแสดงแล้วว่าเพิ่มระดับ IL-6 ในซีรัมโดยทำให้ตัวรับ IL-6 อิ่มตัว, ขับ IL-6 ข้ามตัวกั้นระหว่างเลือดกับสมอง และทำให้พิษต่อระบบประสาทกำเริบโดยไม่มีผลต่ออุบัติการณ์ของ CRS[314]

Lenzilumab ซึ่งเป็นสารภูมิต้านทานโมโนโคลนต้าน GM-CSF มีการแสดงแล้วว่าช่วยป้องกันในแบบจำลอง เพื่อป้องกันในแบบจำลองหนูสำหรับ CRS และพิษต่อระบบประสาทที่เซลล์ CAR T ชักนำ และเป็นตัวเลือกรักษาที่เป็นไปได้เนื่องจากสังเกตพบการเพิ่มขึ้นของเซลล์ทีที่หลั่ง GM-CSF ผิดปกติในผู้ป่วยโควิด-19 ที่รับรักษาในโรงพยาบาล[315]

สถาบันไฟน์สตีนแห่งนอร์ทเวลเฮลท์ประกาศการศึกษาในเดือนมีนาคมเรื่อง "สารภูมิต้านทานของมนุษย์ซึ่งอาจป้องกันกัมมันตภาพ" ของ IL-6[316]

สารภูมิต้านทานรับมา

การถ่ายโอนสารภูมิต้านทานที่ทำให้บริสุทธิ์และเข้มข้นที่ผลิตจากระบบภูมิตุ้มกันของบุคคลที่หายจากโควิด-19 แก่ผู้ที่ต้องการนั้นอยู่ระหว่างการสอบสวนใช้เป็นการให้ภูมิคุ้มกันรับมาที่ไม่ใช่วัคซีน[317] เคยมีการลองใช้ยุทธศาสตร์นี้กับโรคซาร์สแต่ผลลัพธ์ไม่ได้ข้อสรุป[317] การลบล้างฤทธิ์ของไวรัส (viral neutralization) เป็นกลไกการออกฤทธิ์ที่คาดไว้ว่าการบำบัดด้วยภูมิคุ้มกันรับมาจะช่วยป้องกัน SARS-CoV-2 อย่างไรก็ดี กลไกอื่นก็อาจเป็นไปได้ เช่น ความเป็นพิษต่อเซลล์ที่อาศัยสารภูมิคุ้มกัน (antibody-dependent cellular cytotoxicity) และฟาโกไซโทซิส[317] การรักษาด้วยสารภูมิต้านทานรูปแบบอื่น ๆ เช่น สารภูมิต้านทานโมโนโคลนที่ผลิตขึ้น กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา[317] การผลิตเซรุ่มระยะฟื้นโรคซึ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็นของเหลวจากโลหิตของผู้ป่วยที่หายแล้วประกอบด้วยสารภูมิต้านทานที่จำเพาะกับไวรัส อาจเพิ่มขึ้นเพื่อให้ใช้งานได้เร็วขึ้น[318]

ใกล้เคียง

โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โรคติดเชื้อโมโนนิวคลีโอซิส โรคติดเชื้อ โรคติดเชื้อบรูเซลลา โรคติดเชื้อลิชมาเนีย โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคติดเชื้อลิสเทอเรีย โรคติดเชื้ออุบัติใหม่ โรคติดเชื้อ (การแพทย์เฉพาะทาง) โรคติดเชื้อไวรัส

แหล่งที่มา

WikiPedia: โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา_2019 http://www.bccdc.ca/resource-gallery/Documents/Gui... http://weekly.chinacdc.cn/en/article/id/e53946e2-c... http://en.nhc.gov.cn/2020-02/07/c_76337.htm http://rs.yiigle.com/yufabiao/1181998.htm http://www.columbia.edu/~jls106/galanti_shaman_ms_... http://med.stanford.edu/content/dam/sm/id/document... //pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/18478118 //pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/20197533 //pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/22563403 //pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/30463995